No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 456 (เล่ม 23)

ภิกษุณี. หามิได้ เจ้าข้า.
น. นั้นเพราะเหตุไร.
ภิกษุณี. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะประทีปน้ำมันที่กำลังติดไฟอยู่โน้น
มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไส้ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็น
ธรรมดา เปลวไฟก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แสงสว่างของประทีป
นั้น ก็ต้องไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เช่นกัน.
[๗๗๓] ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล บุคคลใด
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อายตนะภายใน ๖ ของเรา ไม่เที่ยง แต่เราอาศัยอายตนะ
ภายในเสวยเวทนาใด เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม
เวทนานั้น เที่ยง ยั่งยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
บุคคลผู้กล่าวอย่างนั้น ชื่อว่ากล่าวชอบหรือหนอแล.
ภิกษุณี. หามิได้ เจ้าข้า.
น. นั่นเพราะเหตุไร.
ภิกษุณี. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะเวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ
อาศัยปัจจัยที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้น ๆ แล้ว จึงเกิดขึ้นได้ เพราะปัจจัยที่
เกิดแต่อายตนะภายในนั้น ๆ ดับ เวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้น ๆ จึง
ดับไป.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละ ๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วย
ปัญญาชอบ ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล.
[๗๗๔] น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่มี
แก่นตั้งอยู่ มีรากก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ลำต้นก็ไม่เที่ยง
แปรปรวนไปเป็นธรรมดา กิ่งและใบก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา
เงาก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย ผู้ใดพึง

456
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 457 (เล่ม 23)

กล่าวอย่างนี้ว่า ต้นไม้ไหญ่ มีแก่นตั้งอยู่โน้น มีรากก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไป
เป็นธรรมดา ลำต้นก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา กิ่งและใบก็ไม่เที่ยง
แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แต่ว่าเงาของต้นไม้นั้นแล เที่ยง ยั่งยืน เป็นไป
ติดต่อ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ผู้ที่กล่าวอยู่นั้นชื่อว่าพึงกล่าวชอบ
หรือหนอแล.
ภิกษุณี. หามิได้ เจ้าข้า.
น. นั่นเพราะเหตุไร.
ภิกษุณี. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะต้นไม้ใหญ่ มีแก่นตั้งอยู่โน้น
มีรากก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ลำต้นก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไป
เป็นธรรมดา กิ่งและใบก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เงาของต้นไม้
ก็ต้องไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เช่นกัน
ว่าด้วยอายตนะภายนอก ๖
[๗๗๕] พ. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล บุคคล
ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า อายตนะภายนอก ๖ ของเรา ไม่เที่ยง แต่เราอาศัย
อายตนะภายนอกเสวยเวทนาใด เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่
สุขก็ตาม เวทนานั้น เที่ยง ยั่งยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็น
ธรรมดา บุคคลผู้กล่าวนั้นชื่อว่า กล่าวชอบหรือหนอแล
ภิกษุณี. หามิได้ เจ้าข้า.
น. นั่นเพราะเหตุไร.
ภิกษุณี. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะเวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายนอก
นั้น ๆ อาศัยปัจจัยที่เกิดแต่อายตนะภายนอกนั้น ๆ แล้ว จึงเกิดขึ้นได้ เพราะ

457
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 458 (เล่ม 23)

ปัจจัยที่เกิดแต่อายตนะภายนอกนั้น ๆ ดับ เวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายนอก
นั้น ๆ จึงดับไป.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละ ๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วย
ปัญญาชอบ ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล.
[๗๗๖] น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนฆ่าโค หรือ
ลูกมือของคนฆ่าโคผู้ฉลาด ฆ่าโคแล้ว ใช้มีดแล่โคอันคมชำแหละโค แยก
ส่วนเนื้อข้างใน แยกส่วนหนังข้างนอกไว้ ในส่วนเนื้อนั้น ส่วนใดเป็นเนื้อ
ล่ำในระหว่าง เอ็นในระหว่าง เครื่องผูกในระหว่าง ก็ใช้มีดแล่โคอันคมเถือ
แล่คว้านส่วนนั้น ๆ ครั้นแล้วคลี่ส่วนหนังข้างนอกออก เอาปิดโคนั้นไว้ แล้ว
กล่าวอย่างนี้ว่า โคตัวนี้ประกอบด้วยหนังผืนนี้ เหมือนอย่างเดิมนั่นเอง
น้องหญิงทั้งหลายคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้กล่าวนั้นชื่อว่า กล่าว
ชอบหรือหนอแล.
ภิกษุณี. หามิได้ เจ้าข้า.
น. นั่น เพราะเหตุไร.
ภิกษุณี. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโค
ผู้ฉลาดโน้น ฆ่าโคแล้ว ใช้มีดแล่โคอันคมชำแหละโค แยกส่วนเนื้อข้างใน
แยกส่วนหนังข้างนอกไว้ ในส่วนเนื้อนั้น ส่วนใดเป็นเนื้อล่ำในระหว่าง เอ็นใน
ระหว่าง เครื่องผูกในระหว่าง ก็ใช้มีดแล่โคอันคมเถือ แล่ คว้านส่วนนั้นๆ
ครั้นแล้วคลี่ส่วนหนังข้างนอกออก เอาปิดโคนั้นไว้ แม้เขาจะกล่าวอย่างนี้ว่า
โคตัวนี้ประกอบด้วยหนังผืนนี้ เหมือนอย่างเดิมนั่นเอง ก็จริง ถึงกระนั้นแล
โคนั้นก็แยกกันแล้วจากหนังผืนนั้น.
[๗๗๗] น. น้องหญิงทั้งหลาย เราเปรียบอุปมานี้เพื่อให้เข้าใจเนื้อ
ความชัด เนื้อความในอุปมานั้น มีดังต่อไปนี้ น้องหญิงทั้งหลาย ข้อว่าส่วน

458
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 459 (เล่ม 23)

เนื้อข้างในนั้น เป็นชื่อของอายตนะภายใน ๖ ส่วนหนังข้างนอกนั้น เป็นชื่อ
ของอายตนะภายนอก ๖ เนื้อล่ำในระหว่าง เอ็นในระหว่าง เครื่องผูกในระหว่าง
นั้นเป็นชื่อของนันทิราคะ มีดแล่โคอันคมนั้น เป็นชื่อของปัญญาอันประเสริฐ
ซึ่งใช้เถือ แล่ คว้านกิเลสในระหว่าง สัญโญชน์ในระหว่างเครื่องผูกในระหว่าง
ได้.
ว่าด้วยโพชฌงค์ ๗
[๗๗๘] ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย โพชฌงค์ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้
มากแล้ว เป็นเหตุ ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันอยู่
เหล่านี้ มี ๗ อย่างแล ๗ อย่างเป็นไฉน ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย คือ ภิกษุ
ในพระธรรมวินัยนี้.
(๑) ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัย
นิโรธ อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย
(๒) ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์...
(๓) ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์...
(๔) ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์...
(๕) ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์...
(๖) ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์...
(๗) ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ
อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย เหล่านั้นแล
โพชฌงค์ ๗ ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นเหตุ ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะ
รู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันอยู่.

459
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 460 (เล่ม 23)

[๗๗๙] ครั้นท่านพระนันทกะกล่าวสอนภิกษุณีเหล่านั้นด้วยโอวาทนี้
แล้ว จึงส่งไปด้วยคำว่า ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจงไปเถิด สมควร
แก่เวลาแล้ว ลำดับนั้น ภิกษุณีเหล่านั้น ยินดีอนุโมทนาภาษิตของท่านพระ-
นันทกะแล้ว ลุกจากอาสนะ อภิวาทท่านพระนันทกะ กระทำประทักษิณ
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า
ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอยืนเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส
ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุณีทั้งหลาย พวกเธอจงไปเถิด สมควรแก่เวลาแล้ว ต่อนั้น
ภิกษุณีเหล่านั้น ได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้ว
หลีกไป.
[๗๘๐] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อภิกษุณีเหล่านั้นหลีก
ไปแล้วไม่นาน ได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทุกวัน
อุโบสถ ๑๔ ค่ำนั้น ชนเป็นอันมากไม่มีความเคลือบแคลง หรือสงสัยว่า
ดวงจันทร์พร่องหรือเต็มหนอ แต่แท้ที่จริง ดวงจันทร์ก็ยังพร่องอยู่ที่เดียว
ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีเหล่านั้น ย่อมเป็นผู้ชื่นชมธรรมเทศนา
ของนันทกะ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีความดำริบริบูรณ์เลย ฉันนั้นเหมือนกันแล ใน
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระนันทกะว่า ดูก่อนนันทกะ
ถ้าเช่นนั้น วันพรุ่งนี้ เธอก็พึงกล่าวสอนภิกษุณีเหล่านั้นด้วยโอวาทนั้น เหมือนกัน
ท่านพระนันทกะทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า.
[๗๘๑] ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทกะ พอล่วงราตรีนั้นไปแล้ว ถึง
เวลาเช้า จึงนุ่งสบงทรงบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ครั้น
กลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว เข้าไปยังวิหารราชการามแต่
รูปเดียว ภิกษุณีเหล่านั้นได้เห็นท่านพระนันทกะเดินมาแต่ไกล จึงพากันแต่ง
ตั้งอาสนะและตั้งน้ำล้างเท้าไว้ ท่านพระนันทกะนั่งบนอาสนะที่แต่งตั้งไว้แล้ว

460
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 461 (เล่ม 23)

จึงล้างเท้า แม้ภิกษุณีเหล่านั้นก็อภิวาทท่านพระนันทกะแล้ว นั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง.
[๗๘๒] พอนึ่งเรียบร้อยแล้ว ท่านพระนันทกะได้กล่าวดังนี้ว่า
ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย จักต้องมีข้อสอบถามกันแล ในข้อสอบถามนั้น
น้องหญิงทั้งหลายรู้อยู่ พึงตอบว่ารู้ ไม่รู้อยู่ ก็พึงตอบว่าไม่รู้ หรือน้องหญิง
รูปใด มีความเคลือบแคลงสงสัย น้องหญิงรูปนั้น พึงทวนถามข้าพเจ้าในเรื่อง
นั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้อนี้เป็นอย่างไร ข้อนี้มีเนื้อความอย่างไรเถิด.
ภิกษุณีเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกดิฉันย่อมพอใจ
ยินดีต่อพระผู้เป็นเจ้านันทกะ ด้วยเหตุที่พระผู้เป็นเจ้านันทกะปวารณาแก่พวก
ดิฉัน เช่นนี้.
ว่าด้วยอายตนะภายใน ๖
[๗๘๓] น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้า.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
โสตเที่ยงหรือไม่เที่ยง.

461
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 462 (เล่ม 23)

ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ.
น. ฆานะเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ.
น. ชิวหาเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ.
น. กายเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. มโนเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้าข้า.
น. นั่นเพราะเหตุไร.
ภิกษุณี. เพราะเมื่อก่อน พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบ
ตามความเป็นจริงว่า อายตนะภายใน ๖ ของเรา ไม่เที่ยง แม้เพราะเหตุนี้
เจ้าข้า.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย ถูกล่ะ ๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้
ด้วยปัญญาชอบ ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล.
[๗๘๔] น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้น.
เป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.

462
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 463 (เล่ม 23)

น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้น เป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้าข้า.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
เสียงเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. กลิ่นเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. รสเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. โผฏฐัพพะเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า. ฯลฯ
น. ธรรมารมณ์เที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้าข้า.
น. นั่นเพราะเหตุไร.

463
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 464 (เล่ม 23)

ภิกษุณี. เพราะเมื่อก่อน พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบ
ตามความเป็นจริงว่า อายตนะภายนอก ๖ ของเรา ไม่เที่ยง แม้เพราะเหตุนี้
เจ้าข้า.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วย
ปัญญาชอบ ตามเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล.
ว่าด้วยกองแห่งวิญญาณ ๖
[๗๘๕] น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน จักษุวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้าข้า.
น. น้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้น เป็นไฉน โสต
วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ฆานวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ชิวหาวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. กายวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.

464
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 465 (เล่ม 23)

ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. มโนวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้าข้า.
น. นั่นเพราะเหตุไร.
ภิกษุณี. เพราะเมื่อก่อน พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบ
ตามความเป็นจริงว่า กองวิญญาณ ๖ ของเรา ไม่เที่ยง แม้เพราะเหตุนี้
เจ้าข้า.
น. น้องหญิงทั้งหลาย ถูกละ ๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วยปัญญา
ชอบ ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล.
[๗๘๖] น้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนประทีปน้ำมันกำลังติดไฟ
อยู่ มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรนดา ไส้ก็ไม่เที่ยง แปรปรวน
ไปเป็นธรรมดา เปลวไฟก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แสงสว่าง
ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา น้องหญิงทั้งหลาย ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า
ประทีปน้ำมันที่กำลังติดไฟอยู่โน้น มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา
ไส้ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เปลวไฟก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็น
ธรรมดา แต่ว่าแสงสว่างของประทีป นั้นแล เที่ยง ยั่งยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มี
ความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ผู้ที่กล่าวนั้น ชื่อว่า พึงกล่าวชอบหรือหนอแล.

465