No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 112 (เล่ม 19)

เธอนั้นดับไป, เพราะสุขเวทนาดับไป ทุกขเวทนาย่อมเกิดขึ้น เธอถูกทุกขเวทนา
ถูกต้อง ไม่เศร้าใจ ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร ไม่คร่ำครวญทุบอก ไม่ถึงความ
หลงใหลไป. อัคคิเวสสนะ สุขเวทนานั้น แม้เกิดขึ้นแล้ว แก่เธอ ก็ไม่ครอบงำ
จิตตั้งอยู่ได้เพราะความที่กายเป็นของที่เธอได้เจริญไว้, ทุกขเวทนา แม้เกิด
ขึ้นแล้ว ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ได้ เพราะความที่จิตเป็นของที่เธอได้เจริญ
ไว้. อัคคิเวสสนะ สุขเวทนาแม้เกิดขึ้นแล้ว เป็นสองฝ่ายแก่ใครๆ อย่างนี้
ก็ไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ได้ เพราะความที่กายเป็นของที่ตนได้เจริญไว้. ทุกข
เวทนาแม้เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่ครอบงำตั้งอยู่ได้ เพราะความที่จิตเป็นของที่ตนได้
เจริญ. อัคคิเวสสนะ อย่างนี้แล ชื่อว่าเป็นผู้มีกายอันเจริญแล้วด้วย ชื่อว่าเป็น
ผู้มีจิตอันเจริญแล้วด้วย.
ส. ข้าพเจ้าได้เลื่อมใสต่อพระโคดมอย่างนี้ว่า อันที่จริง พระ
โคดม ได้เป็นผู้มีกายอันเจริญแล้วด้วย เป็นผู้มีจิตอันเจริญแล้วด้วย.
ทรงชี้แจงเรื่องเวทนา
[๔๑๐] พ. อัคคิเวสสนะ วาจานี้ ท่านนำเข้ามาพูดกระทบอย่างแน่
แท้ ก็แต่ว่า เราจักพยากรณ์แก่ท่าน, อัคคิเวสสนะ เมื่อใดแล เราได้ปลงผม
แลหนวดครองกาสาวพัสตร์ออกจากเรือน บวช สุขเวทนาที่เกิดขึ้นแล้ว
จักครอบงำจิตของเราตั้งอยู่หรือ หรือทุกขเวทนา ที่เกิดขึ้นแล้วจักครอบงำจิต
ของเราอยู่หนอ ดังนี้ นี่มิใช่ฐานะอันจะมีได้.
ส. สุขเวทนาเห็นปานใด ที่เกิดขึ้นแล้ว พึงครอบงำจิตตั้งอยู่, สุขเวทนา
เห็นปานนั้น จะไม่เกิดขึ้นแก่พระโคดมเลยเป็นแน่, ทุกขเวทนาเห็นปาน
ใด ที่เกิดขึ้นแล้ว พึงครอบงำจิตตั้งอยู่, ทุกขเวทนา เห็นปานนั้น จะไม่บังเกิด
ขึ้นแก่พระโคดมเลยเป็นแน่.

112
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 113 (เล่ม 19)

[๔๑๑] พ. อัคคิเวสสนะ ทำไมจะไม่พึงมีเล่า, อัคคิเวสสนะ ในโลก
นี้ ก่อนแต่ตรัสรู้เทียว เมื่อเรายังมิได้ตรัสรู้ ยังเป็นโพธิสัตว์อยู่ทีเดียว ความ
ปริวิตกเรื่องนี้ได้มีแก่เราว่า ฆราวาสเป็นที่คับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี
เครื่องหมองใจ ส่วนบรรพชาเป็นโอกาสอันแจ้ง การที่ผู้อยู่ครองเรือน
ประพฤติพรหมจรรย์ ให้เต็มที่ส่วนเดียว บริสุทธิ์ส่วนเดียว ดังสังข์ที่ขัดแล้ว
นี้ จะทำได้มิใช่ง่าย. ถ้ากระไร เราพึงปลงผมแลหนวด ครองผ้ากาสาวพัสตร์
ออกจากเรือน บวช อัคคิเวสสนะ โดยสมัยอื่น เรากำลังหนุ่ม เกสายังดำ
สนิท ยังบริบูรณ์พร้อมด้วยเยาว์ เครื่องเจริญชั้นปฐมวัยอยู่ทีเดียว เมื่อมารดา
บิดาไม่ประสงค์จะให้บวช พากันร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ เราได้ปลงผม
แลหนวดครองผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากเรือนบวชแล้ว เราบวชแล้ว แสวงอยู่
แต่ว่าสิ่งไรเป็นกุศล ค้นหาทางสงบอันประเสริฐที่ไม่มีสิ่งไรยิ่งกว่า คือพระ
นิพพาน, ได้เข้าไปหาอาฬารดาบส กาลามโคตร จึงได้กล่าวข้อประสงค์อัน
นี้กะอาฬารดาบส กาลามโคตรว่า ท่านกาลามะ เราปรารถนาประพฤติ
พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนี้ด้วย. อัคคิเวสสนะ ครั้นเรากล่าวอย่างนั้นแล้ว
อาฬารดาบส กาลามโคตร ได้กล่าวตอบเราว่า เชิญอยู่เถิดท่าน ถ้า
เป็นบุรุษผู้รู้แจ้งธรรมนี้เป็นเช่นท่าน ไม่ช้าเลย พึงทำให้แจ้งด้วยปัญญา
อันยิ่งของตน เข้าไปหาอาจารย์ของตนแล้วแลอยู่ได้ อัคคิเวสสนะ เรา
นั้น ได้เล่าเรียนธรรมนั้นได้ฉับไวแท้ ไม่นานเลย. อัคคิเวสสนะ เรานั้น
แล กล่าวญาณวาทะ แลเถรวาทะ ด้วยอาการเผยริมฝีปากพูดเท่านั้น
อนึ่ง เราย่อมปฏิญญาได้ว่า เรารู้เราเห็น ดังนี้, ใช่แต่เราผู้เดียว ถึงพวก
อื่น ก็กล่าวแลปฏิญญาได้เหมือนกัน. อัคคิเวสสนะ ปริวิตกได้มีแก่เรา
ว่า อาฬารดาบส กาลามโคตร ไม่ประกาศธรรมนี้เพียงศรัทธาอย่างเดียว
ว่า เรากระทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งของตนเข้าถึงอยู่ อาฬารดาบส
กาลามโคตร คงรู้เห็นอยู่ แต่เพียงธรรมนี้เท่านั้นเป็นแน่ อัคคิเวสสนะ เราตก

113
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 114 (เล่ม 19)

อยู่ ณ ระหว่างปริวิตกฉะนี้ จึงได้เข้าไปหา อาฬารดาบส กาลามโคตร,
จึงได้กล่าวคำนี้กะอาฬารดาบส กาลามโคตรว่า ท่านกาลามะ ท่านได้รู้
แจ้ง จนถึงที่เองแล้วแลบอกให้รู้ได้แต่ธรรมนี้ เพียงเท่านี้ดอกหรือ
อัคคิเวสสนะ ครั้นเรากล่าวอย่างนี้แล้ว อาฬารดาบส กาลามโคตร จึงได้บอก
ให้รู้ถึง อากิญจัญญายตนะ ความปริวิตกได้มีแก่เราอีกว่า "ศรัทธา จะได้มี
แต่ของอาฬารดาบส กาลามโคตร ผู้เดียวหามิได้, ถึงศรัทธาของเราก็มี,
วิริยะ...สติ...สมาธิ... ปัญญา จะได้มีแต่ของอาฬารดาบส กาลามโคตร ผู้
เดียวหามิได้, ถึงวิริยะ...ถึงสติ...ถึงสมาธิ...ถึงปัญญา ของเราก็มีอยู่.
ถ้ากระไร เราต้องตั้งความเพียร เพื่อจะทำให้แจ้ง เรื่องธรรมที่อาฬาร
ดาบส กาลามโคตร ปฏิญญาว่า เราได้รู้ แจ้ง เข้าถึงที่เองแล้วแล
อยู่ เสียให้ได้ อัคคิเวสสนะ เราครั้งนั้นก็ได้รู้ แจ้ง เข้าถึงที่ได้เอง
แล้วแลอยู่ ฉับไวแท้ ไม่นานเลย อัคคิเวสสนะ ครั้นแล้วเราได้เข้าไปหา
อาฬารดาบส กาลามโคตร ได้กล่าวคำนี้กะอาฬารดาบส กาลามโคตร
ว่า ท่านกาลามะ ท่านได้รู้ แจ้ง เข้าถึงที่ธรรมนี้เองแล้วแล บอกให้
รู้ทั่วถึงได้เพียงเท่านี้ดอกหรือ.
อา. เพียงเท่านี้แล เราได้รู้ แจ้ง เข้าไปถึงที่ ธรรมนี้เองแล้ว
แล บอกให้รู้ทั่วถึงได้. แม้เราก็ได้รู้ แจ้ง เข้าถึงที่ธรรมนี้เองแล้ว
แล อยู่ได้เพียงเท่านี้เหมือนกัน.
พ. เป็นลาภของเราแล้ว เราได้ดีแล้ว มิเสียแรงเราได้เห็นท่านซึ่งเป็น
เพื่อนประพฤติพรหมจรรย์เช่นท่าน. เรารู้ แจ้ง เข้าถึงที่ธรรมใด
เองแล้วแล ประกาศให้รู้ทั่วไป, ท่านก็มารู้ แจ้ง เข้าถึงที่ธรรมนั้น
เองแล้วแลอยู่, เราก็รู้ แจ้ง เข้าถึงที่ธรรมนั้นเองแล้วแลประกาศให้
รู้ทั่วไปอย่างนี้. เรารู้ธรรมใดนั้น ท่านก็รู้ธรรมนั้น ท่านรู้ธรรมใด เราก็รู้

114
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 115 (เล่ม 19)

ธรรมนั้นอย่างนี้. เราเช่นใดท่านก็เช่นนั้น ท่านเช่นใด เราก็เช่นนั้น อย่าง
นี้. มาเถิดท่าน เราทั้งสองอยู่ปกครองคณะนี้ด้วยกัน. อัคคิเวสสนะ อาฬาร
ดาบส กาลามโคตร เมื่อเป็นอาจารย์เรา ตั้งเราเป็นศิษย์ให้เสมอกับ
ตน ยังให้บูชาเราด้วยการบูชาที่ยิ่ง ดังนี้. อัคคิเวสสนะ เราได้ปริวิตกต่อ
ไปว่า ธรรมนี้ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อ
ดับ เพื่อสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เป็นไปเพื่อเพียงอุปบัติ
แห่งอากิญจัญญายตนะ เท่านั้นเอง. อัคคิเวสสนะ เราไม่พอใจธรรมนั้น
เบื่อจากธรรมนั้นหลีกไปเสีย.
[๔๑๒] อัคคิเวสสนะ ครั้นเราหลีกไปจากสำนักอาฬารดาบสกาลาม
โคตรแล้ว เป็นผู้แสวงหาอยู่ว่าสิ่งไรเป็นกุศล ค้นหาทางสงบอันประเสริฐ ไม่
มีสิ่งไรยิ่งกว่า ได้เข้าไปหา อุททกดาบสรามบุตร ได้กล่าวกะอุททกดาบส
รามบุตรว่า ท่านรามะ เราปรารถนาจะประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัย
นี้ด้วย อัคคิเวสสนะ ครั้นเรากล่าวอย่างนี้แล้ว อุททกดาบส รามบุตร
จึงกล่าวกะเราว่า เชิญอยู่เถิดท่านถ้าเป็นบุรุษรู้แจ้งในธรรมเช่นท่านไม่นาน
เลย คงรู้จริงแจ้งกะจิต เข้าไปหาอาจารย์ของตนแล้วแลอยู่ได้ อัคคิเวส
สนะ เรานั้น ได้เล่าเรียนธรรมนั้นได้ฉับไวแท้ไม่นานเลย. อัคคิเวสสนะ
เรานั้นแล กล่าวญาณวาทะ แลเถรวาทะด้วยอาการเผยริมฝีปากพูดเท่า
นั้น. อนึ่งเราปฏิญญาได้ว่า เรารู้ เราเห็น ดังนี้ ใช่แต่เราผู้เดียว ถึงพวกอื่น
ก็กล่าวแลปฏิญญาได้เหมือนกัน อัคคิเวสสนะ ความปริวิตกได้มีแก่เรา
ว่า อุททกดาบส รามบุตร ไม่ประกาศธรรมนี้เพียงศรัทธาว่า เรา
รู้ แจ้ง เข้าถึงที่เองแล้วแลอยู่" อุทกกกดาบส รามบุตร คงรู้เห็นอยู่แต่
เพียงธรรมนี้เท่านั้นเป็นแน่. อัคคิเวสสนะ เราจึงได้เข้าไปหาอุททก
ดาบส รามบุตร ได้กล่าวคำนี้กะอุททกดาบส รามบุตรว่า ท่านรามะ

115
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 116 (เล่ม 19)

ท่านได้รู้ แจ้ง เข้าถึงที่เองแล้วแลบอกให้รู้ได้แต่ธรรมนี้ เพียงเท่า
นี้ดอกหรือ อัคคิเวสสนะ ครั้นเรากล่าวอย่างนี้แล้ว อุททกดาบส ราม
บุตร จึงได้บอกถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ อัคคิเวสสนะ ครั้นเรารู้ดัง
นั้น จงเกิดปริวิตกอีกว่า ศรัทธา จะได้มีแต่ของท่านรามะผู้เดียวก็หา
ไม่ ถึงศรัทธาของเราก็มี วิริยะ...สติ...สมาธิ... ปัญญาจะได้มีแต่ของท่าน
รามะผู้เดียว ก็หาไม่ ถึงวิริยะ...ถึงสติ...ถึงสมาธิ...ถึงปัญญาของเราก็มี
อยู่ ถ้ากระไรเราต้องตั้งความเพียร เพื่อจะการทำให้แจ้ง เรื่องธรรมที่
ท่านรามะปฏิญญาว่า เรารู้จริง แจ้งกะจิต เข้าถึงที่เองแล้วแลอยู่" ดังนี้นั้น
เสียให้ได้ อัคคิเวสสนะ เรานั้นก็ได้รู้จริงแจ้ง เข้าถึงที่ธรรมนั้นเองแล้ว
แล อยู่ฉับไวแท้ ไม่นานเลย. ครั้นแล้ว เราได้เข้าไปหาอุททกดาบส ราม
บุตร ได้กล่าวคำนี้กะอุททกดาบส รามบุตรว่า ท่านรามะ ท่านได้รู้จริงแจ้ง
กะจิต เข้าถึงที่ธรรมนี้เองแล้วแลประกาศให้รู้ทั่วไปได้ เพียงเท่านี้ดอกหรือ".
อุ. เพียงเท่านี้นั้นแล เราได้รู้จริง แจ้งกะจิต เข้าถึงที่ธรรมนี้เองแล้ว
แลประกาศให้รู้ทั่วไป แม้เราก็ได้รู้จริง แจ้งกะจิต เข้าถึงที่ธรรมนี้เองแล้วแล
อยู่ ได้เพียงนี้เท่านั้นเหมือนกัน.
พ. เป็นลาภของเราแล้ว เราได้ดีแล้ว มิเสียแรงเราได้เห็นท่านผู้เป็น
เพื่อนประพฤติพรหมจรรย์เช่นท่าน รามะได้รู้จริง แจ้งกะจิต เข้าถึงที่ธรรม
ใดเองแล้วแลประกาศให้รู้ทั่วไป, ท่านก็มารู้จริง แจ้งกะจิต เข้าถึงธรรมใด
เองแล้วแลอยู่ รามะก็ได้รู้จริง แจ้งกะจิต เข้าถึงธรรมนั้นเองแล้วแลประกาศ
ให้รู้ทั่วไป อย่างนี้. รามะได้รู้ธรรมใด ท่านก็รู้ธรรมนั้น อย่างนี้, ท่านได้รู้
ธรรมใด รามะก็ได้รู้ธรรมนั้น รามะได้เป็นเช่นใด ท่านก็ได้เป็นเช่นนั้น
ท่านเป็นเช่นใด รามะก็ได้เป็นเช่นนั้นดังนี้. มาเถิดท่าน เราทั้งสองอยู่ปก
ครองคณะนี้กันเถิด อัคคิเวสสนะ อุททกดาบส รามบุตร เมื่อเป็นพรหมจารี
ของเรา ได้ตั้งเราในฐานะเป็นอาจารย์ ยังให้บูชาเรา ด้วยการบูชาที่ยิ่ง

116
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 117 (เล่ม 19)

อย่างนี้. อัคคิเวสสนะ ความปริวิตกได้มีแก่เราต่อไปว่า ธรรมนี้ ย่อมไม่
เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบ เพื่อรู้ยิ่ง
เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน เป็นไปเพียงอุปบัติแห่งเนวสัญญานาสัญญายตนะเท่า
นั้นเอง. อัคคิเวสสนะ เราไม่พอใจธรรมนั้น เบื่อจากธรรมนั้นหลีกไป
เสีย.
[๔๑๓] อัคคิเวสสนะ ครั้นเราหลีกไปจากสำนักอุททกดาบสราม
บุตรแล้ว เป็นผู้แสวงหาอยู่ว่าสิ่งไรเป็นกุศล ค้นหาส่วนที่เป็นสิ่งประเสริฐ
ที่ไม่มีสิ่งไรยิ่งกว่า เมื่อเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ในมคธชนบททั้งหลาย
ได้อยู่ที่อุรุเวลาประเทศเสนานิคม ได้เห็นพื้นที่ราบรื่น แนวป่าเขียวเป็น
ทิว เป็นที่โปร่งใจ, แม่น้ำกำลังไหล สีขาวจืดสนิทมีท่าอันดี น่ารื่นรมย์
บ้านโคจรคามตั้งอยู่รอบ. อัคคิเวสสนะ ความปริวิตกได้มีแก่เราว่า
" ภูมิประเทศนี้ ราบรื่นจริงหนอ แนวป่าเขียวเป็นทิว เป็นที่โปร่งใจ
แม่น้ำกำลังไหล สีขาวจืดสนิทมีท่าอันดี เป็นที่รื่นรมย์ บ้านโคจรคามก็ตั้ง
อยู่รอบ. ที่อันนี้สมควรเพื่อจะเป็นที่ตั้งความเพียรของกุลบุตรผู้ตั้งความ
เพียรได้" อัคคิเวสสนะ เราครั้งนั้น ได้หยุดพักอยู่ที่นั้น ด้วยคิดเห็นว่า
" ที่นี้พอแล้วเพื่อจะตั้งความเพียร
อุปมา ๓ ข้อ
[๔๑๔] อัคคิเวสสนะ ที่ตรงนี้มีเรื่องอุปมา ๓ ข้อ ไม่น่าอัศจรรย์เราไม่
เคยได้ฟังมาแต่กาลก่อนได้แจ่มแจ้งกะเราแล้ว. อัคคิเวสสนะ เหมือนหนึ่ง
ว่า ไม้สดชุ่มอยู่ด้วยยาง บุคคลตัดแช่น้ำไว้, ยังมีบุรุษหนึ่ง พึงมาเอาไปทำ
เป็นไม้สีไฟ ด้วยคิดว่า เราจักสีให้ไฟเกิด ทำเตโชธาตุให้ปรากฏ ดังนี้
ฉันใด. อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความที่ว่านั้นเป็นไฉน. บุรุษนั้นเมื่อถือเอา
ไม่สดชุ่มอยู่ด้วยยางที่บุคคลตัดแช่น้ำไว้โน้น ทำเป็นไม้สีไฟ สีอยู่ จะพึงให้
เกิดไฟ ทำเตโชธาตุให้ปรากฏขึ้นได้บ้างหรือ.

117
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 118 (เล่ม 19)

ส. ไม่ได้เลยข้อนี้ พระโคดม. ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุอะไร พระ
โคดม เพราะว่า โน้นก็เป็นไม้สดชุ่มอยู่ด้วยยาง มิหนำแช่น้ำไว้อีก, บุรุษนั้นมิ
ใยสีไป ก็จะมีแต่ส่วนเหนื่อยกาย คับใจเท่านั้นเอง.
พ. อัคคิเวสสนะ อุปมัยก็อย่างสมณะหรือพราหมณ์ พวกใดพวก
หนึ่ง แต่เพียงกายก็ยังหลีกออกจากกาม (คือวัตถุที่น่ารักใคร่) ทั้งหลายไปไม่
ได้แล้วแลอยู่ บรรดากิเลสทั้งหลาย อันมีกามเป็นที่ตั้ง ความพอใจใน
กาม ความเยื่อใยในกาม ความหมกมุ่นในกาม ความกระหายในกาม ความ
กระวนกระวายในกาม ส่วนใดของสมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ส่วน
นั้น ยังไม่ได้ละเสียด้วยดี ยังไม่ได้ระงับซ้ำเสียด้วยดี ณ ภายใน. ถึงหากว่า
ท่านสมณะและพราหมณ์เหล่านั้น จะได้เสวยหรือมิได้เสวย ซึ่งทุกขเวทนา
ที่กล้าแข็ง เผ็ดร้อน อันเกิดเพราะความเพียรก็ดี ก็ไม่ควรเพื่อจะให้เกิดญาณ
ทัสสนะ คือ ปัญญาตรัสรู้อันยอดเยี่ยมขึ้นไปเลย ฉะนั้น. อัคคิเวสสนะ นี้เป็น
อุปมาข้อแรกที่ไม่น่าอัศจรรย์ เราไม่เคยได้ฟังมาแต่กาลก่อน ได้แจ่มแจ้งกะ
เราแล้ว.
[๔๑๕] อัคคิเวสสนะ ยังอุปมาอื่นอีกเป็นข้อที่สอง ไม่น่าอัศจรรย์ เรา
ไม่เคยได้ฟังมาแต่กาลก่อน ได้แจ่มแจ้งกะเราแล้ว. อัคคิเวสสนะ เหมือน
หนึ่ง ว่า ไม้สดชุ่มอยู่ด้วยยาง บุคคลตัดไว้บนบกไกลน้ำ ยังมีบุรุษคน
หนึ่ง พึงเอาไปทำเป็นไม้สีไฟสีอยู่ ด้วยคิดว่า เราจักสีให้เกิดไฟทำ
เตโชธาตุให้ปรากฏ ดังนี้ฉันใด. อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความที่ว่านั้นเป็น
ไฉน บุรุษนั้น เมื่อถือเอาไม้สดชุ่มอยู่ด้วยยาง ที่บุคคลวางไว้บนบกไกลน้ำ
โน้น ทำเป็นไม้สีไฟ สีอยู่ ยังจะให้ไฟเกิด ปรากฏขึ้นได้บ้างหรือ.
ส. ไม่ได้เหมือนกัน ข้อนี้ พระโคดม. ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุ
อะไร พระโคดม เพราะว่า โน้นก็ยังเป็นไม้สดชุ่มอยู่ด้วยยาง ต่างแต่ที่วาง

118
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 119 (เล่ม 19)

ไว้บนบกไกลน้ำก็จริง ถึงดังนั้น บุรุษนั้น ก็จะมีแต่ส่วนเหนื่อยกาย
คับใจ เท่านั้นเอง.
พ. อัคคิเวสสนะ อุปมัยก็อย่างสมณะและพราหมณ์ พวกใดพวก
หนึ่ง ได้หลีกออกเสียจากกามแต่เพียงกายอย่างเดียวแล้วแลอยู่, บรรดา
กิเลสทั้งหลายอันมีกามเป็นที่ตั้งคือ ความพอใจในกาม ความเยื่อใยใน
กาม ความหมกมุ่นในกาม ความกระหายในกาม ความกระวนกระวายใน
กามส่วนใด ของสมณะและพราหมณ์เหล่านั้น ส่วนนั้น ยังหาละได้เสียด้วย
ดี ยังหาระงับได้เสียด้วย ณ ภายในไม่. ถึงหากว่าสมณะและพราหมณ์
เหล่านั้น จะได้เสวยหรือมิได้เสวยทุกขเวทนาที่กล้าแข็ง เผ็ดร้อน อันเกิด
เพราะความเพียรก็ดี ก็ไม่ควรเพื่อจะให้เกิดญาณทัสสนะ คือปัญญาตรัสรู้
อย่างยอดเยี่ยมขึ้นได้ฉะนั้น. อัคคิเวสสนะ นี่เป็นอุปมาข้อที่ ๒ ที่ไม่น่า
อัศจรรย์ เราไม่เคยได้ฟังมาแต่กาลก่อน ได้แจ่มแจ้งกะเราแล้ว.
[๔๑๖] อัคคิเวสสนะ ยังอุปมาอื่นอีก เป็นข้อที่สาม ไม่น่าอัศจรรย์
เราไม่เคยได้ฟังมาแต่กาลก่อน ได้แจ่มแจ้งกะเราแล้ว. อัคคิเวสสนะ เหมือน
หนึ่งว่า ไม้แห้งผาก บุคคลวางไว้บนบกแต่ไกลน้ำ ยังมีบุรุษคนหนึ่ง พึงไป
เอามาทำเป็นไม้สีไฟ ด้วยคิดว่า เราจะสีให้ไฟเกิด ทำเตโชธาตุ
ให้ปรากฏ ดังนี้ ฉันใด. อัคคิเวสสนะ ท่านจะสำคัญความที่ว่านั้นเป็น
ไฉน บุรุษนั้นถือเอาไม้แห้งผาก ที่วางไว้บนบกไกลแต่น้ำโน้น ทำเป็นไม้สี
ไฟ สีอยู่ คงจะให้ไฟเกิด ทำไฟให้ปรากฏขึ้นได้มิใช่หรือ.
ส. อย่างนั้น พระโคดม. ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุอะไร พระ
โคดม เพราะว่าโน้นก็เป็นไม้แห้งผาก ไม้นั้น ยังวางอยู่บนบกไกลแต่น้ำ
อีก.

119
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 120 (เล่ม 19)

พ. อัคคิเวสสนะ อุปมัยก็เหมือนสมณะและพราหมณ์ พวกใดพวก
หนึ่ง หลีกออกจากกามทั้งหลายส่วนกายได้แล้วแลอยู่ บรรดากิเลสทั้งหลาย
ที่มีกามเป็นที่ตั้ง คือ ความพอใจในกาม ความเยื่อใยในกาม ความหมกมุ่นใน
กาม ความกระหายในกาม ความกระวนกระวายในกามส่วนใด ของสมณะ
และพราหมณ์เหล่านั้น ส่วนนั้น ก็ละเสียด้วยดี ระงับซ้ำเสียเป็นอันดี
ณ ภายในแล้ว. ถ้าหากว่าสมณะและพราหมณ์เหล่านั้น จะได้เสวยหรือมิได้
เสวยทุกขเวทนาที่กล้าแข็ง เผ็ดร้อน อันเกิดเพราะความเพียรก็ดี สมณะหรือ
พราหมณ์นั้น ก็ควรแท้จริงเพื่อญาณทัสสนะ คือปัญญาตรัสรู้อย่างยอดเยี่ยม
ได้ อัคคิเวสสนะ นี่เป็นอุปมาข้อที่สาม ไม่น่าอัศจรรย์เราไม่เคยได้ฟังมาแต่
กาลก่อน ได้แจ่มแจ้งกะเราแล้ว.
[๔๑๗] อัคคิเวสสนะ เราะนั้นได้เกิดปริวิตกว่า ถ้ากระไร เราพึงขบ
ฟันไว้ด้วยฟัน, กดเพดานไว้ด้วยลิ้น, ข่มจิตไว้กับจิต บีบไว้แน่นให้ร้อนจัดอยู่
อัคคิเวสสนะ เมื่อเรากำลังขบฟันไว้ด้วยฟัน กดเพดานไว้ด้วยลิ้น ข่มจิตไว้กับ
จิต บีบไว้แน่น ให้ร้อนจัดอยู่ฉะนั้น เหงื่อก็ไหลจากรักแร้. อัคคิเวสสนะ
เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง พึงจับบุรุษอันถอยกำลังกว่า ที่ศีรษะหรือ
ที่คอ แล้วจับบีบไว้แน่นให้ร้อนจัด ฉันใด. อัคคิเวสสนะ เมื่อเราแล กำลังขบ
ฟันไว้ด้วยฟัน กดเพดานไว้ด้วยลิ้น ข่มจิตไว้กับจิต บีบไว้แน่น ให้ร้อนจัด
อยู่ เหงื่อก็ไหลจากรักแร้ ฉันนั้นเหมือนกัน. อัคคิเวสสนะ. ก็แต่ความเพียรที่
เราได้เริ่มไว้แล้วยังคงอยู่ จะได้ย่อหย่อนไปหามิได้ สติที่เราได้ตั้งไว้แล้วจะได้
ฟั่นเฟือนไปหามิได้ ก็แต่กายที่เราได้เริ่มตั้งไว้แล้ว ย่อมไม่สงบ, เมื่อกำลัง
ความเพียรที่ให้เกิดทุกข์นั้นแลเจาะแทง (ครอบงำ) แล้ว เราก็มีสติอยู่.
อัคคิเวสสนะ ทุกขเวทนาถึงปานนี้ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ยังไม่ครอบงำจิตเรา
ตั้งอยู่ได้. อัคคิเวสสนะ. เรานั้นได้มีปริวิตกว่า ถ้ากระไร เราพึงเพ่งฌาน
เอาความไม่หายใจเป็นอารมณ์ทีเดียว อัคคิเวสสนะ เราครั้นปริวิตกดังนั้น

120
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 121 (เล่ม 19)

แล้ว จึงได้กลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ ทางปากทางจมูก คือหายใจออกและ
หายใจเข้า. อัคคิเวสสนะ ครั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ ที่เรากลั้นทางปากและ
ทางจมูกแล้ว เสียงลมที่ออกตามช่องหูดังเหลือประมาณ เสียงลมในลำสูบแห่ง
นายช่างทองกำลังสูบไปมาอยู่ฉันใด อัคคิเวสสนะ ครั้นลมที่เรากลั้นทางปาก
และทางจมูกแล้ว เสียงลมที่ออกตามช่องหู ดังเหลือประมาณก็ฉันนั้น.อัคคิ-
เวสสนะ ก็แต่ความเพียรที่เราได้เริ่มไว้แล้วคงที่อยู่ จะได้ย่อหย่อนไปหามิ
ได้, สติที่เราตั้งไว้ จะได้ฟั่นเฟือนไปก็หามิได้, แต่กายที่เราเริ่มตั้งไว้ ย่อม
ไม่สงบได้, เมื่อกำลังความเพียรที่ให้เกิดทุกข์นั้นนั่นแลเจาะแทงเราอยู่.
อัคคิเวสสนะ ทุกขเวทนาถึงปานนี้ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ยังไม่ครอบงำ
จิตเราตั้งอยู่ได้. อัคคิเวสสนะ เรานั้นได้มีปริวิตกถึงเรื่องนี้ว่า "ถ้ากระ
ไร เราพึงเพ่งฌาน เอาความไม่หายใจเป็นอารมณ์นั่นแล." อัคคิเวสสนะ
ครั้นเราปริวิตกฉะนั้นแล้ว ได้กลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะไว้ ทั้งทางปากทาง
จมูกและช่องหู. อัคคิเวสสนะ เมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะไว้ทางปากทาง
จมูกและช่องหูแล้ว ลมกล้าเหลือประมาณ ก็ไปดังในสมอง. อัคคิเวสสนะ
เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง เอาเหล็กแหลมอันคมทิ่มสมองฉันใด. อัคคิเวส
สนะ. เมื่อเรากลั้นลมอัสสาสะปัสสาสะ ทั้งทางปากทางจมูกและทางหู
แล้ว ลมกล้าเหลือประมาณ ก็ดังในสมองฉันนั้น. อัคคิเวสสนะ ก็แต่ความ
เพียรที่เราได้เริ่มไว้แล้ว คงที่อยู่ จะได้ย่อหย่อนไปหามิได้, สติที่เราตั้งไว้จะ
ได้ฟั่นเฟือนไปก็หามิได้, แต่กายที่เราเริ่มตั้งไว้ ย่อมไม่สงบ, เมื่อกำลังความ
เพียรที่ให้เกิดทุกข์นั้นแลเจาะแทงเราอยู่. อัคคิเวสสนะ ทุกขเวทนาถึง
ปานนี้ เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ยังไม่ครอบงำจิตตั้งอยู่ได้.

121