หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 648 (เล่ม 2)

หรือด้วยฤทธิ์ก็ไม่ต้องปาราชิก. แต่ย่อมต้องอาบัติด้วยการเดินไปด้วยเท้านั้น.
ภิกษุผู้เดินไปถึงสถานที่แม้นั้น ไม่ก่อนไม่หลัง พร้อมด้วยพวกภิกษุผู้ร่วมกัน
ตั้งข้อกติกาไว้ไม่ต้องอาบัติ. เพราะว่า ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเดินไปอย่างนั้น
ยังรักษากันและกันได้แม้ทั้งหมด. แม้ถ้าภิกษุทั้งหลาย กำหนดสถานที่บางแห่ง
บรรดามณฑปและโคนต้นไม้เป็นต้น แล้วตั้งข้อกติกาไว้โดยนัยเป็นต้นว่า
พวกเราจักรู้ภิกษุผู้นั่งหรือเดินจงกรมอยู่ในที่นี้ว่า เป็นพระอรหันต์ หรือเอา
ดอกไม้วางไว้โดยนัยเป็นต้นว่า พวกเราจักทราบภิกษุผู้ถือเอาดอกไม้เหล่านี้
แล้วทำการบูชาว่า เป็นพระอรหันต์ . แม้ในข้อกติกวัตรนั้น เมื่อภิกษุทำอยู่
เหมือนอย่างนั้น ด้วยอำนาจอิจฉาจาร เป็นปาราชิกเหมือนกัน. แม้ถ้าอุบาสก
สร้างวิหารไว้ในระหว่างทางก็ดี ตั้งปัจจัยมีจีวรเป็นต้นไว้ก็ดี ด้วยกล่าวว่า
ขอภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย จงพักอยู่ในวิหารหลังนี้ และจงถือเอาปัจจัย
มีจีวรเป็นต้น. แม้ในข้อกติกวัตรที่อุบาสกดั้งไว้นั้น เมื่อภิกษุพักอยู่ หรือถือ
เอาปัจจัยมีจีวรเป็นต้นเหล่านั้น ด้วยอำนาจอิจฉาจาร เป็นปาราชิกเหมือนกัน .
แต่ว่านั่น เป็นกติกวัตรที่ไม่ชอบธรรม ; เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรทำ.
อีกอย่างหนึ่ง วัตรอื่นเห็นปานนี้ มีอาทิอย่างนี้ว่า ในภายในไตรมาสนี้
ภิกษุทั้งหมดจงเป็นผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร หรือว่าทรงไว้ซึ่งธุดงค์ที่เหลือ มี
องค์แห่งภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรเป็นต้น. หรือว่า จงเป็นผู้สิ้นอาสวะ
หมดทุกรูปด้วยกัน, ดังนี้. (ชื่อว่าวัตรที่ไม่ชอบธรรม) แท้จริง ภิกษุทั้งหลาย
ผู้อยู่ในชนบทต่าง ๆ ย่อมประชุมกัน. บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางพวก
ทุพพลภาพมีกำลังน้อย ย่อมไม่สามารถจะตามรักษาข้อวัตรเห็นปานนั้นได้.
เพราะเหตุนั้น ข้อวัตรแม้เห็นปานนั้น จึงไม่ควรทำ. และข้อวัตรมีอาทิอย่างนี้
ว่า ตลอดไตรมาสนี้ ภิกษุหมดทุกรูปด้วยกัน ไม่พึงแสดงธรรม ไม่พึงเรียน

648
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 649 (เล่ม 2)

ธรรม ไม่พึงให้บรรพชา. แต่ควรเรียนเอามูควัตร ควรให้ลาภสงฆ์แม้แก่
ภิกษุผู้อยู่ภายนอกสีมาด้วย ดังนี้ ก็ไม่ควรทำเหมือนกัน.
[เรื่องพระมหาโมคคัลลานะเห็นอัฏฐิสังขลิกเปรต]
พระลักขณเถระ ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ในลักขณสังยุตว่า
อายสฺมา จ ลกฺขโณ, * เป็นต้นนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า มีอยู่ภายในแห่งภิกษุ
ชฎิลพันองค์ อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
แห่งอาทิตตปริยายสูตร เป็นพระมหาสาวกองค์หนึ่ง. ก็เพราะท่านองค์นี้
ประกอบด้วยอัตภาพเสมือนพรหม สมบูรณ์ด้วยลักษณะเต็มเปี่ยมด้วยอาการ
ทุกอย่าง ; ฉะนั้น ท่านจึงถึงความนับว่า ลักขณะ ส่วนพระมหาโมคคัลลาน
เถระเป็นพระอัครสาวกที่ ๒ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ในวันที่ ๗ แต่วันที่
ท่านบวชแล้ว.
สองบทว่า สิตํ ปาตฺวากาสิ ความว่า พระมหาโมคคัลลานเถระ
ได้ทำการยิ้มน้อย ๆ ให้ปรากฏ. มีคำอธิบายว่า ประกาศ คือแสดง.
ถามว่า ก็ พระเถระ เห็นอะไร จึงได้ทำการแย้มให้ปรากฏ?
แก้ว่า พระเถระ เห็นสัตว์ผู้เกิดอยู่ในเปตโลกตนหนึ่ง มีแต่ร่างกระดูก
ซึ่งมาแล้วในบาลีข้างหน้า, ก็แล การเห็นสัตว์คนนั้น เห็นได้ด้วยทิพยจักษุ
ไม่ใช่เห็นด้วยจักษุประสาท. จริงอยู่ อัตภาพเหล่านั้น หาได้มาสู่คลองแห่ง
จักษุประสาทไม่.
ถามว่า ก็พระเถระ เห็นอัตภาพมีรูปอย่างนั้นแล้ว เพราะเหตุไร
จึงได้ทำการแย้มให้ปรากฏ ในเมื่อควรทำความกรุณาเล่า ?
* สํ. นิทาน. ๑๖/๒๖๘

649
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 650 (เล่ม 2)

แก้ว่า เพราะท่านอนุสรณ์ถึงสมบัติของตน และพระญาณของพระ
พุทธเจ้าด้วย. แท้จริง พระเถระ เห็นเปรตตนนั้นแล้ว ได้อนุสรณ์ถึงสมบัติ
ของตนว่า อัตภาพเห็นปานนี้ อันบุคคลผู้ชื่อว่ายังไม่เห็นสัจจะพึงได้ , เราพ้น
แล้ว จากอัตภาพเช่นนั้น, เป็นลาภของเราหนอ ! เราได้ดีแล้วหนอ ! และ
ได้ระลึกถึงสมบัติแห่งพระพุทธฌานอย่างนี้ว่า ญาณสมบัติของพระผู้มีพระภาค
พุทธเจ้า ผู้ทรงแสดงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! กรรมวิบาก เป็นอจินไตย
อันบุคคลไม่พึงคิด * น่าอัศจรรย์ , พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงแสดงทำให้
ประจักษ์หนอ ! ธรรมธาตุ อันพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงแทงตลอดดีแล้ว
ดังนี้ จึงได้ทำการแย้มพรายให้ปรากฏ.
ก็ธรรมดาว่า พระขีณาสพทั้งหลาย ไม่ทำการแย้มพรายให้ปรากฏ
เพราะไม่มีเหตุ ; เพราะฉะนั้น พระลักขณเถระจึงถามพระมหาโมคคัลลานเถระ
นั้นว่า ดูก่อนอาวุโส โมคคัลลานะ ! อะไรหนอเป็นเหตุ ? อะไรหนอเป็น
ปัจจัยแห่งการทำแย้มพรายให้ปรากฏ ? แต่พระเถระกล่าวตอบว่า อาวุโส
ลักขณะ ! ยังไม่เป็นกาลสมควรแล เป็นต้น โดยสาเหตุที่ท่านมีความประสงค์
จะให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพยานเสียก่อน จึงพยากรณ์ เพราะเหตุว่า ภิกษุ
ทั้งหลาย ผู้ที่ยังมิได้เห็นความอุบัติขึ้นนี้ด้วยตนเองแล้ว จะบังคับให้เชื่อได้
โดยยาก. ภายหลังแต่นั้น พระมหาโมคคัลลานเถระ ถูกพระลักขณเถระถาม
ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้พยากรณ์ โดยนัยมีอาทว่า อิธาหํ อาวุโส.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อฏฺฐิกสงฺขลิกํ ได้แก่ ผู้มีแต่ร่างกระดูก
ซึ่งมีสีขาว ไม่มีเนื้อและโลหิต.
* องฺ จตุกฺก. ๒๑/๑๐๔.

650
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 651 (เล่ม 2)

แร้งยักษ์ เหยี่ยวยักษ์ และนกตะกรุมยักษ์ แม้เหล่านี้ พึงทราบว่า
แร้งบ้าง เหยี่ยวบ้าง นกตะกรุมบ้าง. ก็รูปนั้น ไม่มาแม้สู่คลอง (แห่ง
จักษุ ) ของฝูงแร้งเป็นต้นตามปกติ.
สองบทว่า อนุปติตฺวา อนุปติตฺวา ได้แก่ พากันติดตามไปแล้ว ๆ.
บทว่า วิตุเทนฺติ ได้แก่ จิกแล้วบินไป. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า
วิตุทนฺติ ก็มี. อธิบายว่า ย่อมสับจิก ด้วยจะงอยปากซี่โลหะที่คมกริบ
เปรียบด้วยคมดาบ. ศัพท์ว่า สุทํ ในคำว่า สา สุทํ อฏฺฏสฺสรํนี้ เป็นนิบาต.
อธิบายว่า อัฏฐิกสังขลิกเปรตตนนั้น ย่อมทำเสียงร้องครวญคราง คือ เสียง
โอดครวญ. ได้ยินว่า อัตภาพเช่นนั้น แม้มีประมาณตั้งโยชน์หนึ่ง ย่อมเกิด
ขึ้น และมีประสาทที่พองขึ้น เป็นเช่นกับหัวฝีที่พองแล้ว เพื่อตามเสวยผล
แห่งอกุศล เพราะฉะนั้น อัฏฐิกสังขลิกเปรตตนนั้น เดือดร้อนเพราะเวทนา
ที่มีกำลัง จึงได้ทำเสียงเช่นนั้นแล.
ก็แล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดง
ย้ำธรรมสังเวชซึ่งเกิดขึ้น เพราะอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลายว่า ขึ้นชื่อว่า
สัตว์ทั้งหลายผู้ไปในวัฏฏะ ย่อมไม่พ้นจากอัตภาพเห็นปานนี้ไปได้ จึงกล่าวคำ
เป็นต้นว่า ดูก่อนอาวุโส ! เรานั้นได้มีความคิดเช่นนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ! น่า
อัศจรรย์จริงหนอ ดังนี้.
สองบทว่า ภิกฺขุ อุชฺฌายนฺติ ความว่า ความอุบติขึ้นแห่งเปรตนั้น
ไม่เห็นประจักษ์แก่ภิกษุเหล่าใด, ภิกษุเหล่านั้นพากันโพนทะนา. ส่วนพระผู้มี
พระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกาศอานุภาพของพระเถระ จึงตรัสพระดำรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สาวกทั้งหลายเป็นผู้มีจักษุอยู่หนอ เป็นต้น.

651
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 652 (เล่ม 2)

ในบทเหล่านั้น สาวกทั้งหลายชื่อว่าเป็นผู้มีจักษุ เพราะอรรถว่า
สาวกเหล่านั้นมีจักษุเป็นแล้ว เกิดแล้ว อุบัติแล้ว. ความว่า เป็นผู้มีจักษุ
เป็นแล้ว คือ มีจักษุเกิดแล้ว ยังจักษุให้เกิดขึ้นแล้วอยู่. แม้ในบทที่ ๒ ก็
นัยนี้เหมือนกัน. คำว่า ยตฺร ซึ่งมีอยู่ในคำว่า ยตฺร หิ นาม นี้ เป็นคำ
ระบุถึงเหตุ. ในคำว่า จกฺขุภูตา เป็นต้นนั้น มีการประกอบเนื้อความดัง
ต่อไปนี้ :- เพราะเหตุว่า แม้สาวกจักรู้ หรือจักเห็นหรือจักทำอัตภาพเห็น
ปานนี้ ให้เป็นพยานได้ ฉะนั้น เราจึงไค้กล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !
สาวกทั้งหลาย เป็นผู้มีจักษุอยู่หนอ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! สาวกทั้งหลาย
เป็นผู้มีญาณอยู่หนอ ดังนี้.
ข้อว่า ปุพุเพว เม โส ภิกฺขเว สตฺโต ทิฏฺโฐ มีความว่า
(พระผู้มีพระภาคเจ้า) ตรัสว่า เราได้แทงตลอดสัพพัญฌุตญาณ ณ โพธิมัณฑ์
ทำหมู่สัตว์ และภพ คติ ฐิติ และนิวาส หาประมาณมิได้ ไนจักรวาลทั้งหลาย
หาประมาณมิได้ ให้ประจักษ์อยู่ ได้เห็นสัตว์นั้นแล้วในกาลก่อนแล.
บทว่า โคฆาตโก ความว่า เป็นสัตว์ผู้ฆ่าโคทั้งหลายแล้ว ปล้อน
เนื้อออกจากกระดูกขายเลี้ยงชีวิต.
หลายบทว่า ตสฺเสว กมฺมสฺส วิปากาวเสเสน ความว่า แห่ง
อปราปรเวทนียกรรมอันเจตนาต่าง ๆ ประมวลมาแล้วนั้นนั่นแล. จริงอยู่
บรรดาเจตนาเหล่านั้น ปฏิสนธิในนรกอันเจตนาใดให้เกิดขึ้น แล้วเมื่อวิบาก
แห่งเจตนาดวงนั้น สิ้นไปแล้ว , ปฏิสนธิในเปรตเป็นต้น ย่อมบังเกิดอีก ;
เพราะทำกรรมที่เหลือ หรือกรรมนิมิตให้เป็นอารมณ์ เพราะเหตุนั้น ปฏิสนธิ
นั้น ท่านจึงเรียกว่า วิบากที่เหลือแห่งกรรมนั้นนั่นเอง เพราะมีส่วนเสมอ
ด้วยกรรม หรือเพราะมีส่วนเสมอด้วยอารมณ์. ก็สัตว์นี้เกิดขึ้นแล้วอย่างนี้

652
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 653 (เล่ม 2)

เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ด้วยวิบากยังเหลืออยู่แห่งกรรม
นั้นนั่นเอง. ได้ยินว่า ในเวลาเคลื่อนจากนรก สัตว์นั้นได้มีนิมิต คือ กอง-
กระดูกแห่งโคทั้งหลาย อันถูกทำไม่ให้มีเนื้อ, สัตว์นั้น เมื่อจะทำกรรมนั้น
แม้ที่ปกปิดให้เป็นดุจปรากฏแก่วิญญูชนทั้งหลาย จึงเกิดเป็นอัฏฐิสังขลิกเปรต.
[เรื่องมังสเปสีเปรต]
ในเรื่องมังสเปสีเปรต มีวินิจฉัยดังนี้ :- มังสเปสีเปรตนั้นเป็นคน
ฆ่าโค ทำชิ้นเนื้อตากให้แห้งแล้ว เลี้ยงชีวิตด้วยการขายเนื้อแห้งหลายปี.
ด้วยเหตุนั้น เวลาเคลื่อนจากนรก เขาจึงได้มีนิมิต คือ ชิ้นเนื้อนั่นเอง เขาจึง
เกิดเป็นมังสเปสีเปรต.
[เรื่องมังสปิณฑเปรต]
ในเรื่องมังสปิณฑเปรต มีวินิจฉัยดังนี้ :- มังสปิณฑเปรตนั้นเป็น
นายพรานนกจับนกได้แล้ว เวลาขาย ได้ทำการถอนขนปีกและหนังออกหมด
ให้เป็นเพียงก้อนเนื้อแล้ว ขายเลี้ยงชีวิต. ด้วยเหตุนั้น เวลาเคลื่อนจากนรก
เขาจึงได้มีนิมิต คือ ก้อนเนื้อเท่านั้น. เขาจึงเกิดเป็นมังสปิณฑเปรต.
[เรื่องนิจฉวีเปรต]
ในเรื่องนิจฉวีเปรต มีวินิจฉัยดังนี้ :- นิจฉวีเปรตนั้น เป็นคนฆ่าแพะ
ฆ่าแพะแล้วถลกหนัง เลี้ยงชีวิต จึงได้มีนิมิต คือ ร่างแพะปราศจากหนัง
ตามนัยก่อนนั่นแล เขาจึงได้เกิดเป็นนิจฉวีเปรต.
[เรื่องอสิโลมเปรต]
ในเรื่องอสิโลมเปรต มีวินิจฉัยดังนี้ :- อสิโลมเปรตนั้นเป็นคนฆ่า
สุกร ใช้ดาบฆ่าสุกรทั้งหลายอันตนปรนปรือด้วยเหยื่อสิ้นกาลนาน แล้วเลี้ยง

653
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 654 (เล่ม 2)

ชีวิตมาตลอดราตรีนาน. เขาจึงได้มีนิมิต คือ ภาวะของคนที่เงื้อดาบขึ้น ฉะนั้น
เขาจึงเกิดเป็นอสิโลมเปรต.
[เรื่องสัตติโลมเปรต]
ในเรื่องสัตติโลมเปรต พึงทราบวินิจฉัยต่อไป :- สัตติโลมเปรตนั้น
เป็นคนล่าเนื้อ พาเอาเนื้อตัวหนึ่งและถือหอกเล่มหนึ่ง ไปป่าแล้ว ใช้หอก
แทงเนื้อที่พากันมาสู่ที่ใกล้เนื้อนั้นให้ตาย. เขาจึงได้มีนิมิต คือ ภาวะที่ใช้
หอกแทง, ฉะนั้น เขาจึงเกิดเป็นสัตติโลมเปรต.
[เรื่องอุสุโลมเปรต]
ในเรื่องอุสุโลมเปรต พึงทราบวินิจฉัยต่อไป :- บทว่า การณิโก
ความว่า เป็นบุรุษผู้เบียดเบียนพวกคนผู้ผิดต่อพระราชา ด้วยเหตุทั้งหลาย
เป็นอันมาก ลงท้ายใช้ลูกศรยิงให้ตาย. ได้ยินว่า เขาทราบก่อนว่า คนถูกยิง
ส่วนโน้นจึงจะคาย ดังนี้ แล้วจึงยิง. เขานั่นเองเลี้ยงชีวิตแล้วบังเกิดในนรก
ในเวลาเกิดในเปรตวิสัยนี้ ได้มีนิมิตคือภาวะที่ใช้ศรยิง ด้วยวิบากที่ยังเหลือ
จากนรกนั้น. ฉะนั้น เขาจึงเกิดเป็นอุสุโลมเปรต.
[เรื่องสูจิโลมเปรต]
ในเรื่องสูจิโลมเปรต พึงทราบวินิจฉัยต่อไป :- บทว่า สารถิ คือ
เป็นคนฝึกม้า ในอรรถกถากุรุนที ท่านกล่าวว่า เป็นคนฝึกโค ดังนี้บ้าง
เขาได้มีนิมิต คือ ภาวะที่แทงด้วยเข็มปฏัก. เขาจึงเกิดเป็นสูจิโลมเปรต.
[เรื่องสูจิโลมเปรตที่ ๒]
ในเรื่องสูจิโลมเปรตเรื่องที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยต่อไป :- บทว่า
สูจีโก คือ เป็นคนทำการส่อเสียด ได้ยินว่า เขาทำลายมนุษย์ทั้งหลายและ
พวกเดียวกัน และยุยงในราชตระกูลว่า คนนี้มีความผิดชื่อ คนนี้ทำผิดชื่อนี้

654
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 655 (เล่ม 2)

ดังนี้ , ครั้นยุยงแล้ว ทำให้ถึงความพินาศวอดวาย. ฉะนั้น เขาจึงเกิดเป็น
สูจิโลมเปรต เพราะทำนิมิต คือ กรรม เพื่อการเสวยทุกข์จากการทำลายด้วย
เข็มทั้งหลาย เหมือนอย่างที่เขาทิ่มแทงทำลายพวกมนุษย์ ฉะนั้น.
[เรื่องอัณฑภารเปรต]
ในเรื่องเปรตแบกลูกอัณฑะ พึงทราบต่อไป :- บทว่า คามกูโฏ
คือ เป็นอำมาตย์ผู้ตัดสินความ. สัตว์นั้นได้มีอัณฑะเท่าหม้อ คือ มีขนาดเท่า
หม้อใหญ่ เพราะมีส่วนเสมอด้วยกรรม. ด้วยว่า สัตว์นั้น เพราะเหตุที่รับสินบน
ในสถานที่ลับปกปิด เมื่อจะทำโทษให้ปรากฏ ด้วยการตัดสินความโกง ได้
กระทำพวกเจ้าของไม่ให้เป็นเจ้าของ ; เพราะฉะนั้น อวัยวะลับของสัตว์นั้น
จึงบังเกิดปรากฏ. เพราะเหตุที่สัตว์นั้น เมื่อเริ่มตั้งอาญา ได้ยกของหนักอัน
ไม่ควรจะทนได้ ให้แก่ชนเหล่าอื่น ; เพราะฉะนั้น อวัยวะลับของสัตว์นั้น
จึงบังเกิดเป็นของหนักอันไม่ควรจะทน. เพราะเหตุที่สัตว์นั้นดำรงอยู่ใน
ตำแหน่งใด ควรจะเป็นผู้สม่ำเสมอ, แต่ดำรงอยู่ในตำแหน่งนั้นแล้ว หาได้
เป็นผู้สม่ำเสมอไม่ ; ฉะนั้น สัตว์นั้น จึงได้มีการนั่งไม่สม่ำเสมอบนอวัยวะลับ.
[เรื่องปรทาริกเปรต]
ในเรื่องเปรตผิดเมียท่าน พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- สัตว์นั้น เมื่อ
สัมผัสผัสสะที่มีเจ้าของที่เขาคุ้มครองรักษาแล้วของคนอื่น ยังจิตให้รื่นรมย์ด้วย
ความสุขในกามอันเป็นความสุขในอุจจาระ จึงบังเกิดในเปรตวิสัยนั้น เพื่อจะ
สัมผัสผัสสะ เป็นคูถ เสวยทุกข์ เพราะมีส่วนเสมอด้วยกรรม

655
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 656 (เล่ม 2)

[เรื่องเปรตพราหมณ์ชั่ว]
ในเรื่องพราหมณ์ชั่ว พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ * :-
เพราะชื่อว่า มาตุคาม ไม่เป็นอิสระในผัสสะของตน , แต่หญิงนั้น
ขโมยผัสสะของสามีนั้น ยังความอภิรมย์ให้เกิดแก่คนเหล่าอื่น : ฉะนั้น จึงได้
บังเกิดเป็นหญิงเปรตปราศจากผิว เพื่อกำจัดสัมผัสเป็นสุขนั้นเสียแล้ว เสวย.
สัมผัสเป็นทุกข์ เพราะมีส่วนเสมอด้วยกรรม.
[เรื่องมังคุลีหญิงเปรต]
ในเรื่องมังคุลีหญิงเปรต พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- บทว่า มงฺคุฬี
ได้แก่ มีรูปผิดไป คือ มองดูน่าชัง น่าเกลียด. ได้ยินว่า หญิงนั้นทำหน้าที่
เป็นแม่มด คือ หน้าที่เป็นทาสีของยักษ์ กล่าวว่า เมื่อทำพลีกรรมอย่างนี้
ด้วยสิ่งนี้และสิ่งนี้ ความเจริญของพวกท่าน ชื่อนี้จักมี ดังนี้ แล้วถือเอาของหอม
และดอกไม้เป็นต้น ของมหาชนด้วยการล่อลวงยังมหาชนให้ยึดถือมิจฉาทิฏฐิ
อันเป็นทิฏฐิชั่ว. เพราะฉะนั้น หล่อนจึงเกิดเป็นนางเปรตมีกลิ่นเหม็น เพราะ
ขโมยของหอมและดอกไม้เป็นต้น เป็นนางเปรตมองดูน่าชัง ผิดรูป น่าเกลียด
เหตุให้มหาชนยึดถือความเห็นชั่ว เพราะมีส่วนเสมอด้วยกรรมนั้น.
[เรื่องโอกิลินีหญิงเปรต]
เรื่องโอกิลินีหญิงเปรต พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- ข้อว่า อุปกฺกํ
โอกิลินึ โอกีรณึ มีความว่า ได้ยินว่า นางเปรตนั้น นอนอยู่บนเชิงตะกอน
ถ่านเพลิง ดิ้นพลิกไปมาถูกไฟไหม้ ; เพราะฉะนั้น นางจึงเป็นผู้ถูกไฟครอก
มีสรีระสุกด้วยไฟกรด มีน้ำเหงื่อหยด มีสรีระเปียก คือหยาดน้ำเหงื่อทั้งหลาย
ย่อมหลั่งออกจากสรีระของนางเปรตนั้น และมีถ่านเพลิงเกลื่อนกล่น คือ
* ในเรื่องนี้ ไม่มีอธิบาย อาจจะตกไปก็เป็นได้, เลยไปอธิบายเรื่องหญิงเปรตถัดไป.

656
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 657 (เล่ม 2)

เกลื่อนกล่นด้วยถ่านเพลิง. ด้วยว่าถ่านเพลิงทั้งหลาย มีสีดังดอกทองกวาว
ย่อมตกแม้จากเบื้องล่างของนางเปรตนั้น ถ่านเพลิงทั้งหลาย ย่อมตกแม้ในช้าง
ทั้ง ๒ แม้จากอากาศในเบื้องบนของนางเปรตนั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
ถูกไฟครอก น้ำเหงื่อหยด มีถ่านเพลิงเกลื่อนกล่น. นางนั้นเป็นคนขี้หึง
เอากระทะถ่านเพลิงราดหญิงร่วมผัว. ได้ยินว่า นางระบำคนหนึ่งของพระราชา
พระองค์นั้น วางกระทะถ่านเพลิงไว้ในที่ใกล้ เช็ดน้ำจากตัวและอบด้วยฝ่ามือ.
พระราชาทรงสนทนากับนางระบำนั้น และทรงแสดงอาการโปรดปรานมากไป.
พระอัครมเหสีทรงทนดูเหตุการณ์นั้นไม่ไหว ทรงหึง เมื่อพระราชาเสด็จออก
ไปไม่ทันนาน ก็ทรงหยิบกระทะถ่านเพลิงนั้น ราดถ่านเพลิงลงเบื้องบนนาง
ระบำนั้น. พระนางทำกรรมนั้นแล้ว บังเกิดในเปตโลก เพื่อเสวยวิบาก
เช่นนั้นนั่นแล.
[เรื่องโจรฆาตเปรต]
ในเรื่องโจรฆาตเปรต พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- เพชฌฆาตโจรนั้น
ตัดศีรษะพวกโจรมาช้านาน ตามคำสั่งของพระราชา เมื่อบังเกิดในเปตโลก
จึงได้บังเกิดเป็นตัวกพันธ์ไม่มีศีรษะ.
[เรื่องพระภิกษุเปรตเป็นต้น]
ในเรื่องภิกษุ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :- บทว่า ปาปภิกฺขุ คือ เป็น
ภิกษุลามก. ได้ยินว่า ภิกษุนั้น บริโภคปัจจัย ๔ ที่เขาถวายด้วยศรัทธาของ
ชาวโลก เป็นผู้ไม่สำรวมทางกายทวารและวจีทวาร มีอาชีพอันทำลายแล้ว
เที่ยวเล่นสนุกสนานตามชอบใจ. ภายหลังถูกไฟไหม้อยู่ในนรก ตลอดพุท-
ธันดรหนึ่ง เมื่อเกิดในเปตโลก ก็บังเกิดด้วยอัตภาพเช่นกับภิกษุนั่นแหละ.

657