พระตถาคตจึงมิได้แสดงธรรมแก่บุคคลผู้เดียว ทรงแสดงธรรมแก่บุคคลผู้
รู้ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยบทว่า ตสฺมึ เยว
ปุริมสฺมึ นี้ ไว้อย่างไร ได้ยินว่า สัจจกนิครนถ์ คิดว่า พระสมณโคดม มีพระ
รูปงาม น่ารัก พระทนต์เรียบสนิท พระชิวหาอ่อน การสนทนาก็ไพเราะเห็น
จะเที่ยวยังบริษัทให้ยินดี. ส่วนเอกัคคตาจิตของพระสมณโคดมนั้น ไม่มี
แก่พระองค์ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้ เพื่อทรงแสดง
ว่า ดูก่อน อัคคิเวสสนะ พระตถาคตเที่ยวยังบริษัทให้ยินดี พระตถาคตทรง
แสดงธรรมแก่บริษัททั่วจักรวาล พระตถาคตมีพระทัยไม่หดหู่ ไม่แปด
เปื้อน ประกอบเนืองๆ ซึ่งผลสมาบัติเป็นสุญญตะ ซึ่งเป็นธรรมเครื่องอยู่
อย่างหนึ่ง ประมาณเท่านี้ดังนี้. บทว่า อชฺฌตฺตํ ได้แก่ อารมณ์ อันเป็นภายใน
เท่านั้น บทว่า สนฺนิสีทามิ คือยังจิตให้สงบ. จริงอยู่ในขณะใด บริษัทย่อมให้
สาธุการ ในขณะนั้น พระตถาคตทรงกำหนดส่วนเบื้องต้น ทรงเข้าผลสมา
บัติ เมื่อเสียงกึกก้องแห่งสาธุการยังไม่ขาด ออกจากสมาบัติแสดงธรรม
อยู่ ตั้งแต่ที่พระองค์ทรงตั้งไว้แล้ว. ด้วยว่าการอยู่ในภวังค์ของพระพุทธเจ้าทั้ง
หลายย่อมเป็นไปเร็วพลัน ย่อมเข้าผลสมาบัติได้ในคราวหายใจเข้า ในคราว
หายใจออก. บทว่า เยน สุทํ นิจฺจกปฺปํ ความว่า เราอยู่ด้วยผลสมาธิ อันเป็น
สุญญตะได้ตลอดกาลเป็นนิตย์ คือแสดงว่า เราประคองจิตตั้งมั่นในสมาธิ
นิมิตนั้น.บทว่า โอกปฺปนิยเมตํ นั้น เป็นที่ตั้งแห่งความเชื่อ.
สัจจกะนั้น รับว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้มีเอกัคคตาจิต บัดนี้
เมื่อจะนำปัญหาที่ตนซ่อนไว้ในพก มาทูลถาม จึงกล่าวว่า อภิชานาติ
ปน ภวํ โคตโม ทิวา สุปิตา. เหมือนอย่างว่า ขึ้นชื่อว่า สุนัขแม้กินอาหาร
ข้าวปายาสที่หุงด้วยน้ำนมปรุงด้วยเนยใสจนเต็มท้อง เห็นคูถแล้ว เคี้ยวกินไม่
ได้ ก็ไม่อาจเพื่อจะไป เมื่อเคี้ยวกินไม่ได้ ก็จะดมกลิ่นก่อนจึงไป ได้ยิน