No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 142 (เล่ม 19)

พระตถาคตจึงมิได้แสดงธรรมแก่บุคคลผู้เดียว ทรงแสดงธรรมแก่บุคคลผู้
รู้ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยบทว่า ตสฺมึ เยว
ปุริมสฺมึ นี้ ไว้อย่างไร ได้ยินว่า สัจจกนิครนถ์ คิดว่า พระสมณโคดม มีพระ
รูปงาม น่ารัก พระทนต์เรียบสนิท พระชิวหาอ่อน การสนทนาก็ไพเราะเห็น
จะเที่ยวยังบริษัทให้ยินดี. ส่วนเอกัคคตาจิตของพระสมณโคดมนั้น ไม่มี
แก่พระองค์ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้ เพื่อทรงแสดง
ว่า ดูก่อน อัคคิเวสสนะ พระตถาคตเที่ยวยังบริษัทให้ยินดี พระตถาคตทรง
แสดงธรรมแก่บริษัททั่วจักรวาล พระตถาคตมีพระทัยไม่หดหู่ ไม่แปด
เปื้อน ประกอบเนืองๆ ซึ่งผลสมาบัติเป็นสุญญตะ ซึ่งเป็นธรรมเครื่องอยู่
อย่างหนึ่ง ประมาณเท่านี้ดังนี้. บทว่า อชฺฌตฺตํ ได้แก่ อารมณ์ อันเป็นภายใน
เท่านั้น บทว่า สนฺนิสีทามิ คือยังจิตให้สงบ. จริงอยู่ในขณะใด บริษัทย่อมให้
สาธุการ ในขณะนั้น พระตถาคตทรงกำหนดส่วนเบื้องต้น ทรงเข้าผลสมา
บัติ เมื่อเสียงกึกก้องแห่งสาธุการยังไม่ขาด ออกจากสมาบัติแสดงธรรม
อยู่ ตั้งแต่ที่พระองค์ทรงตั้งไว้แล้ว. ด้วยว่าการอยู่ในภวังค์ของพระพุทธเจ้าทั้ง
หลายย่อมเป็นไปเร็วพลัน ย่อมเข้าผลสมาบัติได้ในคราวหายใจเข้า ในคราว
หายใจออก. บทว่า เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ ความว่า เราอยู่ด้วยผลสมาธิ อันเป็น
สุญญตะได้ตลอดกาลเป็นนิตย์ คือแสดงว่า เราประคองจิตตั้งมั่นในสมาธิ
นิมิตนั้น.บทว่า โอกปฺปนิยเมตํ นั้น เป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อ.
สัจจกะนั้น รับว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้มีเอกัคคตาจิต บัดนี้
เมื่อจะนำปัญหาที่ตนซ่อนไว้ในพก มาทูลถาม จึงกล่าวว่า อภิชานาติ
ปน ภวํ โคตโม ทิวา สุปิตา. เหมือนอย่างว่า ขึ้นชื่อว่า สุนัขแม้กินอาหาร
ข้าวปายาสที่หุงด้วยน้ำนมปรุงด้วยเนยใสจนเต็มท้อง เห็นคูถแล้ว เคี้ยวกินไม่
ได้ ก็ไม่อาจเพื่อจะไป เมื่อเคี้ยวกินไม่ได้ ก็จะดมกลิ่นก่อนจึงไป ได้ยิน

142
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 143 (เล่ม 19)

ว่า เมื่อมันไม่ได้ดมกลิ่นไป ก็ปวดหัวฉันใด พระศาสดาก็ฉันนั้นเหมือน
กัน ทรงแสดงธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส ตั้งแต่การเสด็จออกมหา
ภิเนษกรมณ์ จนถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะ เช่นกับสุนัขเห็นข้าวปายาสที่เขา
หุงด้วยน้ำนมล้วน ส่วนสัจจกะนั้นฟังพระธรรมเทศนาเห็นปานนี้ ก็ไม่เกิดแม้
เพียงความเลื่อมใสในพระศาสดา เพราะฉะนั้น เมื่อเขาไม่ทูลถามปัญหาที่
ซ่อนไว้ในพกนำมา ก็ไม่อาจเพื่อจะไป จึงได้กล่าวอย่างนั้น. เมื่อเป็นเช่น
นั้น เพราะถีนมิทธะ ที่พระขีณาสพทั้งปวงละได้ด้วยอรหัตตมรรค. ก็ความ
กระวนกระวายทางกายย่อมมีในอุปาทินนกรูปบ้าง ในอนุปาทินนกรูปบ้าง
จริงอย่างนั้น ดอกบัวขาวเป็นต้น แย้ม ในเวลาหนึ่ง ตูม ในเวลาหนึ่ง ในเวลา
เย็นใบไม้บางอย่างหุบ ในเวลาเช้าก็บาน. อุปาทินนกรูปเท่านั้น มีความกระ
วนกระวายก็ภวังคโสตที่เป็นไปด้วยความกระวนกระวาย ท่านประสงค์ว่า
หลับในที่นี้ ภวังคโสตนั้น มีแก่พระขีณาสพ หมายเอาความหลับนั้น จึงกล่าว
คำเป็นต้นว่า อภิชานามหํ. บทว่า สมโมหวิหารสฺมึ วทนฺติ อาจารย์บาง
พวกกล่าวว่า สมฺโมหวิหาโร แปลว่าอยู่ด้วยความหลง. บทว่า อาสชฺช
อาสชฺช คือ เสียดสีๆ บทว่า อุปนีเตหิ คือที่ตนนำมากล่าว บทว่า วจนป-
เถหิ แปลว่า ถ้อยคำ. บทว่า อภินนฺทิตฺวา ความว่า ยินดีรับด้วยใจ อนุโมทนา
สรรเสริญด้วยถ้อยคำ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ๒ พระสูตรนี้ แก่
นิครนถ์นี้. พระสูตรต้นมีภาณวารเดียว พระสูตรนี้ มีภาณวารครึ่ง ถาม
ว่า นิครนถ์นี้ แม้ฟัง ๒ ภาณวาร ครึ่งแล้ว ยังไม่บรรลุธรรมาภิสมัย ยัง
ไม่บวช ยังไม่ตั้งอยู่ในสรณะ ดังนี้แล้ว เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาค
เจ้า จึงทรงแสดงธรรมแก่เขาอีก ตอบว่า เพื่อเป็นวาสนาในอนาคต. จริง
อยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่า บัดนี้อุปนิสัยของนิครนถ์นี้ ยังไม่มี แต่เมื่อ
เราปรินิพพานล่วงไปได้ ๒๐๐ ปี-เศษ ศาสนาจักประดิษฐานอยู่ตัมพปัณ-
ณิทวีป นิครนถ์นี้จักเกิดในเรือนมีสกุลในตัมพปัณณิทวีปนั้น บวชในเวลาถึง

143
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 144 (เล่ม 19)

พร้อมแล้ว เรียนพระไตรปิฎก เจริญวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตต์พร้อมด้วย
ปฏิสัมภิทา เป็นพระมหาขีณาสพ ชื่อว่า กาลพุทธรักขิต พระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงเห็นเหตุนี้ จึงทรงแสดงธรรมเพื่อเป็นวาสนาในอนาคต.
เมื่อพระศาสนาประดิษฐานในตัมพปัณณิทวีปนั้น สัจจกะแม้นั้น
เคลื่อนจากเทวโลกเกิดในสกุลแห่งอำมาตย์ สกุลหนึ่ง. ในบ้านสำหรับภิกขา
จารแห่งทักษิณาคิริวิหาร บรรพชาในเวลาเป็นหนุ่ม สามารถบรรพชา
ได้เรียนพระไตรปิฎก คือ พระพุทธพจน์ บริหารคณะหมู่ภิกษุเป็นอันมาก
แวดล้อมไปเพื่อจะเยี่ยมพระอุปัชฌาย์ ลำดับนั้น อุปัชฌาย์ของเธอคิดว่า
เราจักท้วงสัทธิวิหารริก จึงบุ้ยปากกับภิกษุนั้น ผู้เรียนพระไตรปิฎกคือพระ
พุทธพจน์มาแล้ว ไม่ได้กระทำสักว่าการพูด ภิกษุนั้นลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง
ไปสำนักพระเถระ ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อกระผมทำคันถกรรมมาสำ
นักของท่าน เพราะเหตุไร ท่านจึงบุ้ยปาก ไม่พูดด้วย กระผมมีโทษอะไร
หรือ. พระเถระกล่าวว่า ท่านพุทธรักขิต ท่านทำความสำคัญว่า ชื่อว่า
บรรพชากิจของเราถึงที่สุดแล้ว ด้วยคันถกรรมประมาณเท่านี้หรือ ท่านพุทธ
รักขิต. กระผมจะทำอะไรเล่าขอรับ. พระเถระกล่าวว่า เธอจงละคณะตัด
ปปัญจธรรมไปสู่เจติยบรรพตวิหาร กระทำสมณธรรมเถิด. ท่านตั้งอยู่ใน
โดยวาทขอพระอุปัชฌาย์กระทำอย่างนั้น จึงบรรลุพระอรหัตต์พร้อมด้วยปฏิสัม
ภิทา เป็นผู้มีบุญ พระราชาทรงบูชา มีหมู่ภิกษุเป็นอันมากเป็นบริวาร
อยู่ในเจติยบรรพตวิหาร.
ก็ในกาลนั้น พระเจ้าติสสมหาราช ทรงรักษาอุโบสถกรรม ย่อมอยู่
ในที่เร้นของพระราชา ณ เจติยบรรพต ท่านได้ให้สัญญาแก่ภิกษุผู้อุปัฏฐาก
ของพระเถระว่า เมื่อใดพระผู้เป็นเจ้าของเราจะแก้ปัญหา หรือกล่าว
ธรรม เมื่อนั้นท่านพึงให้สัญญาแก่เราด้วย. ในวันธัมมัสสวนะวันหนึ่ง แม้พระ

144
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 145 (เล่ม 19)

เถระอันหมู่ภิกษุแวดล้อม ขึ้นสู่ลานกัณฑกเจติยะ ไหว้พระเจดีย์แล้ว จึงยืนอยู่
ที่โคนต้นไม้มะพลับดำ. ครั้นนั้นพระเถระถือบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง ถามปัญ-
หากะท่านพุทธรักขิตนั้น ในกาลามสูตร. พระเถระกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ
วันนี้เป็นวันธัมมัสสวนะ มิใช่หรือ. ภิกษุนั้น เรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญวันนี้
เป็นวันธัมมัสสวนะขอรับ. พระเถระกล่าว ถ้าอย่างนั้น เธอจงนำเอาตั่ง
มา เราจักนั่งในที่นี้ แล้วจักกระทำการฟังธรรม. ลำดับนั้น พวกภิกษุจึงปูลาด
อาสนะที่โคนไม้ ถวายพระเถระนั้น. พระเถระกล่าวคาถาเบื้องต้นแล้ว
จึงเริ่มกาลามสูตร. ภิกษุหนุ่มผู้อุปัฏฐากพระเถระนั้น จึงให้สัญญาแก่พระราชา
พระราชาเสด็จไปถึง เมื่อคาถาเบื้องต้นยังไม่ทันจบ ก็ครั้นเสด็จถึงประ
ทับยืนท้ายบริษัทด้วยเพศที่ไม่มีใครรู้จักเลย ประทับยืนทรงธรรม
อยู่ตลอด ๓ ยามแล้ว ได้ประทานสาธุการในเวลาพระเถระกล่าวว่า พระผู้
มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ดังนี้. พระเถระทราบแล้ว จึงถามว่า มหา
บพิตรพระองค์เสด็จมาแต่เมื่อไร. พระราชา ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ในเวลาใกล้จะ
จบคาถาเบื้องต้นนั่นแหละ. พระเถระ. มหาบพิตร พระองค์ทรงทำกรรมที่ทำ
ได้ยาก. พระราชา ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นี้ไม่ชื่อว่ากระทำสิ่งที่ทำได้ยาก
ความที่ข้าพเจ้าไม่ส่งใจไปในที่อื่น แม้ในบทหนึ่งตั้งแต่ที่พระผู้เป็นเจ้าเริ่ม
ธรรมกถา ได้ทำปฏิญาณว่า ชื่อว่า ความเป็นเจ้าของของเราจงอย่ามี แก่
ตัมพปัณณิทวีปในที่แม้เพียงจะทิ่มด้วยไม้ปฏัก ดังนี้.
ก็ในพระสูตรนี้ พระกาลพุทธรักขิต ได้แสดงพระพุทธคุณทั้ง
หลาย เพราะฉะนั้น พระราชาตรัสถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระพุทธคุณ
มีประมาณเท่านี้หรือ หรือว่า อย่างอื่นยังมีอยู่อีก. พระเถระ.
มหาบพิตร พระพุทธคุณที่ยังไม่ได้กล่าวมีมากว่าที่อาตมากล่าวประมาณมิ
ได้. พระราชา. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอจงอุปมา. พระเถระ. มหาบพิตร ข้าว

145
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 146 (เล่ม 19)

สาลีที่ยังเหลือมีมากกว่ารวงข้าวสาลีรวงเดียว ในนาข้าวสาลี ประมาณพัน
กรีส ฉันใด พระคุณที่อาตมากล่าวแล้ว น้อยนัก ที่เหลือมีมากฉันนั้น พระราชา.
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอจงทำอุปมาอีก. พระเถระ. มหาบพิตร มหาคงคา
เต็มด้วยห้วงน้ำ บุคคลพึงเทใส่ในรูเข็ม น้ำที่เข้าไปในรูเข็มมีน้อย น้ำที่
เหลือมีมาก ฉันใด พระคุณที่อาตมากล่าวแล้วน้อย ที่เหลือมากฉันนั้น.
พระราชา. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ จงทำอุปมาอีก. พระเถระ. มหาบพิตร ธรรมดา
ว่านกเล่นลมเที่ยวบินเล่นในอากาศในโลกนี้ สกุณชาติตัวเล็ก ๆ สถาน
มีปรบปีกของนกนั้น ในอากาศมีมาก หรืออากาศที่เหลือมีมาก. พระราชา.
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านกล่าวอะไร โอกาสเป็นที่ปรบปีกของนกนั้น
น้อย ที่เหลือมีมาก พระเถระ. มหาบพิตรอย่างนั้นแหละ พระพุทธคุณที่
อาตมากล่าวแล้วน้อย ที่เหลือมากไม่มีที่สุด ประมาณไม่ได้. พระราชา
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านกล่าวดีแล้ว พระพุทธคุณ ไม่มีที่สุด ท่านอุปมาด้วย
อากาศไม่มีที่สุดนั่นแหละ พวกข้าพเจ้าเลื่อมใส แต่ไม่อาจทำสักการะอันสม
ควรแก่พระผู้เป็นเจ้าได้. ข้าพเจ้าขอถวายราชสมบัติประกอบด้วยร้อยโยชน์
ในตัมพปัณณิทวีปนี้ แก่พระผู้เป็นเจ้า นี้เป็นทุคตบรรณาการของ
ข้าพเจ้า พระเถระ. มหาบพิตร บรรณาการอันมหาบพิตรทรงเลื่อมใส กระทำ
แล้ว อาตมาขอถวายราชสมบัติที่ทรงถวายแก่อาตมาคืนแก่มหาบพิตร
ทั้งหมด ขอมหาบพิตรจงทรงปกครองแว่นแคว้นโดยธรรม โดยสม่ำเสมอเถิด
ดังนี้แล.
จบอรรถกถามหาสัจจกสูตรที่ ๖

146
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 147 (เล่ม 19)

๗. จูฬตัณหาสังขยสูตร
[๔๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ประทับอยู่ที่ปราสาทแห่งมิคารมารดา
ในวิหารบุพพารามใกล้นคราวัตถี ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ เข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง
หนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กล่าวโดยย่อด้วยข้อปฏิบัติ
เพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำ
เร็จล่วงส่วน มีความปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็น
พรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์
ทั้งหลาย.
[๔๓๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนจอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัย
นี้ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถ้าข้อนี้ ภิกษุได้สดับแล้ว ภิกษุนั้น
ย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่ง ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วย
ปัญญาอันยิ่งแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง
แล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็
ดี เธอย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็น
ความดับ พิจารณาเห็นความสละคืนในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็น
ดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งอะไรๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาด
หวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว และทราบชัด
ว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ
ความเป็นอย่างนี้มิได้มีดังนี้ ดูก่อนจอมเทพ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเท่านั้น
แล ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วง

147
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 148 (เล่ม 19)

ส่วนมีความปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารี
ล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณและหายไปในที่นั้น
นั่นเอง.
ท้าวสักกะเข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะ
[๔๓๕] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า มีความดำริว่า ท้าวสักกะนั้นทราบความพระภาษิตของพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า แล้วจึงยินดี หรือว่าไม่ทราบก็ยินดี ถ้ากระไรเราพึงรู้เรื่องท้าวสักกะ
ทราบความพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจึงยินดี หรือว่าไม่ทราบ
แล้วก็ยินดี ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้หายไปในปราสาทของ
มิคารมารดา ในวิหารบุพพารามปรากฏในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประ
หนึ่ง บุรุษที่มีกำลังเหยียดแขนที่งอออกไป หรืองอแขนที่เหยียดเข้ามา
ฉะนั้น สมัยนั้นท้าวสักกะจอมเทพ กำลังอิ่มเอิบ พร้อมพรั่งบำเรออยู่ด้วย
ทิพยดนตรีห้าร้อยในสวนดอกบุณฑริกล้วน ท้าวเธอได้เห็นท่านพระมหา
โมคคัลลานะมาอยู่แต่ไกล จึงให้หยุดเสียงทิพยดนตรีห้าร้อยไว้ เสด็จเข้าไปหา
แล้วรับสั่งว่า นิมนต์มาเถิด ท่านมาดีแล้ว นานแล้วท่านได้ทำปริยายเพื่อจะมา
ในที่นี้ นิมนต์นั่งเถิด อาสนะนี้แต่งตั้งไว้แล้ว. ส่วนท้าวสักกะจอมเทพ
ก็ถืออาสนะต่ำแห่งหนึ่ง นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
[๔๓๖] ท่านพระโมคคัลลานะได้ถามท้าวสักกะผู้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่งว่า ดูก่อนท้าวโกสีย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึงความน้อมไปใน

148
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 149 (เล่ม 19)

ธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหาโดยย่อแก่ท่านอย่างไร ขอโอกาสเถิด แม้
ข้าพเจ้า จักขอมีส่วนเพื่อจักฟังกถานั้น.
ท้าวสักกะตรัสว่า ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะ ข้าพเจ้ามีกิจมาก มีธุระที่
จะต้องทำมาก ทั้งธุระส่วนตัว ทั้งธุระของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ พระภาษิต
ใดที่ข้าพเจ้าฟังแล้วลืมเสียเร็วพลัน พระภาษิตนั้น ท่านฟังดี เรียนดี ทำไว้ใน
ใจดี ทรงไว้ดีแล้ว ข้าแต่พระโมคคัลลานะ เรื่องเคยมีมาแล้ว สงครามระหว่าง
เทวดาและอสูรได้ประชิดกันแล้ว ในสงครามนั้น พวกเทวดาชนะพวกอสูร
แพ้ ข้าพเจ้าชนะเทวาสุรสงครามเสร็จสิ้นแล้ว กลับจากสงครามนั้น
แล้ว ให้สร้างเวชยันตปราสาท เวชยันตปราสาทมีร้อยชั้น ในชั้นหนึ่ง ๆ
มีกูฏาคารเจ็ดร้อย ๆ ในกูฏาคารแห่งหนึ่งๆ มีนางอัปสรเจ็ดร้อยๆ นางอัปสรผู้
หนึ่งๆ มีเทพธิดาผู้บำเรอเจ็ดร้อย ๆ ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะ ท่าน
ปรารถนาเพื่อจะชมสถานที่น่ารื่นรมย์ แห่งเวชยันตปราสาทหรือไม่.
ท่านมหาโมคคัลลานะรับด้วยดุษฏีภาพ.
[๔๓๗] ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ และท้าวเวสวัณมหาราช นิมนต์
ท่านมหาโมคคัลลานะออกหน้าแล้ว ก็เข้าไปยังเวชยันตปราสาท พวก
เทพธิดาผู้บำเรอของท้าวสักกะ เห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะมาอยู่แต่ที่
ไกล เกรงกลัวละอายอยู่ ก็เข้าสู่ห้องเล็ก ของตนๆ คล้ายกะว่าหญิงสะใภ้เห็น
พ่อผัวเข้าก็เกรงกลัวละอายอยู่ ฉะนั้น ครั้นนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ และท้าว
เวสวัณมหาราช เมื่อให้ท่านมหาโมคคัลลานะเที่ยวเดินไปใน
เวชยันตปราสาทได้ตรัสว่า ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะ ขอท่านจงดูสถานที่
น่ารื่นรมย์แห่งเวชยันตปราสาทแม้นี้ ขอท่านจงดูสถานที่น่ารื่นรมย์แห่ง
เวชยันตปราสาทแม้นี้.

149
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 150 (เล่ม 19)

ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า สถานที่น่ารื่นรมย์ของท่านท้าว
โกสีย์นี้ย่อมงดงามเหมือนสถานที่ของผู้ที่ได้ทำบุญไว้ในปางก่อน แม้มนุษย์
ทั้งหลายเห็นสถานที่น่ารื่นรมย์ไหนๆ เข้าแล้วก็กล่าวกันว่างามจริง ดุจสถาน
ที่น่ารื่นรมย์ของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์.
ในขณะนั้น ท่านมหาโมคคัลลานะ มีความดำริว่า ท้าวสักกะนี้
เป็นผู้ประมาทอยู่มากนัก ถ้ากระไร เราพึงให้ท้าวสักกะนี้สังเวชเถิด จึง
บันดาลอิทธาภิสังขาร เอาหัวแม่เท้ากดเวชยันตปราสาทเขย่าให้สั่นสะท้านหวั่น
ไหว ทันใดนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ ท้าวเวสวัณมหาราช และพวกเทวดาชั้น
ดาวดึงส์ มีความประหลาดอัศจรรย์จิต กล่าวกันว่า ท่านผู้เจริญทั้ง
หลาย นี่เป็นความประหลาดอัศจรรย์ พระสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุ
ภาพมาก เอาหัวแม่เท้ากดทิพยพิภพ เขย่าให้สั่นสะท้านหวั่นไหวได้.
วิมุตติกถา
[๔๓๘] ครั้นนั้น ท่านมหาโมคคัลลานะทราบว่า ท้าวสักกะจอม
เทพมีความสลดจิตขนลุกแล้ว จึงถามว่า ดูก่อนท้าวโกสีย์ พระผู้มีพระภาค
เจ้า ได้ตรัสความพ้นเพราะสิ้นแห่งตัณหาโดยย่นย่ออย่างไร ขอโอกาส
เถิด แม้ข้าพเจ้าจักขอมีส่วนเพื่อจะฟังกถานั้น.
ท้าวสักกะจึงตรัสว่า ข้าแต่ท่านพระมหาโมคคัลลานะผู้นฤทุกข์
ข้าพเจ้าจะเล่าถวาย ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้ว
จึงได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วใน
ความพ้นเพราะสิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วนมีความปลอดโปร่งจาก
กิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วง

150
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 151 (เล่ม 19)

ส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าทูลถามอย่าง
นี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนจอมเทพภิกษุในธรรมวินัยนี้
ได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถ้าข้อนั้นภิกษุได้สดับแล้ว ภิกษุนั้น
ย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่ง ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วย
ปัญญา อันยิ่งแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงดัง
นั้นแล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่
สุขก็ดี เธอย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณา
เห็นความดับ พิจารณาเห็นความสละคืนในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณา
เห็นดังนั้น ก็ไม่ยึดมั่นสิ่งอะไร ๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาด
หวั่น เมื่อไม่สุดสะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว และทราบชัด
ว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ
ความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้ ดูก่อนจอมเทพ กล่าวโดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียง
เท่านี้แล ภิกษุชื่อว่า พ้นแล้วเพราะความสิ้นแห่งตัณหามีความสำเร็จล่วง
ส่วน มีความปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารี
ล่วงส่วนมีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ข้าแต่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสความพ้นเพราะ
ความสิ้นแห่งตัณหาโดยย่อแก่ข้าพเจ้าอย่างนี้แล.
ครั้นนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ชื่นชมยินดีภาษิตของท้าว
สักกะ แล้วได้หายไปในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ มาปรากฏที่ปราสาทของ
มิคารมารดา ในวิหารบุพพาราม ประหนึ่งว่าบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขน
ที่ออกไป หรืองอแขนที่เหยียดเข้ามา ฉะนั้น.
ครั้งนั้น พวกเทพธิดาผู้บำเรอของท้าวสักกะจอมเทพ เมื่อท่านพระ
มหาโมคคัลลานะหลีกไปแล้วไม่นาน ได้ทูลถามท้าวสักกะว่า ข้าแต่พระองค์

151