No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 446 (เล่ม 20)

ในกามภพที่เหลือ พระอริยบุคคล ๓ จำพวกมีพระโสดาบันเป็นต้น ยัง
ดำรงอยู่ได้ในมนุษยโลก. ในกามาวจรเทวโลก พระโสดาบันและพระสกทาคามี
ยังดำรงอยู่ได้. แต่พระอนาคามีและพระขีณาสพจะดำรงอยู่ในกามาวจรเทวโลก
นี้ไม่ได้. เพราะเหตุไร. เพราะที่นั้นมิใช่เป็นที่อยู่ของชนผู้ละอายแล้ว. และที่
นั้นมิใช่เป็นที่ปกปิดที่สมควรแก่วิเวกขอพระขีณาสพเหล่านั้น.
ด้วยประการฉะนี้ พระขีณาสพจึงปรินิพพาน ณ ที่นั้น. พระอนาคามี
จุติแล้วไปเกิดในชั้นสุทธาวาส. พระอริยะแม้ ๘ จำพวก ย่อมดำรงอยู่ในภูมิ
เบื้องบน แต่กามาวจรเทวโลกได้. บทว่า โสจาปิ กมฺมวาที คือ อาชีวกที่
เป็นกรรมวาที. บทว่า กิริยวาที พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงคัดค้านผู้อื่นแล้ว
ทรงกล่าวถึงพระองค์เองเท่านั้นในที่สุด ๘๙๑ กัป. ได้ยินว่า ในครั้งนั้นพระ-
มหาสัตว์ทรงผนวชเพื่อทรงสอบสวนลัทธิปาสัณฑะ (เป็นลัทธิเกี่ยวกับตัณหา
และทิฏฐิ). ครั้นทรงทราบว่าลัทธิปาสัณฑะนั้นไม่มีผล ก็มิได้ทรงเลิกละความ
เพียรได้เป็นกิริยวาทีไปบังเกิดบนสวรรค์. เพราะฉะนั้นจึงตรัสอย่างนี้. บทที่
เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้น ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาเตวิชชวัจฉสูตรที่ ๑
๑. บาลีว่า ๙๑ กัป

446
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 447 (เล่ม 20)

๒. อัคคิวัจฉโคตตสูตร
เรื่องปริพาชกวัจฉโคตร
[๒๔๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ปริพาชกวัจฉโคตร
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ทิฏฐิ ๑๐ อย่าง
[๒๔๕] ปริพาชกวัจฉโคตร นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูล
ถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้
เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า โลกไม่เที่ยง
สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ.
ดูก่อนวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า โลกมีที่สุด
สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ.
ดูก่อนวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า ชีพก็อันนั้น
สรีระก็อันนั้น สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ.

447
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 448 (เล่ม 20)

ดูก่อนวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า ชีพก็อย่าง
หนึ่ง สรีระก็อย่างหนึ่ง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ.
ดูก่อนวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้อง
หน้าแต่ตายไป มีอยู่ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ.
ดูก่อนวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้อง
หน้าแต่ตายไป ไม่มีอยู่ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ.
ดูก่อนวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้อง
หน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ.
ดูก่อนวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้อง
หน้าแต่ตายไป มีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดัง
นี้หรือ.
ดูก่อนวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น.
[๒๔๖] พระองค์อันข้าพเจ้าทูลถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ท่าน
พระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้หรือ
ก็ตรัสตอบว่า ดูก่อนวัจฉะ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น ฯ ล ฯ พระองค์อันข้าพเจ้า
ทูลถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ท่านพระโคดมทรงเห็นอย่างนี้ว่า สัตว์เบื้อง
หน้าแต่ตาย มีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ ดังนี้หรือ ก็ตรัสตอบว่า ดูก่อนวัจฉะ.

448
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 449 (เล่ม 20)

เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น ก็ท่านพระโคดมทรงเห็นโทษอะไรหรือ จึงไม่ทรงเข้า
ถึงทิฏฐิเหล่านี้ โดยประการทั้งปวงเช่นนี้.
[๒๔๗] ดูก่อนวัจฉะ ความเห็นว่าโลกเที่ยง . . . โลกไม่เที่ยง . . .
โลกมีที่สุด. . . โลกไม่มีที่สุด. . . ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น. . . ชีพก็อย่างหนึ่ง
สรีระก็อย่างหนึ่ง . . . สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปไม่
มีอยู่. . . สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายไปมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี . . . สัตว์เบื้องหน้าแต่
ตายไปมีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้นั้น เป็นความเห็นที่รกชัฏ เป็น
ความเห็นอย่างกันดาร เป็นความเห็นที่เป็นเสี้ยนหนาม เป็นความเห็นที่กวัด-
แกว่ง เป็นความเห็นเครื่องผูกสัตว์ไว้ เป็นไปกับด้วยทุกข์ เป็นไปกับด้วยความ
ลำบาก เป็นไปกับด้วยความคับแค้น เป็นไปกับด้วยความเร่าร้อน ไม่เป็นไป
เพื่อความหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อสงบระงับ เพื่อ
ความรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน .
ดูก่อนวัจฉะ เราเห็นโทษนี้แล จึงไม่เข้าถึงทิฏฐิเหล่านี้ โดยประการ
ทั้งปวงเช่นนี้.
ก็ความเห็นอะไร ๆ ของท่านพระโคดม มีอยู่บ้างหรือ.
ดูก่อนวัจฉะ ก็คำว่าความเห็นดังนี้ ตถาคตกำจัดเสียแล้ว ดูก่อนวัจฉะ
ก็ตถาคตเห็นแล้วว่า ดังนี้ รูป ดังนี้ ความเกิดแห่งรูป ดังนี้ ความดับแห่ง
รูป ดังนี้ เวทนา ดังนี้ ความเกิดแห่งเวทนา ดังนี้ ความดับแห่งเวทนา
ดังนี้ สัญญา ดังนี้ ความเกิดแห่งสัญญา ดังนี้ ความดับแห่งสัญญา ดังนี้
สังขาร ดังนี้ ความเกิดแห่งสังขาร ดังนี้ ความดับแห่งสังขาร ดังนี้ วิญญาณ
ดังนี้ ความเกิดแห่งวิญญาณ ดังนี้ ความดับแห่งวิญญาณ เพราะฉะนั้น
เราจึงกล่าวว่า ตถาคตพ้นวิเศษแล้ว เพราะความสิ้นไป เพราะคลาย
กำหนัด เพราะดับสนิท เพราะสละ เพราะปล่อย เพราะไม่ถือมั่น ซึ่งความ

449
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 450 (เล่ม 20)

สำคัญทั้งปวง ซึ่งความต้องการทั้งปวง ซึ่งความถือว่าเรา ว่าของเรา และ
ความถือตัวนอนอยู่ในสันดานทั้งปวง.
ปัญหาว่าด้วยผู้หลุดพ้น
[๒๔๘] ข้าแต่ท่านพระโคดม ก็ภิกษุผู้มีจิตพ้นวิเศษแล้วอย่างนี้ จะ
เกิดในที่ไหน.
ดูก่อนวัจฉะ คำว่า จะเกิดดังนี้ ไม่ควรเลย.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าเช่นนั้น จะไม่เกิดขึ้นหรือ.
ดูก่อนวัจฉะ คำว่า ไม่เกิดดังนี้ ก็ไม่ควร.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าเช่นนั้น เกิดก็มี ไม่เกิดก็มีหรือ.
ดูก่อนวัจฉะ คำว่า เกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ดังนี้ ก็ไม่ควร.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าเช่นนั้น เกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่หรือ.
ดูก่อนวัจฉะ คำว่า เกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่ ดังนี้ ก็ไม่ควร.
[๒๔๙] พระองค์อันข้าพเจ้าทูลถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม ภิกษุผู้
มีจิตพ้นวิเศษแล้วอย่างนี้ จะเกิดในที่ไหน ก็ตรัสตอบว่า ดูก่อนวัจฉะ คำว่า
จะเกิดดังนี้ไม่ควร ฯ ล ฯ พระองค์อันข้าพเจ้าทูลถามว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม
ถ้าเช่นนั้นเกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่หรือ ก็ตรัสตอบว่า ดูก่อนวัจฉะ คำว่า
เกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่ ดังนี้ ก็ไม่ควร ข้าแต่ท่านพระโคดม ในข้อนี้ข้าพเจ้า
ถึงความไม่รู้ ถึงความหลงแล้ว แม้เพียงความเลื่อมใสของข้าพเจ้าที่ได้มีแล้ว
เพราะวาจาที่ตรัสไว้ในเบื้องแรกของท่านพระโคดม บัดนี้ได้หายไปเสียแล้ว.
[๒๕๐] ดูก่อนวัจฉะ ควรแล้วที่ท่านจะไม่รู้ ควรแล้วที่ท่านจะหลง
เพราะว่าธรรมนี้เป็นธรรมลุ่มลึก ยากที่จะเห็น ยากที่จะรู้ สงบระงับ ประณีต
ไม่ใช่ธรรมที่จะหยั่งถึงได้ด้วยความตรึก ละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้ ธรรมนั้น

450
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 451 (เล่ม 20)

อันท่านผู้มีความเห็นเป็นอย่างอื่น มีความพอใจเป็นอย่างอื่น มีความชอบใจ
เป็นอย่างอื่น มีความเพียรในทางอื่น อยู่ในสำนักของอาจารย์อื่น รู้ได้โดยยาก
ดูก่อนวัจฉะ ถ้าเช่นนั้น เราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ท่านเห็นควรอย่างใด
ก็พึงพยากรณ์อย่างนั้น ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ถ้าไฟลุกโพลงอยู่
ต่อหน้าท่าน ท่านจะพึงรู้หรือว่า ไฟนี้ลุกโพลงต่อหน้าเรา.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าไฟลุกโพลงต่อหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพึงรู้ว่า
ไฟนี้ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าเรา.
ดูก่อนวัจฉะ ถ้าใคร ๆ พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อ
หน้าท่านนี้ อาศัยอะไรจึงลุกเล่า ท่านถูกถามอย่างนี้แล้วจะพึงพยากรณ์ว่า
อย่างไร.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าใคร ๆ ถามข้าพเจ้าอย่างนี้ว่า ไฟที่ลุกโพลง
ต่อหน้าท่านนี้ อาศัยอะไรจึงลุก ข้าพเจ้าถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงพยากรณ์อย่าง
นี้ว่า ไฟที่ลุกโพลงอยู่ต่อหน้าเรานี้อาศัยเชื้อ คือหญ้าและไม้จึงลุกอยู่.
ดูก่อนวัจฉะ ถ้าไฟนั้นพึงดับไปต่อหน้าท่าน ท่านพึงรู้หรือว่าไฟนี้ดับ
ไปต่อหน้าเราแล้ว.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ถ้าไฟนั้นดับไปต่อหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพึงรู้ว่า
ไฟนี้ดับไปต่อหน้าเราแล้ว.
ดูก่อนวัจฉะ ถ้าใคร ๆ พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ไฟที่ดับไปแล้วต่อหน้า
ท่านนั้น ไปยังทิศไหนจากทิศนี้ คือทิศบูรพา ทิศปัศจิม ทิศอุดร หรือทิศ
ทักษิณ ท่านถูกถามอย่างนี้แล้ว จะพึงพยากรณ์ว่าอย่างไร.
ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้อนั้นไม่สมควร เพราะไฟนั้นอาศัยเชื้อคือหญ้า
และไม้จึงลุก แต่เพราะเชื้อนั้นสิ้นไป และเพราะไม่มีของอื่นเป็นเธอ ไฟนั้น
จึงถึงความนับว่าไม่มีเธอ ดับไปแล้ว

451
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 452 (เล่ม 20)

การละขันธ์ ๕
[๒๕๑] ฉันนั้นเหมือนกัน วัจฉะ บุคคลเมื่อบัญญัติว่าเป็นสัตว์ พึง
บัญญัติเพราะรูปใด รูปนั้นตถาคตละได้แล้ว มีมูลรากอันขาดแล้ว ทำให้เป็น
ดุจตาลยอด้วน ถึงความไม่มี มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ตถาคต
พ้นจากการนับว่ารูปมีคุณอันลึก อันใคร ๆ ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก
เปรียบเหมือนมหาสมุทรฉะนั้น ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด
ไม่ควรจะกล่าวว่าเกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่า เกิดก็หามิได้ ไม่เกิด
ก็หามิได้ บุคคลเมื่อบัญญัติว่าเป็นสัตว์ พึงบัญญัติเพราะเวทนาใด. . . เพราะ
สัญญาใด. . . เพราะสังขารเหล่าใด. . . เพราะวิญญาณใด. . . วิญญาณนั้น
ตถาคตละได้แล้ว มีมูลรากอันขาดแล้ว ทำให้เป็นดุจตาลยอดด้วน ถึงความ
ไม่มี มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ตถาคตพ้นจากการนับว่าวิญญาณ
มีคุณอันลึก อันใคร ๆ ประมาณไม่ได้ หยั่งถึงได้โดยยาก เปรียบเหมือน
มหาสมุทรฉะนั้น ไม่ควรกล่าวว่าเกิด ไม่ควรจะกล่าวว่าไม่เกิด ไม่ควรจะ
กล่าวว่า เกิดก็มี ไม่เกิดก็มี ไม่ควรจะกล่าวว่า เกิดก็หามิได้ ไม่เกิดก็หามิได้.
ปริพาชกวัจฉโคตรถึงสรณคมน์
[๒๕๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ปริพาชกวัจฉโคตร
ได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม เปรียบเหมือนต้นสาละใหญ่
ในที่ใกล้บ้านหรือนิคม กิ่ง ใบ เปลือก สะเก็ด และกระพี้ ของต้นสาละ
ใหญ่นั้น จะหลุดร่วง กะเทาะไป เพราะเป็นของไม่เที่ยง สมัยต่อมา ต้นสาละ
ใหญ่นั้นปราศจาก กิ่ง ใบ เปลือก สะเก็ด และกระพี้แล้ว คงเหลืออยู่แต่
แก่นล้วน ๆ ฉันใด พระพุทธพจน์ของท่านพระโคดม ก็ฉันนั้น ปราศจากกิ่ง
ใบ เปลือก สะเก็ด และกระพี้ คงเหลืออยู่แต่คำอันเป็นสาระล้วน ๆ.

452
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 453 (เล่ม 20)

ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระ-
โคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ
เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีบในที่มืด ด้วยคิดว่า ผู้มี
จักษุจักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด ท่านพระโคดมทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย
ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์นี้ถึงท่านพระโคดม พระธรรมและภิกษุสงฆ์
ว่าเป็นสรณะ ขอท่านพระโคดม จงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึง
สรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้แล.
จบอัคคิวัจฉโคตตสูตรที่ ๒
๒. อรรถกถาอัคคิวัจฉ๑ สูตร
อัคคิวัจฉโคตตสูตร มีบทเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สตํ ข้าพเจ้าได้สดับ
มาอย่างนี้.
ในบรรดาบทเหล่านั้นบทว่า น โข อหํ เราไม่ได้เห็นอย่างนั้น คือ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในครั้งแรกว่าเราไม่เห็นว่าโลกเที่ยง. ในครั้งที่ ๒ ตรัส
ว่า เราไม่เห็นว่าโลกขาดสูญ. พึงทราบการปฏิเสธในทุกวาระด้วยคำมีอาทิว่า
โลกมีที่สุดและไม่มีที่สุด ด้วยประการฉะนี้. วาทะนี้ว่า โหติ จ น จ โหติ
สัตว์ตายไปแล้วมีอยู่ก็มี ไม่มีอยู่ก็มี เป็นวาทะว่าเที่ยงบางอย่างในที่นี้. วาทะนี้
ว่าสัตว์ตายไปแล้วมีอยู่ก็มิใช่ ไม่มีอยู่ก็มิใช่ พึงทราบว่า เป็น อมราวิกเขปะ
(ทิฏฐิดิ้นได้ไม่ตายตัว).
บทว่า สทุกฺขํ เป็นไปกับด้วยทุกข์ คือเป็นไปกับด้วยทุกข์ ด้วยทุกข์
อันเกิดแต่กิเลส และด้วยทุกข์อันเกิดแต่วิบาก. บทว่า สวิฆาตํ เป็นไปกับ
๑. บาลีเป็นอัคคิวัจฉโคตตสตร.

453
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 454 (เล่ม 20)

ด้วยความลำบาก คือเป็นไปกับด้วยความลำบากด้วยอำนาจทุกข์ ๒ อย่างเหล่า
นั้น. บทว่า สอุปายาสํ เป็นไปกับด้วยความคับแค้น คือเป็นไปกับด้วยความ
คับแค้นด้วยอำนาจทุกข์เหล่านั้น. บทว่า สปริฬาหํ เป็นไปกับด้วยความ
เร่าร้อนด้วยอำนาจแห่งทุกข์เหล่านั้นนั่นแหละ. บทว่า กิญฺจิ ทิฏฺฐิคตํ ความว่า
วัจฉะทูลถามว่า แม้ความเห็นไร ๆ ที่พระองค์ทรงชอบ ทรงพอใจแล้วถือ
เอามีอยู่หรือ. บทว่า อปนีตํ นำออกไปแล้ว คือตถาคตกำจัดแล้วไม่เข้าไป
หาแล้ว . บทว่า ทิฎฺฐํ คือเห็นด้วยปัญญา. บทว่า ตสฺมา เพราะฉะนั้น
ตถาคตได้เห็นความเกิดและความเสื่อมแห่งขันธ์ ๕. บทว่า สพฺพมญฺญิตานํ
ซึ่งความสำคัญทั้งปวง คือซึ่งความสำคัญคือตัณหาทิฏฐิและมานะแม้ทั้ง ๓ ทั้ง
ปวง. แม้บทว่า มถิตานํ ก็เป็นไวพจน์ของบทเหล่านั้นนั่นเอง.
บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงจำแนกบทเหล่านั้นแล้ว เมื่อจะทรง
แสดงจึงตรัสว่า สพฺพอหงฺการมมงฺการมานานุสยานํ ความถือว่าเรา ว่าของ
เราและความถือตัวอันนอนอยู่ในสันดานทั้งปวง. จริงอยู่ในบทนี้พึงทราบความ
ดังนี้. ความถือว่าเราเป็นทิฏฐิ. ความถือว่าของเราเป็นตัณหา. ความถือตัว
อันนอนอยู่ในสันดานเป็นมานะ. บทว่า อนุปาทา วิมุตฺโต ตถาคตพ้นวิเศษ
แล้วจากความไม่ถือมั่น คือพ้นเพราะไม่ถือธรรมไร ๆ ด้วยอุปาทาน ๔. บทว่า
น อุเปติ คือไม่ควร.
อนึ่ง พึงทราบความในบทนี้ดังต่อไปนี้. บทว่า น อุปปชฺชติ ไม่เกิด
นี้ ควรรู้ตาม. แต่เพราะเมื่อตรัสอย่างนี้ปริพาชกนั้น พึงถือเอาความขาดสูญ.
อนึ่งบทว่า อุปปชฺชติ ย่อมเกิด. พึงถือเอาความเที่ยงอย่างเดียว. บทว่า อุป-
ปชฺชติ จ โน อุปปชฺชติ จ เกิดก็มี ไม่เกิดก็มี พึงถือเอาความเที่ยงบางส่วน.
บทว่า เนว อุปปชฺชติ น จ อุปปชฺชติ เกิดก็มิใช่ ไม่เกิดก็มิใช่เป็น

454
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 455 (เล่ม 20)

ความเห็นดิ้นได้ไม่ตายตัว ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วัจฉปริพาชกนี้
ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว จะไม่ได้ที่เข้าไปอยู่เป็นสุขเลย แล้วทรงตั้งอยู่
ในความไม่เห็นชอบ ทรงปฏิเสธความเห็นชอบ.
บทว่า อลํ ควรแล้วคือสามารถจัดแจง. บทว่า ธมฺโม ได้แก่ ธรรม
คือปัจจยาการ. บทว่า อญฺญตฺถ โยเคน คือมีความเพียรในทางอื่น. บทว่า
อญฺญตฺถ อาจริยเกน คืออยู่ในสำนักของอาจารย์อื่นผู้ไม่รู้ปัจจยาการ. บทว่า
เตนหิ วจฺฉ ดูก่อนวัจฉะ ท่านกล่าวว่า เราถึงความลุ่มหลง ฉะนั้นเราจะย้อน
ถามท่านในข้อนี้. บทว่า อนาหาโร นิพฺพุโต ไฟไม่มีเชื้อดับไปแล้ว คือ
ไม่มีปัจจัยดับไป. บทว่า เยน รูเปน ด้วยรูปใด คือพึงบัญญัติสัตว์ว่ามีรูปด้วย
รูปใด. บทว่า คมฺภีโร คือมีคุณอันลึก. บทว่า อปฺปเมยฺโย อันใครๆ ประ-
มาณไม่ได้ คือไม่สามารถถือเอาประมาณได้. บทว่า ทุปฺปริโยคาฬฺโห หยั่ง
ถึงได้โดยยาก คือรู้ได้ยาก. บทว่า เสยฺยถาปิ มหาสมุทฺโท คือดุจมหาสมุทร
ลึก ประมาณไม่ได้ รู้ได้ยาก ฉันใด แม้พระขีณาสพก็ฉันนั้น. บทมีอาทิว่า
อุปฺปชฺชติ ไม่ควรทั้งหมดเพราะปรารภพระขีณาสพนั้น. อย่างไร. เหมือนบท
มีอาทิว่าบุคคลไปสู่ทิศตะวันออก เพราะปรารภไฟที่ดับแล้ว ไม่ควรทั้งหมด
ฉะนี้. บทว่า อนิจฺจตา เพราะความไม่เที่ยง. บทว่า สาเร ปติฏฺฐิตํ คือ
เหลือแต่แก่นคือโลกุตตรธรรม. บทที่เหลือในที่ทั้งปวงง่ายทั้งนั้น.
จบอรรถกถาอัคคิวัจฉสูตรที่ ๒

455