No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 166 (เล่ม 21)

บทว่า อพฺภา มุตฺโต นี้ สักว่าเป็นยอดแห่งเทศนา. ในที่นี้ท่าน
ประสงค์เอาว่าพระจันทร์พ้นจากเครื่องเศร้าหมองเหล่านี้ คือ หมอก น้ำค้าง
ควัน ธุลี ราหู. ภิกษุเป็นผู้พ้นแล้วจากกิเลส คือความประมาท เป็นผู้ไม่
ประมาทแล้ว ย่อมยังโลก คือขันธ์ อายตนะ และธาตุของตนนี้ให้ผ่องใส คือ
กระทำความมืด คือกิเลสอันตนขจัดเสียแล้ว เหมือนอย่างพระจันทร์ไม่มี
อุปกิเลส ดังกล่าวมานี้ ย่อมยังโลกให้สว่างไสวฉะนั้น. บทว่า กุสเลน ปิถิยฺยติ
ความว่า ย่อมปิดด้วยกุศล คือมรรค ได้แก่ กระทำมิให้มีปฏิสนธิอีก. บทว่า
ยุญฺชติ พุทฺธสาสเน ความว่า ประกอบแล้ว ประกอบทั่วแล้วด้วยกาย วาจา
และด้วยใจ อยู่ในพุทธศาสนา. คาถาทั้ง ๓ เหล่านี้ เรียกอุทานคาถาของ
พระเถระ. ได้ยินว่า พระเถระเมื่อจะกระทำอาการป้องกัน คนจึงกล่าวคำว่า
ทิสา หิ เม นี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า ทิสา หิ เม ความว่า ชนพวกที่
เป็นศัตรูของเรา ย่อมติเตียนเราอย่างนี้ แม้พระองคุลิมาล จงเสวยทุกข์เหมือน
อย่างที่พวกเราทั้งหลายเสวยทุกข์ เพราะอำนาจพวกญาติถูกองคุลิมาลฆ่า
แล้วฉะนั้น หมายความว่า ชนเหล่านั้นจงได้ยินธรรมกถา คือ สัจจะ ๔ ของ
เราทุกทิศ. บทว่า ยุญฺชนฺตุ ความว่า ผู้ประกอบแล้ว ประกอบทั่วแล้ว
ด้วยกาย วาจาและใจอยู่. บทว่า เย ธมฺมเมวาทปยนฺติ สนฺโต ความว่า
คนดี คือสัปบุรุษเหล่าใด ย่อมยึดธรรมนั่นเทียว คือ สมาทาน คือ ถือเอา
ชนเหล่านั้น (ผู้เกิดแต่มนู) เป็นข้าศึกของเรา จงคบ จงเสพ หมายความว่า
จงมีรูปเป็นที่รักเถิด. บทว่า อวิโรธปสํสนํ คือเมตตา ท่านเรียกว่า อวิโร
(ความไม่โกรธ) หมายความว่า ความเมตตาและความสรรเสริญ. บทว่า
สุณนฺตุ ธมฺมํ กาเลน ความว่า ขอจงฟังขันติธรรม เมตตาธรรม ปฏิสังขา-

166
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 167 (เล่ม 21)

ธรรม และสาราณียธรรมทุก ๆ ขณะ. บทว่า ตญฺจ อนุวิธียนฺตุ ความว่า
และจงกระทำตามคือบำเพ็ญธรรมนั้นให้บริบูรณ์. บทว่า น หิ ชาตุ โส มมํ
หึเส ความว่า ผู้ใดเป็นผู้มุ่งร้ายต่อเรา ขอผู้นั้นอยู่าพึงเบียดเบียนเราโดย
ส่วนเดียวเทียว. บทว่า อญฺญํ วา ปน กิญฺจิ นํ ความว่า จงอย่าเบียดเบียน
จงอย่าทำให้ลำบากซึ่งเราอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ แม้บุคคลไร ๆ อื่นก็อย่า
เบียดเบียน อย่าทำให้ลำบาก. บทว่า ปปฺปุยฺย ปรมํ สนฺตึ ได้แก่ ถึง
พระนิพพานอันมีความสงบอย่างยิ่ง. บทว่า รกฺเขยฺย ตสถาวเร ความว่า
ผู้ยังมีตัณหา ท่านเรียกว่า ผู้มีความสะดุ้ง ผู้ไม่มีตัณหา ท่านเรียกว่า ผู้มั่นคง.
ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ดังนี้ บุคคลใดถึงพระนิพพาน บุคคลนั้นย่อมเป็นผู้ที่
สามารถเพื่อรักษาความสะดุ้งเละความมั่นคงทั้งสิ้นได้ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้
เช่นกับ ด้วยเราย่อมถึงพระนิพพาน ชนทั้งหลายย่อมเบียดเบียนเราโดยส่วนเดียว
หาได้ไม่ ดังนี้. ท่านกล่าวคาถาทั้งสามนี้ เพื่อป้องกันตน.
บัดนี้เมื่อจะแสดงความปฏิบัติของตนเอง จึงกล่าวคำมีอาทิว่า
อุทกญฺหิ น ยนฺติ เนตฺติกา บทว่า เนตฺติกา ในคาถานั้นความว่า
ชนเหล่าใด ชำระเหมืองให้สะอาดแล้วผูก (ทำนบ) ในที่ที่ควรผูกไขน้ำออกไป.
บทว่า อุสุการา ทมยนฺติ ความว่า (ช่างศร) ทาด้วยน้ำข้าวย่างที่ถ่านเพลิง
ดัดตรงที่โค้งทำให้ตรง. บทว่า เตชนํ ได้แก่ลูกธนู. ช่างศรย่อมดัดลูกศรนั้น
และให้คนอื่นดัด ฉะนั้น จึงเรียกว่า เตชนํ. บทว่า อตฺตานํ ทมยนฺติ ความว่า
บัณฑิตย่อมฝึกตนคือกระทำให้ตรง คือกระทำให้หมดพยศ เหมือนอย่างผู้
ทดน้ำย่อมไขน้ำไปโดยทางตรง ช่างศรก็ทำศรให้ตรง และช่างถากไม้ก็ถากไม้
ให้ตรงฉะนั้น. บทว่า ตาทินา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้คงที่ด้วยอาการ

167
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 168 (เล่ม 21)

๕ อันไม่มีความผิดปกติในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์เป็นต้น คือ พระศาสดา
ผู้ถึงลักษณะแห่งความคงที่อย่างนี้คือ ชื่อว่าผู้คงที่ เพราะอรรถว่า คงที่ใน
อิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์ ชื่อว่า ผู้คงที่เพราะอรรถว่า ตายเสียแล้ว ชื่อว่า
ผู้คงที่เพราะอรรถว่า สละแล้ว ชื่อว่า ผู้คงที่เพราะอรรถว่า ข้ามได้แล้ว ชื่อว่า
ผู้คงที่ เพราะแสดงออกซึ่งความคงที่นั้น. บทว่า ภวเนตฺติ ได้แก่ เชือก
แห่งภพ. คำนี้เป็นชื่อแห่งตัณหา. จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายถูกตัณหานั้นผูกหทัย
ไว้นำไปสู่ภพนั้น ๆ ดุจโคที่เขาล่ามไว้ด้วยเชือกที่คอฉะนั้น เพราะฉะนั้น
ท่านจึงเรียกว่า ภวเนติต (ตัณหาอันนำสัตว์ไปสู่ภพ). บทว่า ผุฏฺโฐ กมฺม-
วิปาเกน ความว่า ผู้อื่นมรรคเจตนาถูกต้องแล้ว. ก็เพราะกรรมอันมรรค
เจตนาเผา คือ แผดเผาไหม้ให้ถึงความสิ้นไป ฉะนั้น มรรคเจตนานั้นท่าน
จึงเรียกว่า "กรรมวิบาก" ก็ท่านพระองคุลิมาลนี้ อันกรรมวิบากนั้นถูก
ค้องแล้ว. บทว่า อนโณ ได้แก่เป็นผู้ไม่มีกิเลส ย่อมไม่เป็นไปเพื่อทุกขเวทนา.
อนึ่ง ในคำว่า อนโณ ภุญฺชามิ (เราเป็นผู้ไม่เป็นหนี้บริโภค) นี้พึงทราบ
การบริโภค ๔ อย่าง คือ เถยยบริโภค ๑ อิณบริโภค ๑ ทายัชชบริโภค ๑
สามิบริโภค ๑. ในบรรดาบริโภค ๔ อย่างนั้น การบริโภคของผู้ทุศีล ชื่อว่า
เถยยบริโภค. ก็ผู้ทุศีลนั้นขโมยปัจจัย ๔ บริโภค. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้
ตรัสคำนี้ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอบริโภคก้อนข้าวของชาวเมือง
ด้วยความเป็นขโมย ดังนี้ . ส่วนการไม่พิจารณาแล้วบริโภคของท่านผู้มีศีล
ชื่อว่า อิณบริโภค (เป็นหนี้บริโภค) การบริโภคของพระเสขะ ๗ จำพวก
ชื่อว่า ทายัชชบริโภค (บริโภคโดยเป็นทายาท). การบริโภคของพระขีณาสพ
ชื่อว่า สามิบริโภค (บริโภคโดยความเป็นเจ้าของ). บทว่า ไม่มีหนี้ ในที่นี้

168
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 169 (เล่ม 21)

ท่านกล่าวหมายเอาความไม่มีหนี้ คือ กิเลส. ปาฐะว่า อนิโณ ดังนี้ก็มี. บทว่า
ภุญฺชามิ โภชนํ (เราจะฉันโภชนะ) ท่านกล่าวหมายเอาสามิบริโภค. บทว่า
กามรติสนฺถวํ ความว่า ท่านทั้งหลายอย่าประกอบเนือง ๆ คือ อย่ากระทำ
ความเชยชมด้วยความยินดีเพราะตัณหา. ในกามทั้งสอง. บทว่า นยิทํ
ทุมฺมนฺติตํ มม ความว่า ความที่เราเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วคิดว่า
เราจักบวช อันใด ความคิดของเรานั้น.มิใช่เป็นความคิดชั่วแล้ว. บทว่า
สุวิภตฺเตสุ ธมฺเมสุ ความว่า ในธรรมทีเราเกิดขึ้นในโลกอย่างนี้ว่า เราเป็น
ศาสดาจำแนกดีแล้วเหล่ำนั้น พระนิพพานเป็นธรรมประเสริฐที่สุดอันใด เรา
เข้าถึงแล้ว เข้าถึงพร้อมแล้ว ซึ่งพระนิพพานนั้นนั่นเทียว เพราะฉะนั้น การ
มาถึงของเรานี้เป็นการมาดีแล้ว ไม่ปราศจากประโยชน์. บทว่า ติสฺโส วิชฺชา
ได้แก่ ปุพเพนิวาสญาณ ทิพพจักขุญาณและอาสวักขยปัญญา. บทว่า กตํ
พุทฺธสฺส สาสนํ ความว่า กิจที่ควรกระทำในศาสนาของพระพุทธเจ้าอันใด
ยังมีอยู่ กิจอันนั้นทั้งหมด ข้าพเจ้ากระทำแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยัง
เทศนาให้ถึงที่สุด ด้วยวิชชาสามและโลกุตตรธรรมเก้า ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาอังคุลิมาลสูตรที่ ๖

169
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 170 (เล่ม 21)

๗. ปิยชาติกสูตร
[๕๓๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ก็โดยสมัยนั้นแล บุตรน้อยคน
เดียวของคฤหบดีผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นที่รักที่ชอบใจได้กระทำกาละลง. เพราะการทำ
กาละของบุตรนั้น คนเดียวนั้น การงานย่อมไม่แจ่มแจ้ง อาหารย่อมไม่ปรากฏ.
คฤหบดีนั้นได้ไปยังป่าช้าแล้ว ๆ เล่า ๆ คร่ำครวญถึงบุตรว่า บุตรน้อยคนเดียว
อยู่ไหน บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน. ครั้งนั้นแล คฤหบดีนั้น ได้เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๕๓๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะคฤหบดีผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง แล้วว่า ดูก่อนคฤหบดี อินทรีย์ไม่เป็นของท่านผู้ตั้งอยู่ในจิตของตน
ท่านมีอินทรีย์เป็นอย่างอื่นไป. คฤหบดีนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ทำไมข้าพระองค์จะไม่มีอินทรีย์เป็นอย่างอื่นเล่า เพราะว่าบุตรน้อยคนเดียวของ
ข้าพระองค์ ซึ่งเป็นที่รักเป็นที่ชอบใจได้ทำกาละเสียแล้ว เพราะการทำกาละ
ของบุตรน้อยคนเดียวนั้นการงานย่อมไม่แจ้งแจ้ง อาหารย่อมไม่ปรากฏ
ข้าพระองค์ไปยังป่าช้าแล้ว ๆ เล่า ๆ คร่ำครวญถึงบุตรนั้นว่า บุตรน้อยคนเดียว
อยู่ไหน.
พ. ดูก่อนคฤหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูก่อนคฤหบดี ข้อนี้เป็น
อย่างนั้น เพราะว่าโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาสย่อมเกิดแต่ของ
ที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก.

170
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 171 (เล่ม 21)

ค. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่ว่าโสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัสและ
อุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รักนั้น จักเป็นอย่างนั้นได้
อย่างไร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความจริง ความยินดีและความโสมนัส ย่อม
เกิดแต่ของที่รักเป็นมาแต่ของที่รัก.
ครั้งนั้นแล คฤหบดีนั้น ไม่ยินดี ไม่คัดค้านพระภาษิตของพระผู้มี
พระภาคเจ้า ลุกจากที่นั่งแล้วหลีกไป.
[๕๓๗] ก็สมัยนั้นแล นักเลงสะกาเป็นอันมาก เล่นสะกากันอยู่ในที่
ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนั้น คฤหบดีนั้น เข้าไปหานักเลงสะกาเหล่านั้น
แล้วได้กล่าวกะนักเลงสะกาเหล่านั้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอ
โอกาส ข้าพเจ้าได้เข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ ได้ถวายบังคมพระ
สมณโคดมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย พระ-
สมณโคดมได้ตรัสกะข้าพเจ้าผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า ดูก่อนคฤหบดี อินทรีย์ไม่
เป็นของท่านผู้ทั้งอยู่ในจิตของตน ท่านมีอินทรีย์เป็นอย่างอื่นไป ดูก่อนท่าน
ผู้เจริญทั้งหลาย เมื่อพระสมณโคดมตรัสอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าได้กราบทูล
พระสมณโคดมว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทำไมข้าพระองค์จะไม่มีอินทรีย์เป็น
อย่างอื่นเล่า เพราะว่าบุตรน้อยคนเดียวของข้าพระองค์ ซึ่งเป็นที่รัก เป็นที่
ชอบใจ ได้ทำกาละเสียแล้ว เพราะการทำกาละของบุตรน้อยคนเดียวนั้น การ
งานย่อมไม่แจ่มแจ้ง อาหารย่อมไม่ปรากฏ ข้าพระองค์ไปยังป่าช้าแล้ว ๆ เล่าๆ
คร่ำครวญถึงบุตรว่า บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน เมื่อ
ข้าพเจ้าทูลอย่างนี้แล้ว พระสมณโคดมได้ตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดี ข้อนี้เป็น
อย่างนั้น ดูก่อนคฤหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าโสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัสและอุปายาสย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก เมื่อพระสมณ-

171
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 172 (เล่ม 21)

โคดมตรัสอย่างนี้แล้ว ข้าพเจ้าได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่ว่า
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ย่อมเกิดมาแต่ของที่รัก เป็นมา
แต่ของที่รักนั้น จักเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความจริง
ความยินดีและความโสมนัสย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก ดูก่อน
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ครั้งนั้นข้าพเจ้ามิได้ยินดี มิได้คัดค้านพระภาษิตของพระ
สมณโคดมลุกจากที่นั่งแล้วหลีกไป. นักเลงสะกาเหล่านั้นได้กล่าวว่า ดูก่อน
คฤหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูก่อนคฤหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าความ
ยินดีและความโสมนัสย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก. ครั้งนั้นแล
คฤหบดีนั้นคิดว่า ความเห็นของเราสมกันกับนักเลงสะกาทั้งหลาย ดังนี้ แล้ว
หลีกไป.
[๕๓๘] ครั้งนั้นแล เรื่องที่พูดกันนี้ ได้แพร่เข้าไปถึงในพระราชวัง
โดยลำดับ. ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ตรัสเรียกพระนางมัลลิกาเทวี
มาแล้วตรัสว่า ดูก่อนมัลลิกา คำว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และ
อุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รักดังนี้ พระสมณโคดมของเธอ
ตรัสหรือ. พระนางมัลลิกาเทวีกราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้าคำนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจริง คำนั้นก็เป็นอย่างนั้น เพคะ.
ป. ก็พระนางมัลลิกานี้ อนุโมทนาตามพระดำรัสที่สมณโคดมตรัสเท่า
นั้นว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้าคำนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจริง คำนั้นก็เป็น
อย่างนั้น เพคะ. ดูก่อนมัลลิกา เธออนุโมทนาตามพระดำรัสที่พระสมณโคดม
ตรัสเท่านั้นว่า ข้าแต่พระมหาราช ถ้าคำนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจริง คำนั้น
ก็เป็นอย่างนั้น เปรียบเหมือนศิษย์อนุโมทนาตามคำที่อาจารย์กล่าวว่า ข้อนี้
เป็นอย่างนั้น ท่านอาจารย์ ฉะนั้น ดูก่อนมัลลิกา เธอจงหลบหน้าไปเสีย
เธอจงพินาศ.

172
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 173 (เล่ม 21)

ตรัสเรียกนาฬิชังฆพราหมณ์
[๕๓๙] ครั้งนั้นแล พระนางมัลลิกาเทวีตรัสเรียกพราหมณ์ชื่อนาฬิ-
ชังฆะมาตรัสว่า มานี่แน่ะท่านพราหมณ์ ขอท่านจงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้วถวายบังคมพระยุคลบาทของพระองค์ด้วยเศียรเกล้า
แล้วทูลถามถึงความมีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบาง ทรงกะปรี้กะเปร่า
มีพระกำลัง ทรงพระสำราญตามคำของฉันว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนาง-
มัลลิกาเทวีขอถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า
ทูลถามถึงความมีพระอาพาธน้อย มีพระโรคเบาบ้าง ทรงกะปรี้กะเปร่า มี
พระกำลัง ทรงพระสำราญ และท่านจงทูลถามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระวาจาว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของ
ที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจริงหรือ พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงพยากรณ์แก่ท่านอย่างไร ท่านพึงเรียนพระดำรัสนั้นให้ดี แล้ว
มาบอกแก่ฉัน อันพระตถาคตทั้งหลายย่อมตรัสไม่ผิดพลาด.
นาฬิชังฆพราหมณ์รับพระเสาวณีย์พระนางมัลลิกาแล้ว ได้เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่าน
การปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดม พระนางมัลลิกาเทวี ขอถวายบังคม พระ-
ยุคลบาทของพระโคดมด้วยเศียรเกล้า ทูลถามถึงความมีพระอาพาธน้อย มี
พระโรคเบาบาง ทรงกะปรี้กะเปร่า มีพระกำลัง ทรงพระสำราญ และรับสั่ง
ทูลถามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระวาจานี้ว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก ดังนี้ พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจริงหรือ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนพราหมณ์
ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูก่อนพราหมณ์ ข้อนี้เป็นอย่างนั้น เพราะว่า โสกะ

173
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 174 (เล่ม 21)

ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของ
ที่รัก. ดูก่อนพราหมณ์ ชื่อว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส
ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รักอย่างไร ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้.
เรื่องเคยมีแล้ว
[๕๔๐] ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนครสาวัตถีนี้แล
มารดาของหญิงคนหนึ่งได้ทำกาละ. เพราะการทำกาละของมารดานั้น หญิง
คนนั้นเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน เข้าไปตามถนนทุกถนน ตามตรอกทุกตรอก
แล้วได้ถามอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายได้พบมารดาของฉันบ้างไหม ท่านทั้งหลาย
ได้พบมารดาของฉันบ้างไหม. ดูก่อนพราหมณ์ ข่อว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์
โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รักอย่างไร
ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้. ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนคร
สาวัตถีนี้แล บิดาของหญิงคนหนึ่งได้ทำกาละ.... พี่น้องชาย พี่น้องหญิง
บุตร ธิดา สามีของหญิงคนหนึ่งได้ทำกาละ. เพราะการทำกาละของบิดา
เป็นต้นนั้น หญิงคนนั้นเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน เข้าไปตามถนนทุกถนน ตาม
ตรอกทุกตรอก แล้วได้ถามอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายได้พบบิดาเป็นต้นของฉัน
บ้างไหม ท่านทั้งหลายได้พบบิดาเป็นต้นของฉันบ้างไหม. ดูก่อนพราหมณ์
ข้อว่า โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก
เป็นมาแต่ของที่รัก อย่างไร ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้แล.
[๕๔๑] ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนครสาวัตถีนี้แล
มารดาของชายคนหนึ่งได้ทำกาละลง. เพราะการทำกาละของมารดานั้น ชายคน
นั้นเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน เข้าไปตามถนนทุกถนน ตามตรอกทุกตรอก แล้ว
ได้ถามอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายได้พบมารดาของข้าพเจ้าบ้างไหม ท่านทั้งหลาย

174
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ – หน้าที่ 175 (เล่ม 21)

ได้พบมารดาของข้าพเจ้าบ้างไหม. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อว่า โสกะ ปริเทวะ
ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รักอย่างไร
ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้. ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนคร
สาวัตถีนี้แล บิดาของชายคนหนึ่งได้ทำกาละ... พี่น้องชาย พี่น้องหญิง บุตร
ธิดา ภรรยาของชายคนหนึ่งทำกาละ เพราะการทำกาละของบิดาเป็นต้น นั้น
ชายคนนั้นเป็นบ้า มีจิตฟุ้งซ่าน เข้าไปตามถนนทุกถนน ตามตรอกทุกตรอก
แล้วได้ถามอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายได้พบบิดาเป็นต้น ของข้าพเจ้าบ้างไหม ท่าน
ทั้งหลายได้พบบิดาเป็นต้นของข้าพเจ้าบ้างไหม. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อว่า โสกะ
ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของ
ทีรัก อย่างไร ท่านพึงทราบโดยปริยายแม้นี้.
[๕๔๒] ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องเคยมีมาแล้ว ในพระนครสาวัตถีนี้แล
หญิงคนหนึ่งได้ไปยังสกุลของญาติ พวกญาติของหญิงนั้น ใคร่จะพรากสามีของ
หญิงนั้น แล้วยกหญิงนั้นให้แก่ชายอื่น แต่หญิงนั้นไม่ปรารถนาชายคนนั้น.
ครั้งนั้นแล หญิงนั้น ได้บอกกับสามีว่า ข้าแต่ลูกเจ้า พวกญาติของดิฉัน ใคร่จะ
พรากท่านเสีย แล้วยกดิฉันให้แก่ชายอื่น แต่ฉันไม่ปรารถนาชายคนนั้น. ครั้ง
นั้นแล บุรุษผู้เป็นสามีได้ตัดหญิงผู้เป็นภรรยานั้นออกเป็นสองท่อน แล้วจึง
ผ่าตนด้วยความรักว่า เราทั้งสองจักตายไปด้วยกัน. ดูก่อนพราหมณ์ ข้อว่า
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมา
แต่ของที่รัก อย่างไร ท่านพึงโปรดทราบโดยปริยายแม้นี้.
[๕๔๓] ลำดับนั้นแล นาฬิชังฆพราหมณ์ชื่นชม อนุโมทนาพระภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วลุกจากที่นั่ง ได้เข้าไปเฝ้าพระนางมัลลิกาเทวียังที่
ประทับ ครั้นแล้วได้กราบทูลถึงการที่ไค้เจรจาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทั้งหมดแก่พระนางมัลลิกาเทวี. ลำดับนั้นแล พระนางมัลลิกาเทวี ได้เข้าไป

175