No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 176 (เล่ม 21)

เฝ้าพระเจ้าปเสนทิโกศลถึงที่ประทับ แล้วได้ทูลถามพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า
ข้าแต่พระมหาราช ทูลกระหม่อททรงเข้าพระทัยความข้อนั้น เป็นไฉน พระกุมารี
พระนามว่าวชิรี เป็นที่รักของทูลกระหม่อมหรือ. พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัส
ตอบว่า. อย่างนั้นมัลลิกา วชิรีกุมารีเป็นที่รักของฉัน.
ม. ข้าแต่พระมหาราช ทูลกระหม่อมจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้น
เป็นไฉน เพราะพระวชิรีกุมารีแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส จะพึงเกิดขึ้นแก่ทูลกระหม่อมหรือหาไม่ เพคะ.
ป. ดูก่อนมัลลิกา เพราะวชิรีกุมารีแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป แม้
ชีวิตของฉันก็พึงเป็นอย่างอื่นไป ทำไม โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ
อุปายาสจักไม่เกิดแก่ฉันเล่า.
ม. ข้าแต่พระมหาราช ข้อนี้แล ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้ ทรง
เห็นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงมุ่งหมายเอา ตรัสไว้ว่า โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่
รัก เพคะ.
[๕๔๔] ข้าแต่พระมหาราช ทูลกระหม่อมจะทรงเข้าพระทัยความข้อ
นั้นเป็นไฉน พระนางวาสภขัตติยาเป็นที่รักของทูลกระหม่อมหรือ เพคะ.
ป. อย่างนั้น มัลลิกา พระนางวาสภขัตติยาเป็นที่รักของฉัน.
ม. ข้าแต่พระมหาราช เพราะพระนางวาสภขัตติยาแปรปรวนเป็น
อย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมันส และอุปายาส พึงเกิดขึ้นแก่
ทูลกระหม่อมหรือหาไม่ เพคะ.
ป. ดูก่อนมัลลิกา เพราะวาสภขัตติยาแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป แม้
ชีวิตของฉันก็พึงเป็นอย่างอื่นไป ทำไมโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ
อุปายาสจักไม่เกิดแก่ฉันเล่า.

176
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 177 (เล่ม 21)

ม. ข้าแด่พระมหาราช ข้อนี้แล ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงรู้ ทรง
เห็นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงมุ่งหมายเอา ตรัสไว้ว่า โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของ
ที่รัก เพคะ.
ปิยปัญหา
[๕๔๕] ข้าแต่พระมหาราช ทูลกระหม่อมจะทรงเข้าพระทัยความ
ข้อนั้นเป็นไฉน ท่านวิฑูฑภเสนาบดีเป็นที่รักของทลกระหม่อมหรือ เพคะ.
ป. อย่างนั้น มัลลิกา วิฑูฑภเสนาบดีเป็นที่รักของฉัน.
ม. ข้าแต่พระมหาราช ทูลกระหม่อมจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้น
เป็นไฉน เพราะท่านวิฑูฑภเสนาบดีแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจะพึงเกิดแก่ทูลกระหม่อมหรือหาไม่ เพคะ.
ป. ดูก่อนมัลลิกา เพราะวิฑูฑภเสนาบดีแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป
แม้ชีวิตของฉันก็พึงเป็นอย่างอื่นไป ทำไมโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ
อุปายาสจักไม่เกิดแก่ฉันเล่า.
ม. ข้าแต่พระมหาราช ข้อนี้แล ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้ ทรง
เห็นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงมุ่งหมายเอา ตรัสรู้ไว้ว่า โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของ
ที่รัก เพคะ.
[๕๔๖] ข้าแต่พระมหาราช ทูลกระหม่อมจะทรงเข้าพระทัยความ
ข้อนั้นเป็นไฉน หม่อมฉัน เป็นที่รักของทูลกระหม่อมหรือ เพคะ.
ป. อย่างนั้น มัลลิกา เธอเป็นที่รักของฉัน.

177
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 178 (เล่ม 21)

ม. ข้าแต่พระมหาราช ทูลกระหม่อมจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้น
เป็นไฉน เพราะหม่อมฉันแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส จะพึงเกิดแก่ทูลกระหม่อมหรือหาไม่ เพคะ.
ป. ดูก่อนมัลลิกา เพราะเธอแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป แม้ชีวิตของ
ฉันก็พึงเป็นอย่างอื่นไป ทำไมโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปยาส
จักไม่เกิดแก่ฉันเล่า.
ม. ข้าแต่พระมหาราช ข้อนี้แล ที่พระผู้มีพระคาคเจ้าผู้ทรงรู้ ทรง
เห็นเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงมุ่งหมายเอา ตรัสไว้ว่า โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของ
ที่รัก เพคะ.
[๕๔๗] ข้าแต่พระมหาราช ทูลกระหม่อมจะทรงเข้าพระทัยความ
ข้อนั้นเป็นไฉน แคว้นกาสีและแคว้นโกศล เป็นที่รักของทูลกระหม่อมหรือ
เพคะ.
ป. อย่างนั้น มัลลิกา แคว้นกาสีและแคว้นโกศลเป็นที่รักของฉัน
เพราะอานุภาพแห่งแคว้นกาสีและแคว้นโกศล เราจึงได้ใช้สอยแก่นจันทน์อัน
เกิดแต่แคว้นกาสี ได้ทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้.
ม. ข้าแต่พระมหาราช ทูลกระหม่อมจะทรงเข้าพระทัยความข้อนั้น
เป็นไฉน เพราะแคว้นกาสีและแคว้นโกศลแปรปรวนเป็นอย่างอื่นไป โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส จะพึงเกิดแก่ทูลกระหม่อมหรือหาไม่
เพคะ.
ป. ดูก่อนมัลลิกา เพราะแคว้นกาสีและแคว้นโกศลแปรปรวนเป็น
อย่างอื่น แม้ชีวิตของฉันก็พึงเป็นอย่างอื่นไป ทำไมโสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปยายาส จักไม่เกิดแก่ฉันเล่า.

178
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 179 (เล่ม 21)

ข้าแต่พระมหาราช ข้อนี้แล ที่พระผู้มีพระเจ้าผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็น
พระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงมุ่งหมาย ตรัสไว้ว่า โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก เพคะ.
พระเจ้าปเสนทิโกศลเปล่งอุทาน
[๕๔๘] ป. ดูก่อนมัลลิกา น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา เท่าที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าพระองค์นั้น คงจะทรงเห็นชัด แทงตลอดด้วยพระปัญญา มานี่เถิด
มัลลิกา ช่วยล้างมือให้ทีเถิด.
ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จลุกขึ้นจากอาสน์ ทรงพระภูษา
เฉวียงพระอังสาข้างหนึ่ง ทรงประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ
อยู่แล้วทรงเปล่งพระอุทานว่า ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ดังนี้ ๓ ครั้ง ฉะนี้แล.
จบปิยชาติกสูตรที่ ๗

179
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 180 (เล่ม 21)

อรรถกถาปิยชาติกสูตร
ปิยชาติกสูตรมีคำเริมต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
ในบทเหล่านั้น บทว่า เนว กมฺมนฺตา ปฏิภนฺติ ความว่า การงานย่อม
ไม่ปรากฏทั้งสิ้นโดยประการทั้งปวงคือ ย่อมไม่ปรากฏโดยการกำหนดตามปรกติ.
แม้ในบทที่สองก็นัยนี้นั่นเทียว. ก็บทว่า น ปฏิภนฺติ ในพระสูตรนี้ แปล
ว่า ไม่ถูกใจ. บทว่า อาหฬนํ แปลว่า ป่าช้า. บทว่า อญฺญถตฺตํ ได้แก่
ความเป็นโดยประการอื่น เพราะมิวรรณะแปลกไป. ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ
ชื่อว่า อินทรีย์. แต่คำนี้ ท่านกล่าวหมายถึงโอกาสที่อินทรีย์ตั้งอยู่แล้ว. บทว่า
ปิยชาติกา ความว่า ย่อมเกิดจากความรัก. บทว่า ปิยปฺปภิติกา ความ
ว่า มีมาแต่ของที่รัก. บทว่า สเจ ตํ มหาราช ความว่า แม้กำหนดความ
หมายของพระดำรัสนั้น จึงกล่าวอย่างนั้น ด้วยความศรัทธาในพระศาสดา.
บทว่า จร ปิเร ความว่า เธอจงหลบไปทางอื่นเสีย หมายความว่า เธออย่า
ยืนอยู่ที่นี้ก็ได้. อนึ่ง บทว่า จร ปิเร คือ เธอจงไปทางอื่น อธิบายว่า อย่ายืน
ในที่นี้บ้าง. บทว่า ทฺวิธา เฉตฺวา ความว่า ตัดกระทำให้เป็น ๒ ส่วน ด้วย
ดาบ. บทว่า อตฺตานํ อุปฺปาเลสิ ความว่า เอาดาบนั่นแหละแหวะท้องของ
ตน. ก็ถ้าหญิงนั้นไม่เป็นที่รักของชายนั้น บัดนี้ ชายนั้น ไม่พึงฆ่าคนด้วยคิดว่า
เราจักหาหญิงอื่น. แต่เพราะหญิงนั้นเป็นที่รักของชายนั้น ฉะนั้น ชายนั้น.
ปรารถนาความพร้อมเพรียงกับหญิงนั้นแม้ในปรโลก จึงได้กระทำอย่างนั้น .
คำว่า พระกุมาร พระนามว่า วชิรีเป็นที่โปรดปรานของพระ-
องค์หรือ ความว่า ได้ยินว่า พระนางนั้นได้มีคำริอย่างนี้ พระนางกล่าว

180
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 181 (เล่ม 21)

อย่างนั้น เพราะคิดว่า ถ้าเราจะพึงกล่าวถ้อยคำเป็นต้นว่า ข้าแต่มหาราช เรื่อง
เคยมีมาแล้ว ในพระนครสาวัตถีนี้ ยังมีหญิงอื่นอีก พระองค์จะพึงปฏิเสธเรา
ว่า ใครได้กระทำอย่างนั้นแก่เจ้า จงถอยไป ข้อนั้นย่อมไม่มี เราจักยังหญิง
นั้นให้เข้าใจด้วยอาการที่เป็นไปอยู่นั่นเทียว.
ในบทว่า วิปริณามญฺญถาภาวา นี้ บัณฑิตพึงทราบความเปลี่ยน
แปลงเพราะความตาย คือ ความเป็นโดยประการอื่น ด้วยการหนีไปกับ ใคร ๆ
ก็ได้.
บทว่า วาสภาย ความว่า พระเทวีของพระราชาองค์หนึ่ง พระนาม
ว่า วาสภา ท่านกล่าวหมายถึงพระนางนั้น.
บทว่า ปิย เต อหํ ท่านกล่าวในภายหลังทั้งหมด เพราะเหตุไร.
ได้ยินว่า ความดำริอย่างนี้ได้มีแล้วแก่พระนางนั้น จึงทูลถาม ในภายหลังทั้ง
หมดเพื่อให้เป็นที่ตั้งแห่งถ้อยคำว่า พระราชานี้ทรงกริ้วเรา ถ้าเราจะพึงถาม
ก็อันคนอื่นทั้งหมดว่า หม่อมฉันเป็นที่รักของพระองค์หรือ พระองค์ก็จะพึง
ตรัสว่า เจ้ามิได้เป็นที่รักของเรา จงหลีกไปทางอื่น เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้อยคำก็จัก
ไม่ได้ตั้งขึ้น. บัณฑิตพึงทราบความเปลี่ยนแปลงโดยความเป็นผู้ถูกทิ้งไว้ใน
แคว้นกาสีโกศล ความเป็นโดยประการอื่นโดยอยู่ในเงื้อมมือพระราชาผู้เป็น
ปฏิปักษ์ทั้งหลาย (ราชศัตรู).
บทว่า อาจเมหิ ความว่า เจ้าจงเอาน้ำบ้วนปากมา. พระเจ้าปัสเสนทิ -
โกศลทรงบ้วนแล้ว ทรงล้างพระหัตถ์และพระบาทแล้ว ทรงกลั้วพระโอษฐ์
แล้วประสงค์จะนมัสการพระศาสดา จึงตรัสอย่างนั้น. คำที่เหลือ ในที่ทุกแห่ง
ตื้นทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถาปิยชาติสูตรที่ ๗

181
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 182 (เล่ม 21)

๘. พาหิติยสูตร
[๕๔๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า
ท่านพระอานนท์นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปยังพระนครสาวัตถีเพื่อ
บิณฑบาต ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ภายหลังภัต กลับจาก
บิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังบุพพารามปราสาทของมิคารมารดาเพื่อพักกลางวัน.
[๕๕๐] ก็สมัยนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จขึ้นประทับคอช้างชื่อ
ว่าบุณฑรีก เสด็จออกจากพระนครสาวัตถีในเวลากลางวัน ได้ทอดพระเนตร
เห็นท่านพระอานนท์กำลังมาแต่ไกล ครั้นแล้วได้ตรัสถามมหาอำมาตย์ชื่อ
สิริวัฑฒะว่า ดูก่อนเพื่อนสิริวัฑฒะ นั่นท่านพระอานนท์หรือมิใช่. สิริวัฑฒ-
มหาอำมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช นั่นท่านพระอานนท์ พระพุทธเจ้าข้า.
ครั้งนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลตรัสเรียกบุรุษผู้หนึ่งมาตรัสว่า ดูก่อนบุรุษผู้.
เจริญ ท่านจงไป จงเข้าไปหาท่านพระอานนท์ แล้วจงกราบเท้าทั้งสองของ
ท่านพระอานนท์ด้วยเศียรเกล้าตามคำของเราว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระเจ้า
ปเสนทิโกศลทรงกราบเท้าทั้งสองของท่านพระอานนท์ด้วยพระเศียร และจง
เรียนท่านอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า ถ้าท่านพระอานนท์
ไม่มีกิจรีบด่วนอะไร ขอท่านพระอานนท์จงอาศัยความอนุเคราะห์รออยู่
สักครู่หนึ่งเถิด บุรุษนั้นรับพระราชดำรัสของพระเจ้าปเสนทิโกศลแล้ว ได้
เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ อภิวาที่ท่านพระอานนท์แล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบเรียนท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่าน

182
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 183 (เล่ม 21)

ผู้เจริญ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงกราบเท้าทั้งสองของท่านพระอานนท์ด้วยพระ
เศียร และรับสั่งมาว่า ได้ยินว่า ถ้าท่านพระอานนท์ไม่มีกิจรีบด่วนอะไร ขอ
ท่านพระอานนท์จงอาศัยความอนุเคราะห์รออยู่สักครู่หนึ่งเถิด ดังนี้ . ท่านพระ-
อานนท์ได้รับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ.
ทรงดำเนินไปหาพระอานนท์
[๕๕๑] ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จพระราชดำเนิน
ด้วยคชสาร ไปจนสุดทางที่ช้างจะไปได้ แล้วเสด็จลงจากคชสาร ทรงดำเนิน
เข้าไปหาท่านพระอานนท์ ทรงอภิวาทแล้ว ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านพระอานนท์
ไม่มีกิจรีบด่วนอะไร ขอโอกาสเถิด ท่านผู้เจริญ ขอท่านพระอานนท์จงอาศัย
ความอนุเคราะห์เข้าไปยังฝั่งแม่น้ำอจิรวดีเถิด. ท่านพระอานนท์รับอาราธนาด้วย
ดุษณีภาพ. ครั้งนั้นท่านพระอานนท์ได้เข้าไปยังฝั่งแม่น้ำอจิรวดี แล้วนั่งบน
อาสนะที่เข้าจัดถวาย ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง. พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จพระราช
ดำเนินด้วยคชสารไปจนสุดทางที่ช้างจะไปได้ แล้วเสด็จลงทรงดำเนินเข้าไปหา
ท่านพระอานนท์ ทรงอภิวาทแล้วประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอโอกาสเถิด ขอนิมนต์ท่าน
พระอานนท์นั่งบนเครื่องลาดไม้เถิด. ท่านพระอานนท์ทูลว่าอย่าเลย มหาบพิตร
เชิญมหาบพิตรประทับนั่งเถิด อาตมภาพนั่งบนอาสนะของอาตมภาพแล้ว.
พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงประทับนั่งบนพระราชอาสน์ที่เขาแต่งตั้งไว้.
[๕๕๒] ครั้นแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศล ได้ตรัสถามท่านพระอานนท์ว่า
ข้าแต่ท่านอานนท์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พึงทรงประพฤติกาย
สมาจารที่สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งพึงติเตียนบ้างหรือหนอ. ท่านพระอานนท์

183
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 184 (เล่ม 21)

ถวายพระพรว่า ดูก่อนมหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ไม่พึงทรง
พระพฤติกายสมาจารที่สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งพึงติเตียนเลย ขอถวาย
พระพร.
ป. ข้าแต่ท่านพระอานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พึงทรง
พระพฤติวจีสมาจาร ฯลฯ มโนสมาจารที่สมณพราหมณ์ผู้รู้แจ้งทั้งหลายพึงติเตียน
บ้างหรือหนอ.
อา. ดูก่อนมหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ไม่พึงทรง
ประพฤติมโนสมาจารที่สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งพึงติเตียนเลย ขอถวาย
พระพร.
ปัญหากายสมาจารเป็นต้น
[๕๕๓] ป. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์นัก ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ไม่
เคยมีมาแล้ว ก็เราทั้งหลายไม่สามารถจะยังข้อความที่ท่านพระอานนท์ให้บริ-
บูรณ์ด้วยการแก้ปัญหา ให้บริบูรณ์ด้วยปัญหาได้ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชนเหล่า
ใดเป็นพาล ไม่ฉลาด ไม่ใคร่ครวญ ไม่พิจารณาแล้ว ก็ยังกล่าวคุณหรือโทษ
ของชนเหล่าอื่นได้ เราทั้งหลายไม่ยึดถือการกล่าวคุณหรือโทษของชนเหล่านั้น
โดยความเป็นแก่นสาร ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ส่วนชนเหล่าใดเป็นบัณฑิต เป็น
ผู้ฉลาดเฉียบแหลม มีปัญญา ใคร่ครวญ พิจารณาแล้ว กล่าวคุณหรือโทษ
ของชนเหล่าอื่นเราทั้งหลายย่อมยึดถือการกล่าวคุณหรือโทษของชนเหล่านั้น
โดยความเป็นแก่นสาร ข้าแต่ท่านพระอานนท์ผู้เจริญ ก็กายสมาจารที่สมณ-
พราหมณ์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งพึงติเตียนเป็นไฉน.
อา. ดูก่อนมหาบพิตร กายสมาจารที่เป็นอกุศล ที่สมณพราหมณ์
ทั้งหลายผู้รู้แจ้งพึงติเตียน ขอถวายพระพร.

184
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 185 (เล่ม 21)

ป. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็กายสมาจารที่เป็นอกุศลเป็นไฉน.
อา. ดูก่อนมหาบพิตร การสมาจารที่มีโทษแล เป็นอกุศล ขอถวาย
พระพร.
ป. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็กายสมาจารที่มีโทษเป็นไฉน.
อา. ดูก่อนมหาบพิตร กายสมาจารที่มีความเบียดเบียนแล เป็นกาย
สมาจารที่มีโทษ ขอถวายพระพร.
ป. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็กายสมาจารที่มีความเบียดเบียนเป็นไฉน
อา. ดูก่อนมหาบพิตร กายสมาจารที่มีทุกข์เป็นวิบากแล เป็นกาย
สมาจารที่มีความเบียดเบียน ขอถวายพระพร.
ป. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็กายสมาจารที่มีทุกข์เป็นวิบากเป็นไฉน
อา. ดูก่อนมหาบพิตร กายสมาจารใดแล ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียน
ตนเองบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง เพื่อเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นทั้งสอง
ฝ่ายบ้าง อกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเจริญยิ่งแก่บุคคลผู้มีกายสมาจารนั้น กุศล
ธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อม ดูก่อนมหาบพิตร กายสมาจารเห็นปานนี้แล สมณ
พราหมณ์ ทั้งหลายผู้รู้แจ้งพึงติเตียน ขอถวายพระพร.
ป. ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ก็วจีสมาจาร ฯลฯ มโนสมาจารที่สมณ-
พราหมณ์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งพึงติเตียนเป็นไฉน.
อา. ดูก่อนมหาบพิตร มโนสมาจารที่เป็นอกุศลแล ที่สมณพราหมณ์
ทั้งหลายผู้รู้แจ้งพึงติเตียน ขอถวายพระพร.
ป. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็มโนสมาจารที่เป็นอกุศลเป็นไฉน.
อา. ดูก่อนมหาบพิตร มโนสมาจารที่มีโทษแล เป็นอกุศล ขอถวาย
พระพร.

185