No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 446 (เล่ม 23)

พวกอมนุษย์ที่สิ่งในป่าจันทน์โกรธ พากันคิดว่า คนพวกนี้มัน ทำป่า
จันทน์ของพวกเราให้ฉิบหายแล้ว พวกเราจะฆ่าพวกมัน แล้วพูดว่า เมื่อพวก
มันถูกฆ่าในที่นี้ ป่าทั้งหมดก็จะกลายเป็นซากศพไปหนึ่งป่าที่เทียว พวกเราจะ
ให้เรือมันจมกลางทะเล. แล้วต่อมาในเวลาที่คนพวกนั้นขึ้นเรือแล้วแล่นไปได้ครู่
เดียวเท่านั้น ก็ทำให้เกิดพายุลมอย่างแรง แล้วพวกอมนุษย์เหล่านั้นเองก็พากัน
แสดงรูปที่น่ากลัวต่าง ๆ นานา. พวกคนก็กลัวพากัน ไหว้เทพเจ้าของตน ๆ.
จูฬปุณณกุฎุมพี น้องชายพระเถระคิดว่า ขอให้พี่ชายของข้าจงเป็นที่พึ่งด้วย
เถิดแล้วก็ยืนระลึกถึงพระเถระอยู่.
ได้ยินว่า ในขณะนั่งเอง พระเถระพิจารณาดูก็ได้ทราบว่าพวกเขา
กำลังตกอยู่ในความฉิบหาย จึงเหาะขึ้นสู่ฟ้ามายืนอยู่ตรงหน้า. พวกอมนุษย์
เห็นพระเถระพูดว่า พระคุณเจ้า ปุณณเถระมา แล้วพากันหลีกไป. พายุร้าย
ก็สงบทันที. พระเถระปลอบคนเหล่านั้นว่า ไม่ต้องกลัว แล้วถามว่า อยากจะไป
ไหนกัน . พวกกระผมจะไปที่เดิมของตัวเองนั่นแหละครับท่าน. พระเถระเหยียบ
แผ่นเรือแล้วอธิษฐานว่า จงไปสู่ที่ที่คนพวกนี้ต้องการ. พวกพ่อค้าเมื่อไปถึงที่
ของตนแล้ว ก็เล่าเรื่องนั้นให้ลูกเมียฟังแล้วชวนว่า มาเถิด พวกเราจงถึงพระ
เถระเป็นที่พึ่งเถิด จึงทั้ง ๕๐๐ คน พร้อมกับพวกแม่บ้านของตนอีก ๕๐๐ คน
ตั้งอยู่ในสรณะสาม ประกาศตัวเป็นอุบาสก. ต่อจากนั้นก็ให้ขนสินค้าลงจากเรือ
แบ่งถวายพระเถระส่วนหนึ่งเรียนท่านว่าท่านครับ นี้เป็นส่วนของพระคุณท่าน.
พระเถระตอบว่า อาตมาไม่มีกิจด้วยส่วนหนึ่งต่างหากหรือก็ แต่พวกคุณเคย
เห็นพระศาสดาแล้วหรือ. ยังไม่เคยเห็นเลยท่าน. ถ้าอย่างนั้น ขอให้พวกคุณเอา
ส่วนนี้ไปสร้างโรงปะรำถวายพระศาสดา แล้วพวกคุณจะได้เห็นพระศาสดาด้วย
อาการอย่างนี้. พวกนั้นก็รับว่าดีแล้วท่าน แล้วก็เริ่มสร้างโรงปะรำด้วยส่วนนั้น
และด้วยส่วนของตนอีกมาก.

446
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 447 (เล่ม 23)

เล่ากันว่า แม้พระศาสดา ก็ได้ทรงกระทำการบริโภคตั้งแต่เวลาเริ่ม
งาน. พวกคนยามได้เห็นแสงในเวลากลางคืนเข้าใจกันว่า มีเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
พวกอุบาสกช่วยกันสร้างโรงปะรำและเสนาสนะสำหรับพระภิกษุสงฆ์จนสำเร็จ
แล้วเตรียมเครื่องทาน แล้วกราบเรียนพระเถระว่า พระคุณเจ้า พวกกระผม
ได้ทำกิจเสร็จแล้ว ขอให้พระคุณเจ้าโปรดทูลพระศาสดามาเถิด. ตอนบ่าย
พระเถระไปถึงกรุงสาวัตถีด้วยฤทธิ์ แล้วกราบทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ชาวหมู่บ้านพ่อค้าอยากเฝ้าพระองค์ พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ได้โปรดกระทำ
อนุเคราะห์แก่พวกเขาเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้ว พระเถระทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ แล้วก็กลับไปยังถีนของตนตามเดิม.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสเรียกพระอานนทเถระมาสั่งว่า อานนท์
พรุ่งนี้พวกเราจะเที่ยวบิณฑบาตที่หมู่บ้านพ่อค้าในแคว้นสุนาปรันตะ เธอจง
ให้สลากแก่ภิกษุ ๔๙๙ รูป. พระเถระสนองพระพุทธบัญชาว่า ดีแล้ว พระ-
เจ้าข้า บอกเรื่องนั้นแก่ภิกษุสงฆ์ แล้วพูดว่า ขอให้พวกภิกษุที่เที่ยวไปบิณฑบาต
จงอย่าจับสลาก. ในวันนั้น ท่านกุณฑธานเถระ. ได้จับสลากแรก. ฝ่ายชาวหมู่
บ้านพ่อค้าทราบว่า นัยว่าพรุ่งนี้ พระศาสดาจะเสด็จมาถึง จึงสร้างปะรำกลาง
บ้าน ตระเตรียมของถวายทานชั้นเลิศ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำการ
ปฏิบัติพระสรีระตั้งแต่เช้าเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ประทับนั่งเข้าผลสมาบัติ.
ปัณฑุกัมพลสิลาสนะของท้าวสักกะเกิดร้อนขึ้นมา. ท้าวสักกะนั้นทรงพิจารณา
ว่า อะไรนี้ ทรงเห็นว่าพระศาสดาจะเสด็จไปแคว้น สุนาปรันตะ จึงรับสั่งเรียก
พระวิศวกรรมมาสั่งว่า พ่อ วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จเที่ยวบิณฑบาต
ระยะทางไกลประมาณสามร้อยโยชน์๑ พ่อจงเนรมิตเรือนยอดไว้ ๕๐๐ หลัง
ทำการเตรียมระยะทางเสด็จที่ท้ายสุดซุ้มประตูพระเชตวัน ตั้งไว้ให้พร้อมพระ-
๑. กมฺพุช. สามพันโยชน์

447
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 448 (เล่ม 23)

วิศวกรรมนั้นได้การทำอย่างนั้นแล้ว. เรือนยอดสำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้ามี
๔ มุข. ของสองพระอัศรสาวก มี ๒ มุข. ที่เหลือมีมุขเดียว. พระศาสดา
เสด็จออกจากพระคันธกุฎี ทรงเข้าสู่เรือนยอดอันประเสริฐในหมู่เรือนยอดที่ทั้ง
ไว้ตามลำดับ. เหล่าภิกษุ ๔๙๙ รูปเริ่มแต่พระอัครสาวกทั้งสองต่างก็ไปสู่เรือน
ยอด ๔๙๙ หลัง. มีเรือนยอดว่างอยู่หลังหนึ่ง. เรือนยอดทั้ง ๕๐๐ หลัง
ลอยไปในอากาศ.
พระศาสดา เสด็จถึงภูเขาชื่อ สัจจพันธ์ แล้วทรงหยุดเรือนยอดไว้ใน
อากาศ. ที่ภูเขานั้น มีดาบสมิจฉาทิฐิ ชื่อว่า สัจจพันธ์ ทำให้มหาชนถือเอา
ความเห็นผิดเป็นผู้ถึงลาภเลิศและยศเลิศอยู่. ก็ภายในตัวดาบสนั้นมีอุปนิสัยแห่ง
พระอรหัต โชติช่วงอยู่เหมือนประทีปที่อยู่ในตุ่ม. ครั้นทรงเห็นดาบสนั้นแล้ว
ทรงพระดำริว่า เราจะแสดงธรรมแก่เขา จึงเสด็จไปทรงแสดงธรรม. เมื่อทรง
เทศน์จบ ดาบสก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์. อภิญญาของท่านก็มากับมรรคนั่น
เอง. ท่านเป็นเอหิภิกษุ ทรงบาตรจีวรที่สำเร็จเพราะฤทธิ์แล้วเข้าสู่เรือนยอด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปถึงหมู่บ้านพ่อค้าพร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูป
ที่อยู่ในเรือนยอด ทรงทำให้ใครๆ มองไม่เห็นเรือนยอดแล้วเสด็จไปสู่หมู่บ้าน
พ่อค้า. พวกพ่อค้าได้ถวายทานใหญ่แก่หมู่ภิกษุซึ่งมีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุข
แล้วทูลอาราธนาพระศาสดาเสด็จไปยังมกุฬการาม. พระศาสดาทรงเข้าสู่โรง
ปะรำ. มหาชนรอเวลาจนพระศาสดาดับความกระวนกระวายเกี่ยวกับพระอาหาร
ให้สงบต่างรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้วสมาทานองค์อุโบสถถือของหอม.
และดอกไม้เป็นอันมากกลับมาวัดเพื่อต้องการฟังธรรม. พระศาสดาทรงแสดง
ธรรม. การหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องผูกเกิดแก่มหาชนแล้ว. ความโกลาหล
เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ขนานใหญ่ได้มีแล้ว.
เพื่อสงเคราะห์มหาชน พระศาสดา ประทับ ๒ - ๓ วัน ในที่นั้นเอง.
และก็ทรงยังอรุณให้ตั้งขึ้นในพระมหาคันธกุฎีนั่นแหละ. เมื่อประทับในที่นั้น

448
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 449 (เล่ม 23)

๒ - ๓ วันแล้ว ก็เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในหมู่บ้านพ่อค้าแล้วตรัสสั่งให้พระปุณณะ
เถระกลับว่าเธอจงอยู่ในที่นี้แหละ ในระหว่างทางมีแม่น้ำชื่อ นิมมทา ได้เสด็จ
ไปถึงฝั่งของแม่น้ำนั้น. นิมมทานาคราชถวายการต้อนรับ พระศาสดาทูลเสด็จ
เข้าสู่ภพนาคได้กระทำสักการะพระรัตนตรัยแล้ว. พระศาสดาทรงแสดงธรรม
แก่นาคราชนั้นแล้ว ก็เสด็จออกจากภพนาค. นาคราชนั้นกราบทูลขอว่าได้โปรด
ประทานสิ่งที่พึงบำเรอแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาค.
เจ้า จึงทรงแสดงบทเจดีย์ รอยพระบาท ไว้ที่ฝั่งแม่น้ำนิมมทา รอยพระบาท
นั้น เมื่อคลื่นซัดมาก็ถูกปิด เมื่อคลื่นเลยไปแล้วก็ถูกเปิด. กลายเป็นรอย
พระบาทที่ถึงสักการะอย่างใหญ่. เมื่อพระศาสดาทรงออกจากนั้นแล้วก็เสด็จถึง
ภูเขาสัจจพันธ์ ตรัสกับพระสัจจพันธ์ว่า มหาชนถูกเธอทำให้จมลงในทาง
อบาย เธอต้องอยู่ในที่นี้แหละ แก้ลัทธิของพวกคนเหล่านี้เสีย แล้วให้พวกเขา
ดำรงอยู่ในทางพระนิพพาน. แม้ท่านพระสัจจพันธ์นั้น ก็ทูลชื่อสิ่งที่จะต้องบำรุง.
พระศาสดาก็ทรงแสดงรอยพระบาทไว้บนหลังแผ่นหินทึบเหมือนประทับตรา
ไว้บนก้อนดินเหนียวสด ๆ ฉะนั้น. ต่อจากนั้นก็เสด็จไปถึงพระเชตวันที่
เดียว. ท่านหมายเอาข้อความนี้ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ด้วยภายในพรรษานั้นเอง
ดังนี้.
คำว่า ปรินิพพานแล้ว คือปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพาน-
ธาตุ. มหาชน ทำการบูชาสรีระของพระเถระตลอด ๗ วัน แล้วเอาไม้หอม
เป็นอันมากมากองเผาสรีระ เก็บธาตุ (กระดูก) แล้วสร้างเจดีย์ บรรจุ คำ
ว่า ภิกษุมากหลาย คือพวกภิกษุที่อยู่ในที่ฌาปนกิจศพของพระเถระ คำที่
เหลือในที่ทุกแห่งล้วนแต่ตื้น ๆ ทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาปุณโณวาทสูตรที่ ๓

449
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 450 (เล่ม 23)

๔. นันทโกวาทสูตร
[๗๖๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พระมหาปชาบดี
โคตมี พร้อมด้วยภิกษุณีประมาณ ๕๐๐ รูป เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ายัง
ที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
พอยืนเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงโอวาทสั่งสอนพวกภิกษุณี จงตรัสสั่ง
แสดงธรรมแก่พวกภิกษุณีเถิด.
[๗๖๗] ก็สมัยนั้นแล ภิกษุผู้เถระทั้งหลาย ย่อมโอวาทพวกภิกษุณี
โดยเป็นเวรกัน แต่ท่านพระนันทกะ ไม่ปรารถนาจะโอวาทพวกภิกษุณีโดย
เป็นเวรกัน ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า
ดูก่อนอานนท์ วันนี้ เวรโอวาทภิกษุณีโดยเป็นเวรกัน ของใครหนอแล.
ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งปวงทำ
เวรโอวาทภิกษุณีโดยเป็นเวรกัน หมดแล้ว แต่ท่านพระนันทกะรูปนี้ ไม่
ปรารถนาจะโอวาทพวกภิกษุณีโดยเป็นเวรกัน ต่อนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส
กะท่านพระนันทกะว่า ดูก่อนนันทกะ เธอจงโอวาทสั่งสอนพวกภิกษุณี ดูก่อน
พราหมณ์ เธอจงกล่าวแสดงธรรมกถาแก่พวกภิกษุณีเถิด ท่านพระนันทกะ
ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แล้วนุ่งสบงทรงบาตร
จีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถีในเวลาเช้า ครั้นกลับจากบิณฑบาต
ภายหลังเวลาอาหารแล้ว เข้าไปยังวิหารราชการามแต่รูปเดียว ภิกษุณีเหล่านั้น

450
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 451 (เล่ม 23)

ได้เห็นท่านพระนันทกะเดินมาแต่ไกล พากันแต่งตั้งอาสนะและตั้งน้ำสำหรับ
ล้างเท้าไว้ ท่านพระนันทกะนั่งบนอาสนะที่แต่งตั้งไว้แล้ว จึงล้างเท้า แม้
ภิกษุณีเหล่านั้น ก็ถวายอภิวาทท่านพระนันทกะ แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๗๖๘] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านพระนันทกะได้กล่าวดังนี้ว่า ดูก่อน
น้องหญิงทั้งหลาย จักต้องมีข้อสอบถามกันแล ในข้อสอบถามนั้น น้องหญิง
ทั้งหลายรู้อยู่ พึงตอบว่ารู้ ไม่รู้อยู่. ก็พึงตอบว่าไม่รู้. หรือน้องหญิงรูปใด
มีความเคลือบแคลงสงสัย น้องหญิงรูปนั้น พึงทวนถามข้าพเจ้าในเรื่องนั้นว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้อนี้เป็นอย่างไร ข้อนี้มีเนื้อความอย่างไร.
ภิกษุณีเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกดิฉันย่อมพอใจ
ยินดีต่อพระผู้เป็นเจ้านันทกะ ด้วยเหตุที่พระผู้เป็นเจ้านันทกะ ปวารณาแก่
พวกดิฉันเช่นนี้.
ว่าด้วยอายตนะภายใน
[๗๖๙] น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน จักษุเพียงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้าข้า.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
โสตเที่ยงหรือไม่เที่ยง.

451
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 452 (เล่ม 23)

ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. ฆานะเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. ชิวหาเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. กายเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. มโนเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้าข้า.
น. นั่นเพราะเหตุไร.
ภิกษุณี. เพราะเมื่อก่อน พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบ
ตามความเป็นจริงว่า อายตนะภายใน ๖ ของเรา ไม่เที่ยง แม้เพราะเหตุนี้
เจ้าข้า.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละ ๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วย
ปัญญาชอบ ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล.
[๗๗๐] น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง.

452
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 453 (เล่ม 23)

ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้าข้า.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
เสียงเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. กลิ่นเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. รสเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. โผฏฐัพพะเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ธรรมารมณ์เที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้าข้า
น. นั่นเพราะเหตุไร.

453
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 454 (เล่ม 23)

ภิกษุณี. เพราะเมื่อก่อน พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบ
ตามความเป็นจริงว่า อายตนะภายนอก ๖ ของเราไม่เที่ยง แม้เพราะเหตุนี้
เจ้าข้า.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละ ๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้
ด้วยปัญญาชอบ ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล.
ว่าด้วยกองแห่งวิญญาณ
[๗๗๑] น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้น
เป็นไฉน จักษุวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่น ของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย เจ้าข้า.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
โสตวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ
น. ฆานวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ.
น. ชิวหาวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ.
น. กายวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.

454
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 455 (เล่ม 23)

ภิกษุณี. ไม่เที่ยง เจ้าข้า ฯลฯ.
น. มโนวิญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง.
ภิกษุณี. ไม่เที่ยง. เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข.
ภิกษุณี. เป็นทุกข์ เจ้าข้า.
น. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควร
หรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา.
ภิกษุณี. ไม่ควร เจ้าข้า.
น. นั่นเพราะเหตุไร.
ภิกษุณี. เพราะเมื่อก่อน พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบ
ตามความเป็นจริงว่า หมวดวิญญาณ ๖ ของเราไม่เที่ยง แม้เพราะเหตุนี้
เจ้าข้า.
น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละ ๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วย
ปัญญาชอบ ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล.
[๗๗๒] น. ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน
กำลังติดไฟอยู่ มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไส้ก็ไม่เที่ยง
แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เปลวไฟก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา
แสงสว่างก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ดูก่อนน้องหญิงทั้งหลาย ผู้ใด
กล่าวอย่างนี้ว่า ประทีปน้ำมันที่กำลังติดไฟอยู่โน้น มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง
แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไส้ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เปลวไฟ
ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แต่ว่าแสงสว่างของประทีปนั้นแล เที่ยง
ยั่นยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ผู้ที่กล่าวนั้นชื่อว่า
พึงกล่าวชอบหรือหนอแล.

455