บทว่า วิมุตฺติ ได้แก่ อรหัตผลวิมุตติ. บทว่า สจฺจํ ได้แก่ ปรมัตถสัจ
คือ นิพพาน. ความหลุดพ้นนั้นตรัสว่า ไม่กำเริบ เพราะทำอารมณ์อันไม่
กำเริบด้วยประการฉะนี้ . บทว่า มุสา ได้แก่ ไม่จริง. บทว่า โมสธมฺมํ
ได้แก่ สภาพที่พินาศ. บทว่า ตํ สจฺจํ ความว่า สัจจะนั้นเป็นของแท้มีสภาพ.
บทว่า อโมสธมฺมํ ได้แก่มีสภาพไม่พินาศ. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะ
ปรมัตถสัจ คือ นิพพานนั้นแล สูงกว่าวจีสัจบ้าง ทุกขสัจและสมุทัยสัจบ้าง
ด้วยอำนาจแห่งสมถะและวิปัสสนาแต่ต้น. บทว่า เอวํ สมนฺนาคโต ความว่า
ผู้ประกอบพร้อมด้วยปรมัตถสัจจาธิษฐานอันสูงสุดนี้. บทว่า ปุพฺเพ คือ ใน
กาลเป็นปุถุชน. บทว่า อปธี โหนฺติ ได้แก่ อุปธิ เหล่านั้นคือ ขันธูปธิ
กิเลสูปธิ อภิสังขารูปธิ ปัญจกามคุณูปธิ. บทว่า สมตฺตา สมาทินฺนา
ความว่า บริบูรณ์คือถือเอาแล้ว ได้แก่ลูบคลำแล้ว. บทว่า ตสฺมา ความ
ว่า เพราะการสละกิเลสด้วยอรหัตมรรคนั้นแลดีกว่าการสละกิเลสด้วยอำนาจ
แห่งสมถะ และวิปัสสนาแต่ต้น และกว่าการสละกิเลสด้วยโสดาปัตติมรรคเป็น
ต้น. บทว่า เอวํ สมนฺนาคโต คือ ผู้ประกอบพร้อมแล้วด้วยจาคาธิษฐาน
อันสูงสุดนี้. ชื่อว่า อาฆาฏะ ด้วยอำนาจแห่งการทำการล้างผลาญ ในคำเป็น
ต้นว่า อาฆาโฏ. ชื่อว่า พยาบาทด้วยอำนาจแห่งการปองร้าย. ชื่อว่า สัมปโทสะ
ด้วยอำนาจแห่งการประทุษร้ายทุกอย่าง. ท่านกล่าวอกุศลมูลเท่านั้น ด้วยบท
ทั้ง ๓. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะการสงบระงับกิเลสด้วยอรหัตมรรคนั้น
แล สูงกว่าการสงบระงับกิเลสด้วยอำนาจแห่งสมถะและวิปัสสนาแต่เบื้องต้น.
และการสงบระงับกิเลสด้วยโสดาปัตตมรรคเป็นต้น . บทว่า เอวํ สมนฺนาคโต
ความว่า ผู้ประกอบพร้อมด้วยอุปสมาธิษฐานอันอุดมนี้.
