No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 395 (เล่ม 22)

เจริญกายคตาสติชื่อว่าเจริญกุศลธรรมฝ่ายวิชชา
[๓๑๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อน้ำว่างเปล่าอันเขา
ตั้งไว้บนเซิงรอง. จึงมีบุรุษมาถือเอาเป็นเครื่องตักน้ำ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ? บุรุษนั้นจะพึงได้น้ำเก็บไว้บ้างไหม ?
ภิ. ได้ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไร ๆ ก็ตาม
ไม่เจริญ ไม่ทำให้มากซึ่งกายคตาสติแล้ว มารย่อมได้ช่อง ย่อมได้อารมณ์.
ผู้เจริญกายคตาสติมารไม่ได้ช่อง
[๓๑๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไร ๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติ
แล้วทำให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เปรียบเหมือนบุรุษโยนกลุ่มด้ายเบา ๆ ลงบนแผ่นกระดานเรียบอันสำเร็จด้วย
ไม้แก่นล้วน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ?
บุรุษนั้นจะพึงได้ช่อง บนแผ่นกระดานเรียบอันสำเร็จด้วยไม้แก่นล้วน (จาก)
กลุ่มด้ายเบา ๆ นั้น บ้างไหม ?
ภิ. ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไร ๆ ก็ตาม
เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์.
[๓๑๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไม้สดมียาง จึงมีบุรุษ
มาถือเอาเป็นไม้สีไฟด้วยตั้งใจว่า จักติดไฟ จักก่อไฟ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ? บุรุษนั้นถือเอาไม้สดมียางโน้นเป็น
ไม้สีไฟแล้วสีกันไป จะพึงติดไฟ จะพึงก่อไฟได้บ้างไหม ?

395
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 396 (เล่ม 22)

ภิ. ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไร ๆ ก็ตาม
เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์.
เปรียบเทียบผู้เจริญกายคตาสติเหมือนหม้อน้ำเต็ม
[๓๑๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อน้ำ มีน้ำเต็มเปี่ยม
เสมอขอบปาก พอที่กาจะดื่มกินได้ อันเขาตั้งไว้บนเชิงรอง. จึงมีบุรุษมาถือเอา
เป็นเครื่องตักน้ำ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ?
บุรุษนั้นจะพึงได้น้ำเก็บไว้ บ้างไหม ?
ภิ. ไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไร ๆ ก็ตาม
เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว มารย่อมไม่ได้ช่อง ไม่ได้อารมณ์.
[๓๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไร ๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติ
แล้ว ทำให้มากแล้ว เธอน้อมจิตไปในธรรมใด ๆ ที่ควรทำให้แจ้งด้วยอภิญญา
จะถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมนั้น ๆ นั่นแหละ เพราะการทำให้แจ้งด้วย
อภิญญาได้ ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหม้อน้ำ
มีน้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบปาก พอที่กาจะดื่มกินได้ อันเขาตั้งไว้บนเชิงรอง
บุรุษมีกำลังมายังหม้อน้ำนั้นโดยทางใด ๆ จะพึงมาถึงน้ำโดยทางนั้น ๆ ได้
หรือ ?
ภิ. ได้ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไร ๆ ก็ตาม
เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว เธอน้อมจิตไปในธรรมใด ๆ ที่ควรทำ
ให้แจ้งด้วยอภิญญา จะถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมนั้น ๆ นั่นแหละ เพราะ
การทำให้แจ้งด้วยอภิญญาได้ ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ.

396
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 397 (เล่ม 22)

เปรียบเทียบผู้เจริญกายคตาสติเหมือนสระโบกขรณี
[๓๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนสระโบกขรณีสี่เหลี่ยมใน
ภูมิภาคที่ราบ เขาพูนคันไว้ มีน้ำเต็มเปี่ยมเสมอขอบปาก พอที่กาจะดื่มกินได้
บุรุษมีกำลังเจาะคันสระโบกขรณีนั้นทางด้านใด ๆ น้ำจะพึงไหลมาทางด้าน
นั้น ๆ ได้หรือ ?
ภิ. ไหลมาได้ พระพุทธเจ้าข้า.
พ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไร ๆ ก็ตาม
เจริญกายคตาสติแล้ว ทำให้มากแล้ว เธอน้อมจิตไปในธรรมใด ๆ ที่ควรทำ
ให้แจ้งด้วยอภิญญา จะถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมนั้น ๆ นั่นแหละ เพราะ
การกระทำให้แจ้งด้วยอภิญญาได้ ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ.
เปรียบเทียบผู้เจริญกายคตาสติเหมือนสารถีขับรถ
[๓๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนรถม้าอาชาไนยเขาเทียม
ม้าแล้ว มีแส้เสียบไว้ในที่ระหว่างม้าทั้งสองจอดอยู่บนพื้นที่เรียบตรงทางใหญ่ ๔
แยก. นายสารถีผู้ฝึกม้า เป็นอาจารย์ขับขี่ผู้ฉลาด ขึ้นรถนั้นแล้ว มือซ้าย
จับสายบังเหียน มือขวาจับแส้ ขับรถไปยังที่ปรารถนาได้ ฉันใด ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภิกษุไร ๆ ก็ตาม เจริญกายคตาสติแล้ว
ทำให้มากแล้ว เธอย่อมน้อมจิตไปในธรรมใด ๆ ที่ควรทำให้แจ้งด้วยอภิญญา
จะถึงความเป็นผู้สามารถในธรรมนั้น ๆ นั่นแหละ เพราะการกระทำให้แจ้ง
ด้วยอภิญญาได้ ในเมื่อมีสติเป็นเหตุ.

397
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 398 (เล่ม 22)

อานิสงส์การเจริญกายคตาสติ ๑๐ ประการ
[๓๑๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันภิกษุเสพแล้วโดยมาก
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นยานแล้ว ทำให้เป็นพื้นที่ตั้งแล้ว ให้
ดำรงอยู่เนือง ๆ แล้ว อบรมแล้ว ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์
๑๐ ประการนี้ คือ
(๑) อดกลั้นต่อความยินร้ายและความยินดีได้ ไม่ถูกความยินร้าย
ครอบงำ ย่อมครอบงำความยินร้ายที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ด้วย.
(๒) อดกลั้นต่อภัยและความหวาดกลัวได้ ไม่ถูกภัยและความหวาด
กลัวครอบงำ ย่อมครอบงำภัยและความหวาดกลัว ที่เกิดขึ้นแล้วอยู่ด้วย.
(๓) อดทน คือเป็นผู้มีปรกติอดกลั้นต่อความหนาว ความร้อน
ความหิว ความกระหาย ต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด. และสัตว์
เสือกคลาน ต่อทำนองคำพูดที่กล่าวร้าย ใส่ร้าย ต่อเวทนาประจำสรีระที่เกิด
ขึ้นแล้ว อันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ เผ็ดร้อน ไม่ใช่ความสำราญ ไม่เป็นที่
ชอบใจ พอจะสังหารชีวิตได้.
(๔) เป็นผู้ได้ฌาน ๔ อันเกิดมีในมหัตคตจิต เครื่องอยู่สบายใน
ปัจจุบัน ตามความปรารถนา ไม่ยาก ไม่ลำบาก.
(๕) ย่อมแสดงฤทธิ์ได้เป็นอเนกประการ คือ คนเดียวเป็นหลายคน
ก็ได้ หลายคนเป็นคนเดียวก็ได้ ปรากฏตัวหรือหายตัวไปนอกฝา นอกกำแพง
นอกภูเขาได้ไม่ติดขัด เหมือนไปในที่ว่างก็ได้ ทำการผุดขึ้นและดำลงในแผ่น
ดินเหมือนน้ำก็ได้ เดินบนน้ำไม่แตกเหมือนเดินบนแผ่นดินก็ได้ เหาะไปใน
อากาศโดยบัลลังก์เหมือนนกก็ได้ ลูบคลำพระจันทร์และพระอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์
มีอานุภาพมากปานฉะนี้ ด้วยฝ่ามือก็ได้ ใช้อำนาจทางกายไปจนถึงพรหมโลก
ก็ได้.

398
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 399 (เล่ม 22)

(๖) ย่อมฟังเสียงทั้งสอง คือ เสียงทิพย์และเสียงมนุษย์ ทั้งที่ไกล
และที่ใกล้ได้ด้วยทิพยโสตธาตุ อันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์.
(๗) ย่อมกำหนดรู้ใจของสัตว์อื่น และบุคคลอื่นได้ ด้วยใจ คือ
จิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ จิตมี
โทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ จิตมี
โมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จิตหดหู่
ก็รู้ว่าจิตหดหู่ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน จิตเป็นมหัคคตะก็รู้ว่าจิตเป็น
มหัคคตะ หรือจิตไม่เป็นมหัคคตะก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหัคคตะ จิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่า
ก็รู้ว่าจิตยังมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
จิตตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตตั้งมั่น หรือจิตไม่ตั้งมั่นก็รู้ว่าจิตไม่ตั้งมั่น จิตหลุดพ้นแล้ว
ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้นแล้ว หรือจิตยังไม่หลุดพ้นก็รู้ว่าจิตยังไม่หลุดพ้น.
(๘) ย่อมระลึกถึงขันธ์ ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนได้เป็นอเนกประการ
คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง
สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง
ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง หลายสังวัฏกัปบ้าง หลายวิวัฏกัป
บ้าง หลายสังวัฏวิวัฏกัปบ้าง ว่าในชาติโน้น เรามีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้
มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุขและทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุ
เท่านี้ เรานั้นเคลื่อนจากชาตินั้นแล้ว บังเกิดในชาติโน้น แม้ในชาตินั้น
เราก็มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวย
สุขและทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุเท่านี้ เรานั้นเคลื่อนจากชาตินี้แล้ว จึงเข้า
ถึงในชาตินี้ ย่อมระลึกถึงขันธ์ที่อยู่อาศัยในชาติก่อนได้เป็นอเนกประการ
พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศเช่นนี้.

399
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 400 (เล่ม 22)

(๙) ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มี
ผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วง
จักษุของมนุษย์ ฯลฯ ย่อมมองเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว
ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอัน
บริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมทราบชัดหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรม เช่นนี้.
(๑๐) ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะ
อาสวะทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันอยู่.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันภิกษุเสพแล้วโดยมาก เจริญแล้ว
ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นยานแล้ว ทำให้เป็นพื้นที่ตั้งแล้ว ให้ดำรงอยู่เนือง ๆ
แล้ว อบรมแล้ว ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว พึงหวังอานิสงส์ ๑๐ ประการได้
ดังนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่าง
ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล.
จบ กายคตาสติสูตรที่ ๙

400
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 401 (เล่ม 22)

อรรถกถากายคตาสติสูตร
กายคตาสติสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เคหสิตา ได้แก่ อาศัยกามคุณ
ความดำริอันแล่นไป ชื่อว่า สรสงฺกปฺปา (ความดำริพล่าน) ก็ธรรมชาติ
ชื่อ สร เพราะพล่านไป อธิบายว่า แล่นไป. บทว่า อชฺฌตฺตเมว ความว่า
ในอารมณ์อันเป็นภายในเท่านั้น. บทว่า กายคตาสติ ได้แก่ สติอันกำหนด
(พิจารณา) กายบ้าง มีกายเป็นอารมณ์บ้าง. เมื่อกล่าวว่า กำหนด (พิจารณา)
กาย ย่อมเป็นอันกล่าวถึงสมถะ เมื่อกล่าวว่า มีกายเป็นอารมณ์ ย่อมเป็น
อันกล่าวถึงวิปัสสนา ย่อมเป็นอันกล่าวถึงทั้งสมถะ และวิปัสสนา ด้วยบท
ทั้งสอง. ตรัสกายานุปัสสนา ๑๔ อย่าง ในมหาสติปัฏฐาน มีคำว่า ปุน จ
ปรํ ฯเปฯ เอวํ โข ภิกฺขเว ภิกฺขุ กายคตํ สตึ๑ ภาเวติ (ข้ออื่นยังมีอีก
ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญกายคตาสติ อย่างนี้แล) ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า อนฺโตคธา ตสฺส ความว่า (กุศลธรรม) ย่อมเป็นอัน
รวมลงในภายในแห่งภาวนาของภิกษุนั้น. ในบทว่า วิชฺชาภาคิยา นี้มีอธิบาย
ว่า ชื่อว่า ส่วนวิชชา เพราะส้องเสพ (คือได้) วิชชาด้วยอำนาจสัมปโยค
ดังนี้บ้าง. ชื่อว่า ส่วนวิชชา เพราะเป็นไปในส่วนวิชชา คือในกลุ่มวิชชา
ดังนี้บ้าง. ในกุศลธรรมอันเป็นส่วนวิชชานั้น วิชชา ๘ คือ วิปัสสนาญาณ ๑
มโนมยิทธิ ๑ อภิญญา ๖ ด้วยอรรถวิเคราะห์ข้อแรก แม้ธรรมทั้งหลายที่
สัมปยุตด้วยวิชชา ๘ เหล่านั้น ก็เป็นส่วนแห่งวิชชา. (วิชชาภาคิยะ).
ด้วยอรรถวิเคราะห์ข้อหลัง วิชชาอย่างใดอย่างหนึ่ง เพียงวิชชาเดียว ใน
บรรดาวิชชา ๘ เหล่านั้น ชื่อว่าวิชชา วิชชาที่เหลือทั้งหลายเป็นส่วนแห่ง-
๑. ม. กายคตาสตึ.

401
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 402 (เล่ม 22)

วิชชา. เมื่ออธิบายอย่างนี้ วิชชาก็ดี ธรรมที่สัมปยุตด้วยวิชชาก็ดี พึง
ทราบว่า เป็นส่วนแห่งวิชชาทั้งนั้น. ในบทว่า เจตสา ผุโฏ นี้มีอธิบาย
ว่า การแผ่มี ๒ อย่าง คือ แผ่ด้วยอาโปกสิณ, แผ่ด้วยทิพยจักษุ, ใน
การแผ่ ๒ อย่างนั้น การเข้าอาโปกสิณแล้วแผ่ไปด้วยน้ำ ชื่อว่า แผ่ด้วย
อาโปกสิณ แม่น้ำสายเล็กๆ (แคว) ที่ไหลลงสู่ทะเลทั้งหมด ย่อมเป็นอัน
รวมอยู่ภายในทะเลใหญ่ แม้ที่อาโปกสิณถูกต้องแล้วอย่างนี้. ส่วนการเจริญ
อาโลกกสิณแล้วแลดูทะเลทั้งหมดด้วยทิพยจักษุ ชื่อว่าแผ่ไปด้วยทิพยจักษุ
เมื่อทะเลใหญ่แม้ที่ทิพยจักษุถูกต้องแล้วอย่างนี้ แม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลลงสู่
ทะเลทั้งหมด ย่อมเป็นอันรวมอยู่ภายในทั้งนั้น.
บทว่า โอตารํ ได้แก่ ระหว่าง คือ ช่อง. บทว่า อารมฺมณํ
ได้แก่ เป็นปัจจัยแห่งการบังเกิดกิเลส. บทว่า ลเภถ โอตารํ ความว่า
พึงได้การเข้าไป อธิบายว่า พึงแทงตลอดไปจนถึงที่สุด.
บทว่า นิกฺเขปนํ ได้แก่ (เนื้อ) ที่ที่จะเก็บน้ำไว้.
ทรงเปรียบบุคคลผู้ไม่เจริญกายคตาสติ ด้วยกองดินเปียกเป็นต้นอย่าง
นี้แล้ว บัดนี้เพื่อจะทรงเปรียบบุคคลผู้เจริญกายคตาสติด้วยแผ่นไม้แก่นเป็นต้น
จึงตรัสคำว่า เสยฺยถาปิ ดังนี้เป็นต้นไป.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อคฺคฬผลกํ ได้แก่ บานประตู.
บทว่า กากเปยฺโย ความว่า อันกาจับที่ขอบปากแล้วก้มคอดื่มได้.
บทว่า อภิญฺญาสจฺฉิกรณียสฺส แปลว่า พึงทำให้แจ้งด้วยอภิญญา.
บทว่า สกฺขิพฺยตํ ปาปุณาติ ได้แก่ ถึงความประจักษ์. บทว่า
สติ สติอายตเน คือ เมื่อเหตุแห่งสติมีอยู่.

402
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 403 (เล่ม 22)

ถามว่า ก็อะไรเป็นเหตุในที่นี้.
ตอบว่า อภิญญานั่นแหละเป็นเหตุ.
บทว่า อาฬิพทฺธา ได้แก่ กั้นเขื่อน.
บทว่า ยานีกตาย คือ ทำให้เหมือนยานที่เทียมไว้แล้ว บทว่า
วตฺถุกตาย คือ ทำให้เป็นที่พึ่งอาศัย (ที่จอด). บทว่า อนุฏฺฐิตาย คือ
เป็นไปเนือง ๆ. บทว่า ปริจิตาย คือ ทำการสั่งสมไว้. บทว่า
สุสมารทฺธาย ได้แก่ ปรารภสม่ำเสมอดีแล้ว คือ ประคับประคองไว้อย่าง
ดี. คำที่เหลือในบททั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล.
จบ อรรถกถากายคตาสติสูตรที่ ๙

403
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ – หน้าที่ 404 (เล่ม 22)

๑๐. สังขารูปปัตติสูตร
ว่าด้วยปฏิปทาให้สำเร็จความปรารถนา
[๓๑๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับพระพุทธดำรัสแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา
ตถาคตจักแสดงความเกิดขึ้นแห่งสังขารแก่เธอทั้งหลาย. เธอทั้งหลายจงฟัง
ความเกิดขึ้นแห่งสังขารนั้น จงใส่ใจให้ดี เราตถาคตจักกล่าวต่อไป. ภิกษุ
เหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ชอบแล้วพระพุทธเจ้าข้า.
ปฏิปทาเพื่อเป็นกษัตริย์มหาศาล
[๓๑๙] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ ปัญญา
เธอมีความปรารถนาอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ ! เราเมื่อตายไปแล้วพึงเข้าถึงความ
เป็นสหายแห่งกษัตริย์มหาศาลเถิด ดังนี้ก็มี เธอจึงตั้งจิตนั้น อธิษฐาน
จิตนั้น เจริญจิตนั้น ความปรารถนาและวิหารธรรมเหล่านั้น อันเธอเจริญ
แล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความสำเร็จในภาวะนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้มรรค นี้ปฏิปทา เป็นไปเพื่อความสำเร็จในความเป็น
สหายแห่งกษัตริย์มหาศาล.

404