ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่ม
พระธรรมเทศนาโดยธรรมดาของพระองค์ว่า เราจักแสดงธรรมแก่ภิกษุสงฆ์.
ภิกษุแม้ไม่ฉลาดนี้กล่าวตู่พระธรรมเทศนานั้น ช่างเถิดเราจะทูลวิงวอนพระผู้มี-
พระภาคเจ้า แล้วให้ทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย. ท่านพระอานนท์ได้ทำ
อย่างนั้นแล้ว . เพื่อแสดงความนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า เอวํ วุตฺเต
อายสฺมา อานนฺโท เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ในบทเหล่านั้นบทว่า สกฺกายทิฏฺฐิปริยุฏฺฐิเตน มีจิตอันสักกายทิฏฐิ
กลุ้มรุมแล้ว คือ อันสักกายทิฏฐิยึดไว้ ครอบงำแล้ว. บทว่า สกฺกายทิฏฺฐิ-
ปุเรเตน อันสักกายทิฏฐิครอบงำแล้ว คือ อันสักกายทิฏฐิตามไปแล้ว. บทว่า
นิสฺสรณํ อุบายเป็นเครื่องสลัดออก ได้แก่ นิพพานๆ ชื่อว่า อุบายเป็นเครื่อง
สลัดออกแห่งทิฏฐิ. ไม่รู้อุบายเป็นเครื่องสลัดออกนั้น ตามความเป็นจริง.
บทว่า อปฺปฏิวินีตา คือ อันปุถุชนบรรเทาไม่ได้แล้ว นำออกไปไม่ได้แล้ว.
บทว่า โอรมฺภาคิยสํโยชนํ ได้แก่ สังโยชน์เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ. แม้
ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน . ธรรมฝ่ายขาวมีอรรถง่ายทั้งนั้น.
อนึ่ง ในสูตรนี้เพราะบาลีว่า สานุสยา ปหียติ สักกายทิฏฐิพร้อม
ด้วยอนุสัย อันพระอริยบุคคลละได้แล้ว อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สังโยชน์
เป็นอย่างหนึ่ง อนุสัยเป็นอย่างหนึ่ง. เหมือนเมื่อกล่าวว่า ภัตพร้อมด้วยกับ.
กับข้าวเป็นอย่างอื่นจากภัตฉันใด. ลัทธิของอาจารย์เหล่านั้นว่า อนุสัยพึงเป็น
อย่างอื่นจากสักกายทิฏฐิอันกลุ้มรุม เพราะบาลีว่า สานุสยา พร้อมด้วยอนุสัย
ก็ฉันนั้น. อาจารย์เหล่านั้นปฏิเสธด้วยบทมีอาทิว่า สสีสํ ปารุเปติวา คลุม
ตลอดศีรษะ. เพราะคน อื่นไปจากศีรษะย่อมไม่มี.