กล่าวถึงวิโมกข์ ๘ ด้วย. บทว่า กาเยน ผุสิตฺวา คือถูกต้องด้วยนามกาย
อันเกิดร่วมกัน. บทว่า ปญฺญาย จสฺส ทิสฺวา คืออาสวะบางเหล่าของเขา
สิ้นไปแล้วเพราะเห็นอริยสัจธรรมนั้น. เพราะเหตุนั้นควรละอาสวะส่วนหนึ่ง
ด้วยปฐมมรรคเป็นต้น . บทว่า ตถาคตปฺ ปเวทิตา คืออริยสัจ ๔ อัน
พระตถาคตทรงประกาศแล้ว. บทว่า ปญฺญาย โวทิฏฺฐา โหนฺติ คือธรรม
ทั้งหลายเป็นอันผู้นั้นเห็นดีแล้วด้วยมรรคปัญญา เพราะสะสมความประพฤติไว้
ในอรรถด้วยอรรถ ในเหตุด้วยเหตุอย่างนี้ว่า ศีล สมาธิ วิปัสสนา มรรคและผล
ท่านกล่าวไว้ในที่นี้. บทว่า โวจริตา คือประพฤติดีแล้ว. บทว่า สทฺธา
นิวิฏฺฐา โหติ ได้แก่ โอกัปปนศรัทธาตั้งมั่นแล้ว.
บทว่า มตฺตโส นิชฺฌานํ ชมนฺติ ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคต
ประกาศแล้วย่อมควรซึ่งความเพ่งพินิจโดยประมาณ. คือควรตรวจดูโดยประ-
มาณ. บทว่า สทฺธามตฺตํ คือศรัทธานั่นแหละ. บทนอกนั้นเป็นไวพจน์ของ
บทว่า สทฺธามตฺตํ นั่นเอง.
เพราะเหตุนี้ในบุคคลผู้ควรทำด้วยความไม่ประมาทเหล่านี้ พระเสขะ
ผู้แทงตลอดมรรคผล ๓ จำพวกเหล่านั้นเสพเสนาสนะอันสมควร คบกัลยาณ-
มิตร ทำอินทรีย์ให้เสมออยู่ย่อมถือเอาพระอรหัตตามลำดับ. เพราะฉะนั้น
อธิบายความแห่งบาลีแห่งบทเหล่านั้นเป็นอันตั้งไว้ตามสมควรแล้ว.
อนึ่งในที่สุดท่านผู้เพียบพร้อมด้วยโสดาปัตติมรรคทั้งสองเหล่านั้น
เสพเสนาสนะอันสมควรแก่มรรคนั้น คบกัลยาณมิตรทำอินทรีย์ให้สงบ เสพ
คบ ทำอินทรีย์ให้เสมอ เพื่อประโยชน์แก่มรรค ๓ ในเบื้องบน จักบรรลุ
พระอรหัตตามลำดับ นี้เป็นความอธิบายบาลีในสูตรนี้ด้วยประการฉะนี้. ส่วน
ท่านผู้พูดนอกรีตนอกรอยจับเอาบาลีนี้นี่แหละแล้วกล่าวว่า โลกุตตรมรรคมิได้