No Favorites


หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 196 (เล่ม 21)

เคารพนอบน้อมเป็นอย่างยิ่งเห็นปานนี้ในสรีระนี้ และทรงแสดงอาการฉันท-
มิตร.
ความเลื่อมใสในธรรม
[๕๖๒] พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
หม่อมฉันมีความเลื่อมใสในธรรมในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสรู้เองโดยชอบ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว พระสงฆ์สาวก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระ-
วโรกาส หม่อมฉันเห็นสมณพราหมณ์พวกหนึ่งประพฤติพรหมจรรย์กำหนดที่
สุดสิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง. สมัยต่อมา สมณพราหมณ์
เหล่านั้น อาบน้ำดำเกล้า ลูบไล้อย่างดี แต่งผมและหนวด บำเรอคนให้
เอิบเอิ่มพรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่หม่อมฉัน
ได้เห็นภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ พระพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์ มี
ชีวิตเป็นที่สุดจนตลอดชีวิต. อนึ่ง หม่อมฉันมิได้เห็นพรหมจรรย์อื่นอันบริสุทธิ์
บริบูรณ์อย่างนี้ นอกจากธรรนวินัยนี้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ก็เป็น
ความเลื่อมใสในธรรมในพระผู้มีพระภาคเจ้าของหม่อมฉันว่า พระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว พระสงฆ์
สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าปฏิบัติดีแล้ว.
[๕๖๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง พระราชาก็ยังวิวาท
กับพระราชา แม้กษัตริย์ก็ยังวิวาทกับกษัตริย์ แม้พราหมณ์ก็ยังวิวาทกับ
พราหมณ์ แม้คฤหบดีก็วิวาทกับคฤหบดี แม้มารดาก็ยังวิวาทกับบุตร แม้บุตร
ก็ยังวิวาทกับมารดา แม้บิดาก็ยังวิวาทกับบุตร แม้บุตรก็ยังวิวาทกับบิดา แม้
พี่น้องชายก็ยังวิวาทกับพี่น้องหญิง แม้พี่น้องหญิงก็ยังวิวาทกับพี่น้องชาย แม้

196
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 197 (เล่ม 21)

สหายก็ยังวิวาทกับสหายะ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่หม่อมฉันได้เห็นภิกษุ
ทั้งหลายในธรรมวินัยนี้สมัครสมานกัน ชื่นชมกัน ไม่วิวาทกัน เข้ากันได้สนิท
เหมือนน้ำกับน้ำนม มองดูกันและกันด้วยจักษุอันเปี่ยมด้วยความรักอยู่. ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันไม่เคยเห็นบริษัทอื่นที่สมัครสมานกันอย่างนี้ นอก
จากธรรมวินัยนี้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ก็เป็นความเลื่อมใสในธรรม
ในพระผู้มีพระภาคเจ้าของหม่อนฉัน....
[๕๖๔] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง หม่อมฉันเดินเที่ยว
ไปตามอารามทุกอาราม ตามอุทยานทุกอุทยานอยู่เนือง. ๆ ในที่นั้น ๆ หม่อม
ฉันได้เห็นสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ผ่องใส
ผอมเหลือง ตามตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ดูเหมือนว่าจะไม่ตั้งใจแลดูคน.
หม่อมฉันนั้นได้เกิดความคิดว่า ท่านเหล่านี้คงไม่ยินดีพระพฤติพรหมจรรย์เป็น
แน่ หรือว่าท่านเหล่านั้นมีบาปกรรมอะไรที่ทำแล้วปกปิดไว้ ท่านเหล่านั้นจึง
ซูบผอม เศร้าหมองมีผิวพรรณไม่ผ่องใส ผอมเหลือง ตามตัวสะพรั่งไปด้วย
เส้นเอ็น ดูเหมือนว่าไม่ตั้งใจแลดูคน. หม่อมฉันเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่า
นั้นแล้วถามว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เหตุไรหนอท่านทั้งหลายจึงซูบผอม
เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ผ่องใส ผอมเหลือง ตามตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น
ดูเหมือนว่าไม่ตั้งใจแลดูคน. สมณพราหมณ์เหล่านั้นได้ตอบอย่างนี้ว่า ดูก่อน
มหาบพิตร อาตมภาพทั้งหลายเป็นโรคพันธุกรรม. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่
หม่อมฉันได้เห็นภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ร่าเริงยิ่งนัก มีใจชื่นบา น มีรูป
อันน่ายินดี มีอินทรีย์เอิบอิ่ม มีความขวนขวายน้อย มีขนอันดก เลี้ยงชีพ
ด้วยของที่ผู้อื่นให้ มีใจดังมฤคอยู่. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้มี
ความคิดว่า ท่านเหล่านี้ คงรู้คุณวิเศษยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ในพระศาสนาของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นแน่ ท่านเหล่านั้นจึงร่าเริงยิ่งนัก มีใจชื่นบาน มีรูปอัน

197
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 198 (เล่ม 21)

น่ายินดี มีอินทรีย์เอิบอิ่ม มีความขวนขวายน้อย มีขนอันดก เลี้ยงชีพด้วย
ของที่ผู้อื่นให้ มีใจดังมฤคอยู่. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ก็เป็นความ
เลื่อมใสในธรรมในพระผู้มีพระภาคเจ้าของหม่อมฉัน...
[๕๖๕] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง หม่อมฉันเป็นขัตติยราช
ได้มูรธาภิเษกแล้ว ย่อมสามารถจะให้ฆ่าคนที่ควรฆ่าได้ จะให้ริบคนที่ควรริบ
ก็ได้ จะให้เนรเทศคนที่ควรเนรเทศก็ได้. เมื่อหม่อมฉันนั่งอยู่ในที่วินิจฉัยความ
ก็ยังมีคนทั้งหลายพูดสอดขึ้นในระหว่าง ๆ หม่อมฉันจะห้ามว่า ดูก่อนท่าน
ผู้เจริญทั้งหลาย เมื่อเรานั่งอยู่ในที่วินิจฉัยความ ท่านทั้งหลายอย่าพูดสอดขึ้น
ในระหว่าง จงรอคอยให้สุดถ้อยคำของเราเสียก่อน ดังนี้ ก็ไม่ได้ คนทั้งหลาย
ก็ยังพูดสอดขึ้นในระหว่างถ้อยคำของหม่อมฉัน. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แต่
หม่อมฉันได้เห็นภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ในสมัยใด พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทหลายร้อย ในบริษัทนั้น สาวกทั้งหลายของพระผู้มี
พระภาคเจ้าไม่มีเสียงจามหรือเสียงไอเลย. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมี
มาแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่บริษัทหลายร้อย ในบริษัทนั้น
สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้ารูปหนึ่งได้ไอขึ้น. เพื่อนพรหมจรรย์รูปหนึ่ง ได้
เอาเข่ากระตุ้นเธอรูปนั้น ด้วยความประสงค์จะให้เธอรู้สึกตัวว่า ท่านจงเงียบ
เสียง อย่าได้ทำเสียงดังไป พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นศาสดาของเราทั้งหลาย
กำลังทรงแสดงธรรมอยู่. หม่อมฉันเกิดความคิดขึ้นว่า น่าอัศจรรย์หนอ
ไม่เคยมีมา ได้ยินว่า บริษัทจักเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกดีแล้วอย่างนี้
โดยไม่ต้องใช้อาชญา โดยไม่ต้องใช้ศาสตรา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน
ไม่เคยได้เห็นบริษัทอื่นที่ฝึกได้ดีอย่างนี้ นอกจากธรรมวินัยนี้. แม้ข้อนี้ ก็เป็น
ความเลื่อมใสในธรรมในพระผู้มีพระภาคเจ้าของหม่อมฉัน...

198
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 199 (เล่ม 21)

[๕๖๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง หม่อมฉันได้เห็น
กษัตริย์ผู้เป็นบัณฑิตบางพวกในโลกนี้ เป็นผู้ฉลาด อาจย่ำยีถ้อยคำอันเป็นข้าศึก
ได้มีปัญญาสามารถยิงขนทรายได้. กษัตริย์เหล่านั้น เหมือนดังเที่ยวทำลายทิฐิ
ของผู้อื่นด้วยปัญญา. พอได้ยินข่าวว่า พระสมณโคดมจักเสด็จถึงบ้านหรือนิคม
ชื่อโน้น กษัตริย์เหล่านั้นก็พากันแต่งปัญหาด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักพากัน
เข้าไปหาพระสมณโคดมแล้วถามปัญหานี้ ถ้าพระสมณโคดมอันพวกเราถาม
อย่างนี้แล้ว จักพยากรณ์อย่างนี้ไซร้ พวกเราจักยกวาทะอย่างนี้แก่พระสมณ-
โคดม ถ้าแม้พระสมณโคดมอันเราทั้งหลายถามอย่างนี้แล้ว จักพยากรณ์อย่าง
นี้ไซร้ พวกเราก็จักยกวาทะแม้อย่างนี้แก่พระสมณโคดม. กษัตริย์เหล่านั้น
ได้ยินข่าวว่า พระสมณโคดมเสด็จถึงบ้านหรือนิคมโน้นแล้ว ก็พากันไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้กษัตริย์
เหล่านั้นเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา. กษัตริย์
เหล่านั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ
ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ไม่ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ไหน
จักยกวาทะแก่พระองค์เล่า ที่แท้ก็พากันยอมตนเข้าเป็นสาวกของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้อนี้ ก็เป็นความเลื่อมใสในธรรมในพระผู้มี
พระภาคเจ้าของหม่อมฉัน...
[๕๖๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง หม่อมฉันได้เห็น
พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิต ฯลฯ คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิต... สมณะผู้เป็นบัณฑิต
บางพวกในโลกนี้ เป็นผู้ฉลาด อาจย่ำยีถ้อยคำอันเป็นข้าศึกได้ มีปัญญา
สามารถยิงขนทรายได้. สมณะเหล่านั้นเหมือนดังเที่ยวทำลายทิฐิของผู้อื่นด้วย
ปัญญา. พอได้ยินข่าวว่า พระสมณโคดมจักเสด็จถึงบ้านหรือนิคมโน้น สมณะ
เหล่านั้นก็พากันแต่งปัญหาด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักพากันเข้าไปหาพระสมณ-

199
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 200 (เล่ม 21)

โคดมแล้วถามปัญหานี้ ถ้าพระสมณโคดมอันพวกเราถามอย่างนี้แล้ว จัก
พยากรณ์อย่างนี้ไซร้ พวกเราจักยกวาทะอย่างนี้ แก่พระสมณโคดม ถ้าแม้
พระสมณโคดมอันเราทั้งหลายถามอย่างนี้แล้ว จักพยากรณ์อย่างนี้ไซร้ พวกเรา
ก็จักยกวาทะแม้อย่างนี้แก่พระสมณโคดม. สมณะเหล่านั้นได้ยินข่าวว่า พระ-
สมณโคดมเสด็จถึงบ้านหรือนิคมโน้นแล้ว ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงที่ประทับ . พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้สมณะเหล่านั้นเห็นแจ้ง ให้
สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมีกถา. สมณะเหล่านั้น อันพระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วย
ธรรมีกถาแล้ว ไม่ทูลถามปัญหากะพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ไหนจักยกวาทะแก่
พระองค์เล่า ที่แท้ย่อมขอโอกาสกะพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อขอออกบวชเป็น
บรรพชิต. พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงให้เขาเหล่านั้นบวช. ครั้นเขาเหล่านั้นได้
บวชอย่างนี้แล้ว เป็นผู้หลีกออกจากหมู่ ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไป
แล้ว อยู่ไม่นานนักก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตร
ทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองใน
ปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ท่านเหล่านั้นพากันกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ
ทั้งหลาย เราทั้งหลายย่อมไม่พินาศละซิหนอ ด้วยว่าเมื่อก่อนเราทั้งหลายไม่ได้
เป็นสมณะเลย ก็ปฏิญาณว่าเป็นสมณะ ไม่ได้เป็นพราหมณ์เลย ก็ปฏิญาณว่า
เป็นพราหมณ์ ไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย ก็ปฏิญาณว่าเป็นพระอรหันต์ บัดนี้
พวกเราเป็นสมณะ เป็นพราหมณ์ เป็นพระอรหันต์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แม้ข้อนี้ ก็เป็นความเลื่อมใสในธรรมในพระผู้มีพระภาคเจ้าของหม่อมฉัน . . .
[๕๖๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง ช่างไม้สองคน
คนหนึ่งชื่ออิสิทันตะ คนหนึ่งชื่อปุราณะ หม่อนฉันชุบเลี้ยงไว้ ใช้ยวดยาน
ของหม่อมฉัน หม่อมฉันให้เครื่องเลี้ยงชีพแก่เขา นำยศมาให้เขา แต่ถึงกระนั้น

200
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 201 (เล่ม 21)

เขาจะได้ทำความเคารพนบนอบในหม่อมฉัน เหมือนในพระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็หาไม่. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องเคยมีมาแล้ว หม่อมฉันยกกองทัพออกไป
เมื่อจะทดลองช่างไม้ชื่ออิสิทันตะและช่างไม้ปุราณะนี้ดู จึงเข้าพักอยู่ในที่พัก
อันคับแคบแห่งหนึ่ง. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้งนั้นแล นายช่างอิสิทันตะและ
นายช่างปุราณะเหล่านี้ ยังกาลให้ล่วงไปด้วยธรรมีกถาตลอดราตรีเป็นอันมาก
ได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ทิศใด เขาก็ผินศีรษะไปทางทิศนั้น
นอนเหยียดเท้ามาทางหม่อมฉัน. หม่อมฉันมีความคิดว่าท่านผู้เจริญทั้งหลาย
น่าอัศจรรย์นักหนอ ไม่เคยมีมาแล้วหนอ นายช่างอิสิทันตะและนายช่างปุราณะ
เหล่านี้ เราชุบเลี้ยงไว้ ใช้ยวดยานก็ของเรา เราให้เครื่องเลี้ยงชีพแก่เขา
นำยศมาให้เขา แต่ถึงกระนั้น เขาจะได้ทำความเคารพนบนอบในเรา เหมือน
ในพระผู้มีพระภาคเจ้าก็หาไม่. ท่านเหล่านี้คงจะรู้คุณวิเศษยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นแน่. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
แม้ข้อนี้ ก็เป็นความเลื่อมใสในธรรมในพระผู้มีพระภาคเจ้าของหม่อมฉัน....
[๕๖๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อีกประการหนึ่ง แม้พระผู้มี-
พระภาคเจ้าก็เป็นกษัตริย์ แม้หม่อมฉันก็เป็นกษัตริย์ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ก็เป็นชาวโกศล แม้หม่อมฉันก็เป็นชาวโกศล แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มี
พระชนมายุ ๘๐ ปี แม้หม่อมฉันก็มีอายุ ๘๐ ปี ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ด้วยเหตุนี้แล หม่อมฉันจึงได้ทำความเคารพนบนอบเป็นอย่างยิ่งในพระผู้มี
พระภาคเจ้า และแสดงอาการเป็นฉันท์มิตร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น
หม่อมฉันขอทูลลาไป ณ บัดนี้ หม่อมฉันมีกิจมาก มีกรณียะมาก. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร มหาบพิตรจงทรงทราบกาลอันควรใน
บัดนี้เถิด. ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จลุกจากที่ประทับ ทรงถวาย
อภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำประทักษิณแล้วเสด็จหลีกไป.

201
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 202 (เล่ม 21)

ตรัสธรรมเจดีย์
[๕๗๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จไปแล้วไม่นาน
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระ-
เจ้าปเสนทิโกศลพระองค์นี้ ตรัสธรรมเจดีย์ คือพระวาจาเคารพธรรม ทรง
ลุกจากที่ประทับนั่งแล้วเสด็จหลีกไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเรียน
ธรรมเจดีย์นี้ไว้ จงทรงจำธรรมเจดีย์นี้ไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเจดีย์
ประกอบด้วยประโยชน์ เป็นอาทิพรหมจรรย์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นพากัน
ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉะนี้แล.
จบธรรมเจติยสูตรที่ ๙

202
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 203 (เล่ม 21)

อรรถกถาธรรมเจติยสูตร
ธรรมเจติยสูตรมีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
ในพระสูตรนั้น คำว่า เมทลุปํ เป็นชื่อของนิคมนั้น. ก็ได้ยินว่า
นิคมนั้น มีแผ่นหินมีสีดุจมันข้น(๑) เกิดขึ้นหนาแน่นในที่นั้น ๆ เพราะฉะนั้น
จึงถึงการนับว่า เมทลุปะ. อนึ่ง เสนาสนะ ในนิคมนั้น ก็ไม่แน่นอน ฉะนั้น
จึงมิได้กล่าวไว้. บทว่า นครกํ ได้แก่นิคมหนึ่งของเจ้าศากยะมีชื่ออย่างนั้น.
คำว่า ด้วยพระราชกรณียะบางอย่าง คือ มิใช่ด้วยกรณียะอย่างอื่น แต่
พระเจ้าปเสนทิโกศลนี้ ตรัสสั่งว่าพวกเจ้าจงจับพันธุละเสนาบดี พร้อมด้วย
บุตร ๓๒ คน ให้ได้โดยวันเดียว. ก็ในวันนั้น นางมัลลิกาภริยาของ
พันธุละเสนาบดีนั้น ทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป.
พอภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เสด็จถึงเรือนประทับนั่งแล้ว
เจ้าหน้าที่ก็นำข่าวว่า ท่านเสนาบดีถึงอสัญกรรมแล้ว มาให้นางมัลลิกา.
นางรับหนังสือ ถามว่า เป็นข่าวดี (หรือร้าย). ก็เรียนว่า พระราชาทรงให้
จับเสนาบดีพร้อมด้วยบุตร ๓๒ คน ประหารชีวิตพร้อมกัน แม่เจ้า. นาง
กล่าวว่า พวกเจ้าอย่าได้กระทำให้แพร่งพรายแก่มหาชน แล้วเอาหนังสือใส่
ห่อพกไว้ อังคาสพระภิกษุสงฆ์. ในตอนนั้น เจ้าหน้าที่ยกหม้อสัปปิมาหม้อ
หนึ่ง (เผอิญ) หม้อสัปปินั้นกระทบธรณีประตูแตก จึงสั่งให้ไปนำหม้อ
อื่นมาอังคาสพระภิกษุสงฆ์.
พระศาสดาทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว จึงตรัสว่า นางไม่ควรคิด
เพราะเหตุหม้อสัปปิแตก เพื่อเป็นเหตุให้ตั้งกถาขึ้น. ขณะนั้น นางมัลลิกา
๑. ศิลามีสีอันแดงงามดุจหงอนไก่เทศ (ลิปิ)

203
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 204 (เล่ม 21)

จึงนำหนังสือออกมาวางตรงหน้าพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี่เป็นข่าวการตายของเสนาบดีกับบุตร ๓๒ คน หม่อม-
ฉันมิได้คิดแม้เรื่องนี้ เหตุไรจะคิดเพราะเหตุหม้อสัปปี (แตก). พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงกระทำธรรมีกถาให้ปฏิสังยุ่ตด้วยสามัญลักษณะมีความไม่เที่ยงเป็นต้น
ว่า ดูก่อนนางมัลลิกา อย่าคิด (มาก) ไปเลย ธรรมดาในสังสารวัฏฏ์มีที่สุด
และเบื้องต้นอันใคร ๆ ไปตามอยู่ รู้ไม่ได้แล้ว ย่อมเป็นไปเช่นนั้น แล้วเสด็จ
กลับ. นางมัลลิกาเรียกลูกสะใภ้ ๓๒ คน มาให้โอวาท. พระราชารับสั่งให้
นางมัลลิกาเข้าเฝ้า ตรัสถามว่า ในระหว่างเสนาบดีกับเรา โทษที่แตกกันมีหรือ
ไม่มี.(๑) นางทูลว่า ไม่มี พะยะค่ะ. พระราชาทรงทราบว่า เสนาบดีนั้น
ไม่มีความผิดตามคำของนาง จึงมีความเดือนร้อนเกิดความเสียพระทัยอย่างล้น
พ้น. พระองค์ทรงรำพึงว่า ได้นำสหายผู้ยกย่องเราว่ากระทำสิ่งที่หาโทษมิได้
เห็นปานนี้มาแล้วให้พินาศแล้ว ตั้งแต่นั้นไป ก็ไม่ได้ความสบายพระทัยในปราสาท
หรือในเหล่านางสนม หรือความสุขในราชสมบัติทรงเริ่มเที่ยวไปในที่นั้น ๆ.
กิจอันนี้แหละได้มีแล้ว. หมายถึงเรื่องนี้ จึงกล่าวไว้ว่า ด้วยราชกรณียกิจ
อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้.
บทว่า ทีฆํ การายนํ ความว่า ทีฆการายนะซึ่งเป็นหลานของ
พันธุละเสนาบดีคิดว่า พระราชาทรงฆ่าลุงของเรา ผู้มิได้ทำผิดนั้นโดยไม่มีเหตุ
พระราชาได้ทรงตั้งไว้ในคำแหน่งเสนาบดีแล้ว. คำนั้น ท่านกล่าวหมายถึง
เรื่องนี้. คำว่า มหจฺจราชานุภาเวน ความว่า ด้วยราชานุภาพอันใหญ่
หมายความว่า ด้วยหมู่พลมากมายงดงามด้วยเพศอันวิจิตร ดุจถล่มพื้นธรณี
ให้พินาศ ประหนึ่งจะยังสาครให้ป่วนปั่นฉะนั้น . บทว่า ปาสาทิกานิ ความว่า
อันให้เกิดความเลื่อมใสพร้อมทั้งน่าทัศนาทีเดียว. บทว่า ปาสาทนียานิ เป็น
๑. สี. จิตฺตโทโส.

204
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 205 (เล่ม 21)

ไวพจน์ของคำนั้น. อีกนัยหนึ่ง บทว่า ปาลาทิกานิ ความว่า น่าดู (น่า
ทัศนา). บทว่า ปาสาทนียานิ ได้แก่ให้เกิดความเลื่อมใส. บทว่า อปฺปสทฺ-
ทานิ คือ ไม่มีเสียง. บทว่า อปฺปนิคฺโฆสานิ ความว่า เว้นจากเสียง
กึกก้อง เพราะอรรถว่า ไม่ปรากฏ. บทว่า วิชนวาตานิ ความว่า ปราศจาก
กลิ่นของคน. บทว่า มนุสฺสราหสฺเสยฺยกานิ ความว่า สมควรแก่งานที่จะ
พึงทำในที่ลับของมนุษย์ อรรถว่า สมควรแก่ผู้ที่ปรึกษาค้นคว้าอย่างลี้ลับ.
บทว่า ปฏิสลฺลานสารุปฺปานิ ความว่า สมควรแก่ความเป็นผู้เดียว
ซ่อนเร้นอยู่. บทว่า ยตฺถ สุทํ มยํ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า มิได้
เคยเสด็จไปในที่นั้น ในคำนี้มีอรรถดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าควรเสด็จเข้าไป
ในที่เช่นนั้น เพราะเป็นที่พวกเราทั้งหลายมีความสุข.
บทว่า อติถิ มหาราชา ความว่า เสนาบดีผู้ฉลาด ย่อมทราบว่า
พระราชาทรงนับถือพระผู้มีพระภาคเจ้า. เสนาบดีนั้น จะส่งจารบุรุษไป จนรู้ที่
ประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ ด้วยคิดว่า ถ้าพระราชาถามเราว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงประทับที่ไหน ก็ควรจะกราบทูลได้โดยมิชักช้า เพราะฉะนั้น
จึงกล่าวอย่างนั้น .
บทว่า อารามํ ปาวิสิ ความว่า ทรงตั้งค่ายไว้นอกนิคมแล้ว เสด็จ
เข้าไปกับการายนะเสนาบดี. ท่านกล่าวว่า วิหาโร หมายเอาพระคันธกุฎี. บทว่า
อาฬินฺทํ แปลว่า หน้ามุข. บทว่า อุกฺกาสิตฺวา คือ กระทำเสียงกระแอม.
บทว่า อคฺคฬํ คือ บานประตู. บทว่า อาโกฏฺเฏหิ ท่านกล่าวอธิบาย
ไว้ว่า ทรงเคาะที่ใกล้ช่องกุญแจค่อย ๆ ด้วยปลายพระนขา. ได้ยินว่า พวก
อมนุษย์ย่อมเคาะประตูสูงเกินไป ทีฆชาติก็เคาะต่ำเกินไป จึงไม่เคาะอย่างนั้น
คือเคาะที่ใกล้ช่องตรงกลาง นี้เป็นมรรยาทในการเคาะประตู ท่านโบราณาจารย์
กล่าวแสดงไว้ด้วยประการดังนี้. บทว่า ตตฺเถว คือในที่ที่ภิกษุทั้งหลายกล่าว

205