No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 196 (เล่ม 20)

ความเสื่อม (จัญไร) กรรมที่ข้าพเจ้ากระทำมาเป็นเวลาเพียงนี้ก็เกิดเป็นโมฆะ
(ไม่มีผล) เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าเมื่อพิจารณาเห็น ความวิบัติของตัวเอง จึง
ร้องไห้ พระเจ้าข้า. คำว่า โควตฺตํ เป็นต้น ก็พึงทราบตามนัยที่กล่าวมา
แล้วในกุกกุรวัตรเป็นอาทินั่นแล. คำว่า คฺวากปฺปํ แยกสนธิเป็น โคอากปฺปํ
แปลว่า อาการของโค. คำที่เหลือก็เป็นเช่นเดียวกับคำที่กล่าวมาแล้วในอาการ
ของสุนัขนั่นแหละ เห็นเหล่าสุนัขตัวอื่น ๆ แล้วแยกเขี้ยวเดินไปในกุกกุรวัตร
นั้น ฉันใด ก็พึงทราบอาการที่โคเห็นโคตัวอื่น ๆ แล้วยกหูทั้งสองเดินไป
ในโควัตรนี้ก็ฉันนั้น. คำนอกนั้นก็เหมือนกันนั่นแหละ.
คำว่า จตฺตารีมานิ ปุณฺณ กมฺมานิ ความว่า เหตุไร พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจึงทรงปรารภพระธรรมเทศนานี้. ก็เพราะเทศนานี้มาด้วยอำนาจ
การกระทำกรรมบางอย่าง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกรรม ๔ หมวดนี้แล้ว
การกระทำของคนเหล่านี้จักปรากฏ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรง
ปรารภเทศนานี้. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงทราบว่าคนทั้งสองนี้จักเข้าใจ
กรรม ๔ หมวด ที่กำลังทรงแสดงนี้เท่านั้น ต่อนั้น คนหนึ่งจักถึงสรณะ คน
หนึ่งจักบวชแล้วบรรลุพระอรหัต ดังนั้น เทศนานี้เท่านั้นเป็นสัปปายะของ
พวกเขา จึงทรงปรารภเทศนานี้. บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า กณฺหํ แปลว่า
ดำ ได้แก่กรรมที่เป็นอกุศลกรรมบถ ๑๐. บทว่า กณฺหวิปากํ คือมีวิบากดำ
เพราะทำให้บังเกิดในอบาย. บทว่า สุกฺกํ แปลว่า ขาว ได้แก่กรรมที่เป็น
กุศลกรรมบถ ๑๐. บทว่า สุกกวิปากํ คือมีวิบากขาว เพราะทำให้บังเกิด
ในสวรรค์. บทว่า กณฺหสุกฺกํ คือกรรมที่คละกัน. บทว่า กณฺหสุกฺกวิปากํ
คือมีสุขและทุกข์เป็นวิบาก. แท้จริง บุคคลทำกรรมคละกันแล้ว เกิดในกำเนิด
สัตว์ดิรัจฉาน ในตำแหน่งช้างมิ่งมงคลเป็นต้น ด้วยอกุศลกรรม ก็เสวยสุขใน

196
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 197 (เล่ม 20)

ปวัตติกาลด้วยกุศลกรรม. แม้เขาเกิดในราชตระกูล ด้วยกุศลกรรม ก็เสวย
ทุกข์ในปวัตติกาลด้วยอกุศลกรรม. กรรมคือเจตนาในมรรค ๔ อันกระทำให้
สิ้นกรรมทรงประสงค์เอาว่า กรรมไม่ดำไม่ขาว. ก็ผิว่า กรรมนั้นพึงเป็นกรรม
ดำไซร้ ก็จะพึงให้วิบากดำ ผิว่าเป็นกรรมขาวไซร้ ก็จะพึงให้วิบากขาว.
ส่วนเจตนากรรมในมรรค ๔ ตรัสว่า ไม่ดำไม่ขาว ก็เพราะมีวิบากไม่ดำไม่ขาว
เหตุไม่ให้วิบากทั้งสอง. ความในอุเทศเท่านี้ก่อน.
ส่วนในนิเทศพึงทราบความดังต่อไปนี้. บทว่า สพฺยาปชฺฌํ แปลว่า
มีทุกข์. ในกายสังขารเป็นต้น อกุศลเจตนา ๑๒ ที่ถึงความไหว้ด้วยอำนาจการ
จับถือเป็นต้น ในกายทวาร ชื่อว่า กายสังขารมีทุกข์. อกุศลเจตนา ๑๒
นั้นนั่นแล ที่ทำให้การเปล่งคำเป็นไปได้ด้วยอำนาจการเคลื่อนไหวลูกคาง
ในวจีทวาร ชื่อว่า วจีสังขาร. อกุศลเจตนา ที่ยังไม่ถึงความไหวทั้งสองที่
เป็นไปในมโนทวาร สำหรับคนที่กำลังคิดอยู่ลับ ๆชื่อว่า มโนสังขาร. ดังนี้ น
อกุศลเจตนาเท่านั้น ที่ต่างโดยเป็นกายทุจริตเป็นต้นในทวารแม้ทั้งสาม พึง
ทราบว่า สังขาร.
แท้จริง ในพระสูตรนี้ เจตนา ชื่อว่า ธุระ. ในอุปาลิ (วาท) สูตร
เจตนา ชื่อว่า กรรม. บทว่า อภิสงฺขริตฺวา คือ ชักมา. อธิบายว่า ประ-
มวลมา. บทว่า สพฺยาปชฺฌํ โลกํ คือเข้าถึงโลกที่มีทุกข์. บทว่า สพฺยา-
ปชฺฌา ผสฺสา ผุสนฺติ คือผัสสะที่มีทุกข์เป็นวิบาก ย่อมถูกต้อง. คำว่า
เอกนฺตทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์หาระหว่างมิได้. คำว่า ภูตา เป็นปัญจมีวิภัติ ลง
ในอรรถว่า เหตุ. ความเข้าถึง (อุปบัติ) ของสัตว์ที่เกิดแล้ว ย่อมมีเพราะ
กรรมที่มีแล้ว. ท่านอธิบายว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมทำกรรมที่มีแล้วอย่างไร ความ
เข้าถึงของสัตว์เหล่านั้น ย่อมมีด้วยอำนาจกรรมที่มีส่วนเสมอกัน กับกรรมที่

197
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 198 (เล่ม 20)

มีแล้วอย่างไร. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า สัตว์ทำกรรม
อันใดไว้ ย่อมเข้าถึงเพราะกรรมอันนั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตน
ความว่า สัตว์ทั้งหลาย พระองค์ตรัสว่า เหมือนเกิดเพราะกรรม แต่ชื่อว่า
การอุปบัติ ย่อมมีเพราะวิบาก ก็เพราะกรรมเป็นเหตุแห่งวิบาก ฉะนั้นสัตว์
ย่อมเกิดเพราะกรรมอันเป็นมูลเหตุนั้น. บทว่า ผสฺสา ผุสนฺติ ความว่า
สัตว์ทั้งหลายบังเกิดเพราะผลของกรรมอันใด ผัสสะย่อมถูกต้องผลของกรรม
อันนั้น. บทว่า กมฺมทายาทา คือ ทายาทของกรรม, เรากล่าวกรรมนั่นแหละ
ว่าเป็นทายาท คือเป็นมรดกของสัตว์เหล่านี้.
บทว่า อพฺยาปชฺฌํ แปลว่า ไม่มีทุกข์. ในวาระนี้ (นิทเทสวาร)
เจตนาฝ่ายกามาวจรกุศล ๘ ที่เป็นไปในกายทวาร ชื่อว่ากายสังขาร. เจตนา
ฝ่ายกามาวจรกุศล ๘ นั้นนั่นแหละ ที่เป็นไปในวจีทวาร ชื่อว่า วจีสังขาร.
เจตนาฝ่ายกามาวจรกุศล ๘ ที่เป็นไปในมโนทวาร และเจตนาในฌานเบื้องต่ำ
๓ ชื่อว่า อัพยาปัชฌมโนสังขาร.
ถามว่า เจตนาในฌาน จงยกไว้ก่อน ทำไมกามาวจรจึงชื่อว่า
อัพยาปัชฌมโนสังขาร.
ตอบว่า อัพยาปัชฌมโนสังขาร ย่อมเกิดได้ในขณะเข้ากสิณ และ
ขณะเสพกสิณเนือง ๆ เจตนาฝ่ายกามาวจรต่อกับเจตนาปฐมฌาน เจตนาใน
จตุตถฌาน ต่อกับเจตนาในตติยฌาน. ดังนั้น กุศลเจตนาต่างโดยกายสุจริต
เป็นต้นเท่านั้น แม้ในทวารทั้งสาม พึงทราบว่า สังขาร. วาระที่สามก็พึง
ทราบด้วยอำนาจที่คละกันทั้งสองอย่าง. ในคำว่า เสยฺยถาปิ มนุสฺสา เป็นต้น
พึงทราบว่า สำหรับพวกมนุษย์ก่อน ปรากฏว่าบางคราวก็สุข บางคราวก็ทุกข์

198
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 199 (เล่ม 20)

ส่วนในเหล่าเทวดาทั้งหลาย เหล่าภุมมเทวดา ในเหล่าวินิปาติกสัตว์ทั้งหลาย
เหล่าเวมานิกเปรต บางครั้งก็สุข บางครั้งก็ทุกข์. สุขย่อมเกิดได้แม้ในเหล่า
สัตว์ดิรัจฉานเช่นช้างเป็นต้น. บทว่า ตตฺร แปลว่า ในกรรมทั้ง ๓ นั้น.
บทว่า ตสฺส ปหานาย ยา เจตนา ความว่า เจตนาในมรรค ก็เพื่อ
ประโยชน์แก่การละกรรมนั้น. แต่ถึงกรรมแล้วชื่อว่า ธรรมอย่างอื่นที่ขาวกว่า
เจตนาในมรรคไม่มี. ฝ่ายอกุศลเจตนา ๑๐ ถึงกรรม ๔ หมวดนี้แล้ว ชื่อว่า ดำ.
กุศลเจตนาที่เป็นไปในภูมิ ๓ ชื่อว่า ขาว. มรรคเจตนามาแล้วว่า ไม่ดำไม่ขาว.
นายเสนิยะนั้นคิดว่า ตัวเราเหมือนจะเปลี่ยนความคิดว่า เราประกอบตัวไว้ใน
ฝ่ายธรรมที่ไม่นำสัตว์ออกจากทุกข์มาเป็นเวลานานแล้วหนอ ทำตนให้ลำบาก
เปล่า จักอาบน้ำที่ริมฝั่งแม่น้ำที่แห้ง เป็นเหมือนคนปักหลักลงในแกลบไม่ทำ
ประโยชน์อะไร ๆ ให้สำเร็จเลย เอาเถิด เราจะประกอบตัวไว้ในความเพียร
ดังนี้แล้ว จึงกล่าวคำนี้ว่า ลเภยฺยาหํ ภนฺเต.
ครั้งนั้น ติตถิยปริวาส (การอยู่อบรมสำหรับเดียรถีย์) อันใด พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้วในขันธกวินัยว่า ผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ ตั้งอยู่ใน
ภูมิของสามเณรแล้วสมาทานอยู่ปริวาส โดยนัยว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้ามีชื่อนี้
เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ ประสงค์จะอุปสมบทในธรรมวินัยนี้ ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้า
นั้นขอปริวาส ๔ เดือนกะสงฆ์ ดังนี้เป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอา
ติตถิยปริวาสนั้น จึงตรัสเป็นต้นว่า โย โข เสนิย อญฺญติตฺถิยปุพฺโพ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปพฺพชฺชํ ตรัสด้วยอำนาจความที่ทรงมีพระวาจาอ่อน
หวาน. แม้ที่จริง เสนิยะนั้นไม่อยู่ปริวาสก็ได้บรรพชา. แต่เขาต้องการอุปสมบท
บำเพ็ญวัตร ๘ ประการ มีการเข้าบ้านเป็นต้น พึงอยู่ปริวาส เกินกาลกำหนด.
บทว่า อารทฺธจิตฺตา คือมีจิตยินดีแล้วด้วยการบำเพ็ญวัตร ๘ ประการ. นี้

199
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 200 (เล่ม 20)

เป็นความย่อในเรื่องติตถิยปริวาสนั้น. ส่วนความพิสดารของติตถิยปริวาสนั้น
พึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้ว ในกถาปัพพัชชาขันธกะ คัมภีร์อรรถกถาวินัย
ชื่อสมันตปาสาทิกา. คำว่า อปิจ เมตฺถ แยกสนธิว่า อปิจ เม เอตฺถ. คำว่า
ปุคฺคลเวมตฺตตา วิทิตา คือรู้ความที่บุคคลเป็นต่าง ๆ กัน. พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงแสดงว่า คำนี้ปรากฏแก่เราว่า บุคคลนี้ควรอยู่ปริวาส บุคคลนี้ไม่ควร
อยู่ปริวาส. ต่อจากนั้น เสนิยะคิดว่า โอ พระพุทธศาสนาน่าอัศจรรย์จริง
ที่คนขัดสีทุบอย่างนี้แล้ว ก็ยึดเอาแต่ที่ควร ที่ไม่ควรก็ทิ้งไป. ต่อแต่นั้น
เขาก็เกิดอุตสาหะในการบรรพชาว่าดีกว่า จึงกราบทูลว่า สเจ โข ภนฺเต ดังนี้.
คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความที่เขามีฉันทะแรงกล้า ทรงดำริ
ว่า เสนิยะไม่ควรอยู่ปริวาส. จึงตรัสเรียกภิกษุรูปหนึ่งมาว่า ภิกษุ เธอไปให้
เสนิยะอาบนำแล้วให้บรรพชา แล้วนำตัวมา. ภิกษุนั้นก็กระทำอย่างนั้น ให้
เขาบรรพชาแล้วนำมายังสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ
นั่งกลางหมู่สงฆ์ ให้เขาอุปสมบทแล้ว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เสนิย-
นิครนถ์ผู้ถือกุกกุรวัตร ก็ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
บทว่า อจิรูปสมฺปนฺโน แปลว่า อุปสมบทแล้วไม่นาน. บทว่า วูปกฏฺโฐ
คือปลีกกายและจิต ออกจากวัตถุกามและกิเลสกาม. บทว่า อปฺปมตฺโต คือ
ผู้ไม่ละสติในกัมมัฏฐาน. บทว่า อาตาปี คือผู้มีคุณเครื่องเผากิเลส ด้วย
คุณเครื่องเผากิเลสคือความเพียร ที่นับได้ว่าเป็นไปทางกายและทางจิต. บทว่า
ปหิตตฺโต คือผู้มีตนอันส่งไป มีอัตภาพอันสละแล้ว เพราะเป็นผู้ไม่เยื่อใย
ในร่างกายและชีวิต. คำว่า ยสฺสตฺถาย แยกสนธิว่า ยสฺส อตฺถาย. บทว่า
กุลปุตฺตา คือ บุตรผู้มีมรรยาทและสกุล. บทว่า สมฺมเทว คือ โดยเหตุ
โดยการณ์. คำว่า ตทนุตฺตรํ แยกสนธิว่า ตํ อนุตฺตรํ. บทว่า พฺรหฺม-

200
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 201 (เล่ม 20)

จริยปริโยสานํ คือ อรหัตผลอันเป็นที่สุดแห่งมรรคพรหมจรรย์. จริงแล้ว
กุลบุตรทั้งหลาย ย่อมบวชเพื่อประโยชน์แก่มรรคพรหมจรรย์นั้น. สองบทว่า
ทิฏฺเฐว ธมฺเม คือ ในอัตภาพนี้นี่แล. บทว่า สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา
คือ กระทำให้ประจักษ์ด้วยปัญญา ด้วยตัวเอง. อธิบายว่า ผู้ไม่มีผู้อื่นเป็น
ปัจจัย (ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น). บทว่า อุปสมฺปชฺช วิหาสิ คือ บรรลุแล้ว
ให้ถึงพร้อมแล้วอยู่. ผู้อยู่อย่างนี้แล รู้ยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว ฯ ล ฯ. พระผู้มี-
พระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงปัจจเวกขณภูมิ (ญาณ) แก่เสนิยะนั้นอย่างนี้แล้ว
เพื่อทรงให้เทศนาจบลงด้วยยอดคือพระอรหัต ท่านจึงกล่าวว่า ก็ท่านเสนิยะเป็น
พระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายบรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
อญฺญตโร คือ องค์หนึ่ง. บทว่า อรหตํ คือ แห่งพระอรหันต์ทั้งหลาย ใน
ข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า บรรดาพระอรหันตสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ท่านเสนิยะเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง. คำที่เหลือในที่ทุกแห่งตื้นทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถากุกกุโรวาทสูตรที่ ๗

201
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 202 (เล่ม 20)

๘. อภยราชกุมารสูตร
ว่าด้วยอภัยราชกุมาร
[๙๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ เวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน
เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น พระราชกุมารพระนามว่า อภัย เสด็จเข้า
ไปหานิครนถ์นาฏบุตรถึงที่อยู่ ทรงอภิวาทนิครนถ์นาฏบุตรแล้ว ประทับนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
[๙๒] นิครนถ์นาฏบุตรได้ทูลอภัยราชกุมารว่า ไปเถิด พระราชกุมาร
เชิญพระองค์ทรงยกวาทะแก่พระสมณโคดม เมื่อพระองค์ทรงยกวาทะแก่สมณ-
โคดมอย่างนี้แล้ว กิตติศัพท์อันงามของพระองค์จักระบือไปว่า อภัยราชกุมาร
ทรงยกวาทะแก่สมณโคดมผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้.
อภัยราชกุมารตรัสถามว่า ท่านผู้เจริญ ก็ข้าพเจ้าจะยกวาทะแก่พระ-
สมณโคดม ผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากอย่างนี้ ได้อย่างไร.
นิครนถ์นาฏบุตรทูลว่า ไปเถิด พระราชกุมาร เชิญพระองค์เสด็จ
เข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ แล้วจงทูลถามพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระตถาคตจะพึงตรัสพระวาจาอันไม่เป็นที่ชอบใจของคน
อื่นบ้างหรือหนอ ถ้าพระสมณโคดมถูกถามอย่างนี้แล้ว จะทรงพยากรณ์อย่าง
นี้ว่า ดูก่อนราชกุมาร ตถาคตพึงกล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจ
ของคนอื่น ดังนี้ไซร้ พระองค์พึงทูลพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ เมื่อเป็นอย่างนั้น การกระทำของพระองค์จะต่างอะไรจากปุถุชนเล่า
เพราะแม้ปุถุชนก็พึงกล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ถ้า

202
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 203 (เล่ม 20)

พระสมณโคดมถูกถามอย่างนี้แล้ว จะทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ดูก่อนราชกุมาร
ตถาคตไม่พึงกล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ดังนี้ไซร้
พระองค์พึงทูลพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นอย่าง
นั้น อย่างไรพระองค์จึงทรงพยากรณ์พระเทวทัตว่า เทวทัตจักเกิดในอบาย
จักเกิดในนรก ตั้งอยู่สิ้นกัปหนึ่ง เป็นผู้อันใครๆ เยียวยาไม่ได้ ดังนี้ เพราะ
พระวาจาของพระองค์นั้น พระเทวทัตโกรธ เสียใจ ดูก่อนพระราชกุมาร
พระสมณโคดมถูกพระองค์ทูลถามปัญหาสองเงื่อนนี้แล้ว จะไม่อาจกลืนเข้า ไม่
อาจคายออกได้เลย เปรียบเหมือนกะจับเหล็กที่ติดอยู่ในคอของบุรุษ บุรุษนั้น
จะไม่อาจกลืนเข้า ไม่อาจคายออกได้ ฉันใด ดูก่อนราชกุมาร พระสมณ-
โคดมก็ฉันนั้น ถูกพระองค์ทูลถามปัญหาสองเงื่อนนี้แล้วจะไม่อาจกลืนเข้า ไม่
อาจคายออกได้เลย.
อภัยราชกุมารรับคำนิครนถ์นาฏบุตรแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ ทรง
อภิวาทนิครนถ์นาฏบุตร ทรงทำประทักษิณแล้วเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ทรงแหงนดูพระอาทิตย์ทรงพระดำริว่า วันนี้มิใช่
กาลจะยกวาทะแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า วันพรุ่งนี้เถิด เราจักยกวาทะแก่พระผู้
มีพระภาคเจ้าในนิเวศน์ของเราดังนี้แล้ว จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระองค์เป็นที่ ๔ จงทรงรับ
ภัตตาหารของหม่อมฉัน เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับ
ด้วยดุษณีภาพ ลำดับนั้น อภัยราชกุมารทรงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงรับแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่ประทัก-
ษิณแล้ว เสด็จหลีกไป ครั้งนั้น พอล่วงราตรีนั้นไป เวลาเช้า พระผู้มี-

203
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 204 (เล่ม 20)

พระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของอภัย
ราชกุมารประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้ ลำดับนั้น อภัยราชกุมารทรง
อังคาสพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยขาทนียโภชนียะอันประณีต ให้อิ่มหนำเพียง
พอด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จ ทรงชัก
พระหัตถ์จากบาตรแล้ว อภัยราชกุมารทรงถืออาสนะต่ำอันหนึ่ง ประทับนั่ง
ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
วาจาที่ไม่เป็นที่รัก
[๙๓] อภัยราชกุมารประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูล
ถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระตถาคตจะพึงตรัสพระวาจา
อันไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พอใจของคนอื่นบ้างหรือหนอ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนราชกุมาร ในปัญหาข้อนี้ จะ
วิสัชนาโดยส่วนเดียวมิได้.
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะปัญหาข้อนี้ พวกนิครนถ์ได้ฉิบหาย
แล้ว.
พ. ดูก่อนราชกุมาร เหตุไฉนพระองค์จึงตรัสอย่างนี้เล่า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะปัญหาข้อนี้ พวกนิครนถ์ได้ฉิบหายแล้ว
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส หม่อมฉันเข้าไปหานิครนถ์
นาฏบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง นิครนถ์นาฏบุตรได้
บอกว่า ไปเถิด พระราชกุมาร เชิญพระองค์เสด็จไปยกวาทะแก่พระสมณโคดม
เถิด เมื่อพระองค์ยกวาทะแก่พระสมณโคดมอย่างนี้ กิตติศัพท์อันงามของ
พระองค์จักระบือไปว่า อภัยราชกุมารยกวาทะแก่พระสมณโคดม ผู้มีฤทธิ์มาก

204
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ – หน้าที่ 205 (เล่ม 20)

มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อนิครนถ์นาฏบุตรกล่าวอย่างนี้ หม่อมฉันได้ถามว่า
ท่านผู้เจริญ ก็ข้าพเจ้าจะยกวาทะแก่พระสมณโคดมผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพ
มากอย่างนี้ได้อย่างไร. นิครนถ์นาฎบุตรตอบว่า ไปเถิด พระราชกุมาร เชิญ
พระองค์เสด็จเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ แล้วจงทูลถามอย่างนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระตถาคตจะพึงตรัสพระวาจาอันไม่เป็นที่รัก ไม่เป็น
ที่ชอบใจของผู้อื่นบ้างหรือหนอ ถ้าพระสมณโคดมถูกพระองค์ทูลถามอย่างนี้
แล้ว จะทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ดูก่อนราชกุมาร ตถาคตพึงกล่าววาจาอันไม่
เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ดังนี้ไซร้ พระองค์พึงทูลพระสมณโคดม
อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นอย่างนั้น การกระทำของพระองค์
จะต่างอะไรจากปุถุชนเล่า เพราะแม้ปุถุชนก็กล่าววาจาอันไม่เป็นที่รัก ไม่เป็น
ที่ชอบใจของผู้อื่น แต่ถ้าพระสมณโคดมถูกพระองค์ทูลถามอย่างนี้แล้ว จะ
ทรงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ดูก่อนราชกุมาร ตถาคตไม่พึงกล่าววาจาอันไม่เป็นที่
รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ดังนี้ไซร้ พระองค์พึงทูลพระสมณโคดมอย่าง
นี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อเป็นอย่างนั้น อย่างไรพระองค์จึงทรงพยากรณ์
เทวทัตว่า เทวทัตจักเกิดในอบาย จักเกิดในนรก ตั้งอยู่สิ้นกัปหนึ่ง เป็นผู้
อันใคร ๆ เยียวยาไม่ได้ ดังนี้ เพราะพระวาจาของพระองค์นั้น พระเทวทัต
โกรธ เสียใจ ดูก่อนพระราชกุมาร พระสมณโคดมถูกพระองค์ทูลถามปัญหา
สองเงื่อนนี้แล้ว จะไม่อาจกลืนเข้า ไม่อาจคายออกได้เลย เปรียบเหมือน
กะจับเหล็กติดอยู่ในคอของบุรุษ บุรุษนั้นจะไม่อาจกลืนเข้า ไม่อาจคายออก
ได้ ฉันใด ดูก่อนราชกุมาร พระสมณโคดมก็ฉันนั้น ถูกพระองค์ทูล
ถามปัญหาสองเงื่อนนี้แล้ว จะไม่อาจกลืนเข้า ไม่อาจคายออกได้เลย.

205