แสดงถึงอากาศอัน. ไปในระหว่างหทัยและเนื้อเป็นต้น และอันตั้งอยู่โดยความ
เป็นขุมขน. คำที่เหลือในบทนี้พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในปฐวีธาตุเป็นต้น.
บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสบอกถึงลักษณะแห่งความเป็นผู้คงที่
แก่พระราหุลนั้นจึงตรัสบทมีอาทิว่า ปฐวีสมํ เสมอด้วยแผ่นดิน. บุคคลผู้ไม่
กำหนัด ไม่ประทุษร้ายในอารมณ์อันน่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา ชื่อว่า
ตาทีบุคคล (ผู้คงที่) ในบทว่า มนาปามนาปา นี้พึงทราบความดังต่อไป
นี้. ผัสสะสัมปยุตด้วยจิตสหรคตด้วยโลภะ ๘ ชื่อว่า มนาปา เป็นที่ชอบใจ.
ผัสสะสัมปยุตด้วยโทมนัสจิต ๒ ชื่อว่า อมนาปา ไม่เป็นที่ชอบใจ. บทว่า
จิตฺตํ น ปริยาทาย ฐสฺสนฺติ ผัสสะจักไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ได้ ความว่า
ผัสสะเหล่านั้นเกิดขึ้นแล้วจักไม่สามารถครอบงำจิตของท่าน ดุจจะทำให้อยู่ใน
กำมือได้. ฉันทราคะจักไม่เกิดเพราะอาศัยอัตภาพอีกว่า เรางาม ผิวพรรณของ
เราผ่องใสดังนี้. คูถนั้นแหละชื่อว่า คูถคตํ ในบทมีอาทิว่า คูถคตํ. ในบท
ทั้งปวงก็อย่างนี้.
บทว่า น กตฺถจิ ปติฎฺฐิโต เหมือนอากาศไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน ๆ
คือ ไม่ตั้งอยู่แม้ในที่เดียวมีในแผ่นดินภูเขาและต้นไม้เป็นต้น. ผิว่า อากาศพึง
ตั้งอยู่บนแผ่นดินเมื่อแผ่นดินทำลายก็จะพึงทำลายไปด้วยกัน. เมื่อภูเขาพังก็จะ
พังไปด้วยกัน. เมื่อต้นไม้หักก็จะหักไปด้วยกันเท่านั้น.
เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภ ว่า เมตฺตํ ราหุล.
เพื่อแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้คงที่. เพราะทรงแสดงเหตุแห่งความเป็นผู้คงที่
ไว้แล้วในหนหลัง. ใคร ๆ ไม่สามารถเพื่อเจริญ เพราะมิใช่เหตุว่า เราเป็น
ผู้คงที่. ใคร ๆ มิใช่ชื่อว่าเป็นผู้คงที่ด้วยเหตุเหล่านี้ว่า เราเป็นผู้ขวนขวายใน
ตระกูลสูง เป็นพหุสูต เป็นผู้มีลาภ. พระราชามหาอำมาตย์ของพระราชาเป็นต้น