No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 92 (เล่ม 19)

เราจักไปพร้อมกับลิจฉวีเหล่านั้น แล้วจึงยกวาทะขึ้นต่อพระสมณโคดม ดังนี้
เพราะฉะนั้น จึงเข้าไปหา. บทว่า ญาตญญตเรน ความว่า บรรดาพระปัญจ-
วัคคีย์เถระผู้มีชื่อเสียงเหล่านั้น รูปใดรูปหนึ่ง. บทว่า ปติฏฺฐิตํ ความว่า
พระอัสสชิเถระนั้นยังดำรงอยู่ ฉันใด สมณโคดมจักดำรงอยู่ฉันนั้น เมื่อเป็น
เช่นนั้น เขาจักกล่าวข้ออื่นอีก. บัดนี้ เมื่อจะหันหลังกลับ จึงทูลว่า เราจะทำ
อะไรก็ได้ ในที่นั้น. บทว่า อากฑฺเฒยฺย ได้แก่ พึงกระชากให้หันหน้ามา
หาตน. บทว่า ปริกฑฺเฒยฺย ความว่า พึงดึงมาให้หมอบอยู่ข้างหน้า. บท
ว่า สมฺปริกฑฺเยฺย ความว่าฉุดกระชากอยู่ไปมา. บทว่า โสณฺฑิธุตฺโต
แปลว่า นักเลงสุรา. บทว่า ถาลํ กณฺเณ คเหตฺวา ความว่า ผู้ใคร่จะล้างกะทะ
สำหรับกลั่นสุรา จับที่หูทั้ง ๒ แล้วสลัดกากทิ้ง. บทว่า โอธุเนยฺย ได้แก่
เทคว่ำหน้า. บทว่า นิทฺธเมยฺย ได้แก่ หงายหน้าขึ้น. บทว่า นิปโปเฐยฺย
ได้แก่ พึงกระแทกบ่อยๆ มนุษย์นำเอาเปลือกป่านมัดเป็นกำๆ แช่น้ำเพื่อทำ
ผ้าป่าน.ในบทว่า สาณโธวิกํ นาม นี้ในวันที่ ๓ เปลือกป่านเหล่านั้น เป็นของ
เปียกชุ่มดี. ต่อมาพวกมนุษย์นำเอาน้ำส้มข้าวต้มและสุราเป็นต้นไปที่
นั้น ถือเอากำป่านไปทุบบนแผ่นกระดาน ๓ หน ข้างขวา ข้างซ้ายหรือข้าง
หน้าคือบนแผ่นกระดานข้างขวาหนหนึ่ง ข้างซ้ายหนหนึ่ง ข้างหน้าหน
หนึ่ง กินพลางดื่มพลางเคี้ยวกินพลาง น้ำส้มข้าวต้มและสุราเป็นต้น ช่วยกัน
ล้างสุราเป็นต้น เป็นกีฬาใหญ่ ช้างของพระราชาเห็นกีฬานั้นแล้ว ลงน้ำลึก
เอางวงดูดน้ำแล้ว เล่นพ่นบนกระพองหนหนึ่ง บนหลังหนหนึ่ง ที่สีข้างทั้งสอง
หนหนึ่ง บนระหว่างหลังหนหนึ่ง เพราะอาศัยเหตุนั้น การเล่นกีฬานั้น เรียกชื่อ
ว่า เล่นซักป่าน สัจจกนิครนถ์หมายเอาการเล่นนั้น จึงกล่าวว่า เล่นกีฬาซัก
ป่าน.
ในบทว่า กึ โส ภวมาโน สจฺจโก นิคนฺถปุตฺโต โย ภควโต วาทํ
อาโรเปสฺสติ นี้ มีอธิบายว่า สัจจกนิคันถบุตรจักโต้วาทะกับพระผู้มีพระภาค

92
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 93 (เล่ม 19)

เจ้า สัจจกนิครนถ์นั้นเป็นอะไร เป็นยักษ์หรือเป็นพระอินทร์ หรือเป็นพระ
พรหมที่จักโต้วาทะกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ส่วนมนุษย์ตามปกติไม่อาจเพื่อจะ
โต้วาทะกับพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ดังนี้. บทว่า เตน โข ปน สนเยน ความ
ว่า ในสมัยที่สัจจกะเข้าไปสู่อาราม. ถามว่า เข้าไปในสมัยไหน ? ตอบ
ว่า ในสมัยเที่ยงตรง. ถามว่า เพราะเหตุไร ? ภิกษุทั้งหลายจึงจงกรมอยู่ในสมัย
นั้น. ตอบว่า เพื่อบรรเทาถีนมิทธะมีโภชนะอันประณีตเป็นปัจจัย. อีกอย่าง
หนึ่ง ภิกษุเหล่านั้น ประกอบความเพียรในเวลากลางวัน. เมื่อภิกษุผู้เช่น
นั้น จงกรมอาบน้ำภายหลังอาหาร ให้ร่างกายได้รับความสบายแล้ว นั่งบำ
เพ็ญสมณธรรม จิตก็มีอารมณ์แน่วแน่เป็นหนึ่ง. บทว่า เยน เต ภิกฺขู ความว่า
ได้ยินว่า สัจจกนิคันถบุตรนั้นคิดว่า พระสมณโคดมอยู่ที่ไหนจึงเที่ยวไปรอบ
คิดว่า จักถาม แล้วเข้าไป เมื่อมองดูเห็นพวกภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลเป็น
วัตร จงกรมอยู่บนจงกรมใหญ่เหมือนช้างป่า จึงได้ไปยังสำนักของภิกษุ
เหล่านั้น. คำมีอาทิว่า เยน เต ภิกฺขู สัจจกนิคันถบุตรกล่าวหมายเอาภิกษุ
นั้น. บทว่า กหํ นุโข โภ ความว่า พระโคดมผู้เจริญนั้นอยู่ในอาวาสในถ้ำ
หรือมณฑปไหน. บทว่า เอส อคฺคิเวสฺสน ภควา ความว่า ได้ยินว่า ในกาล
นั้นในเวลาใกล้รุ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติ ทรงแผ่
ข่ายคือพระสัพพัญญุตญาณไปในหมื่นจักรวาล เมื่อทรงตรวจดูสัตว์ที่ควร
แนะนำให้ตรัสรู้ ทรงเห็นว่า พรุ่งนี้ สัจจกนิคันถบุตรต้องการพาเอาเจ้า
ลิจฉวีบริษัทเป็นจำนวนมากจักมาโต้วาทะกับเราดังนี้. ฉะนั้น ทรงชำระพระ
วรกายแต่เช้าตรู่ มีภิกษุสงฆ์เป็นบริวารเสด็จเที่ยวบิณฑบาตในกรุงเวสาลี
เสด็จกลับจากบิณฑบาตทรงดำริว่า เราจักนั่งในที่สบาย เพื่อจะประทับนั่ง
ในบริษัท มีจำนวนมาก จึงไม่เสด็จเข้าไปพระคันธกุฏี ประทับนั่งพักกลาง
วันที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่งในป่ามหาวัน. ภิกษุเหล่านั้นมาแสดงวัตรแด่พระผู้
มีพระภาคเจ้า ถูกสัจจนิครนถ์ถาม เมื่อจะแสดงพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับ

93
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 94 (เล่ม 19)

นั่งแล้วในที่ไกล จึงกล่าวว่า อัคคิเวสสนะ นั่น พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้.
บทว่า มหติยา ลิจฺฉวิปริสาย สทฺธึ มีอธิบายว่า เจ้าลิจฉวีประมาณ ๕๐๐
แวดล้อมข้างล่าง. เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น เป็นลูกศิษย์ของสัจจกะนั้น. ส่วนสัจจกะ
ภายในกรุงเวสาลี พาเอาเจ้าลิจฉวีประมาณ ๕๐๐ ฟังแล้วว่า ผู้ต้องการจะโต้
วาทะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ โดยมาก พวกมนุษย์พากันออก
ไปด้วยคิดว่า เราจักฟังการสนทนาของบัณฑิต ๒ คน.บริษัทมีจำนวนมาก
อย่างนี้ กำหนดนับไม่ได้เลย. คำนั้น สัจจกะกล่าวแล้วหมายถึงบริษัท
นั้น. บทว่า อญฺชลี ปณาเมตฺวา ความว่า ชนเหล่านั้น เป็น ๒ ฝ่าย พวกเขา
คิดอย่างนี้ว่า ถ้าพวกเป็นมิจฉาทิฏฐิจักท้วงพวกเราว่า ท่านไหว้พระสมณ-
โคดมทำไม พวกเราจักบอกแก่เขาเหล่านั้นว่า ไหว้อะไรกันเพียงประนมมือ
เท่านั้น ถ้าพวกเป็นสัมมาทิฏฐิจักท้วงเราว่า ทำไมท่านไม่ถวายบังคมพระผู้
มีพระภาคเจ้าเล่า พวกเราจักบอกว่าทำไมการถวายบังคมจะต้องเอาศีรษะ
จดพื้นเล่า เพียงอัญชลีกรรม ก็เป็นการถวายบังคมมิใช่หรือ. บทว่า นาม
โคตฺคํ ความว่า บางพวกทูลว่า พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชื่อทัตตะ
ชื่อมิตตะ เป็นบุตรของตนโน้นมาในที่นี้แล้วชื่อว่า ประกาศชื่อ. บางพวกทูล
ว่า พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชื่อว่า วาสิฏฐะ ชื่อว่า กัจจายนะ มาในที่นี้
แล้ว ชื่อว่าประกาศโคตร. ได้ยินว่า ชนยากจนเหล่านั้นได้ประกาศกระทำ
อย่างนั้นด้วยคิดว่า เราเป็นผู้เป็นบุตรของตระกูลเก่าจักปรากฏ ชื่อและ
โคตร ในท่ามกลางบริษัท. ส่วนพวกเหล่าใด นั่งนิ่ง พวกเหล่านั้น เป็นคนป่า
เถื่อน และอันธพาล. บรรดาชนเหล่านั้น คนป่าเถื่อนคิดว่า คนผู้ทำการสนทนา
กันคำสองคำเป็นผู้คุ้นเคยกัน เมื่อความคุ้นเคยมีอยู่เช่นนั้น จะไม่ถวายภิกษา
หนึ่ง สองทัพพี ไม่ควร เพื่อจะให้ตนพ้นจากความคุ้นเคยนั้น จึงพากันนั่ง
นิ่ง. พวกอันธพาล เป็นผู้นั่งนิ่งในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง เพราะไม่รู้ เหมือนก้อนดิน
ที่ถูกซัดไปข้างล่าง. บทว่า กิญฺจิเทว เทสํ ความว่า โอกาสอย่างหนึ่ง เหตุ
อย่างหนึ่ง.

94
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 95 (เล่ม 19)

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้สัจจกนิครนถ์นั้นเกิดความอุตสาหะ
ในการถามปัญหา จึงตรัสว่า อัคคิเวสสนะ ท่านประสงค์จะถามปัญหา
ใด ก็ถามเถิด. บทนั้น มีเพื่อความว่า หากท่านประสงค์จะถามก็ถาม ใน
การตอบปัญหาไม่เป็นภาระหนักสำหรับเรา. อีกอย่างหนึ่ง ท่านประสงค์สิ่ง
ใด ก็จงถาม เราจักตอบสิ่งนั้นทั้งหมดแก่ท่าน เพราะฉะนั้น พระสมณโคดม
ปวารณาแล้ว ปวารณาพระสัพพัญญุตญาณที่ไม่ทั่วไปกับพระปัจเจกพุทธ
อัครสาวกและพระมหาสาวก. ก็ท่านเหล่านั้น ไม่กล่าวว่า หากท่านประสงค์
จะกล่าวว่า พวกเราฟังแล้ว จักทราบดังนี้. ส่วนพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อม
ปวารณา ปวารณาสัพพัญญุตญาณแก่ยักษ์ จอมคน เทพ สมณพราหมณ์
และปริพาชกเหล่านั้นๆ ว่า ดูก่อนผู้มีอายุ หากท่านประสงค์ก็จงถาม
เถิด หรือว่า ดูก่อนมหาราช หากพระองค์มีพระราชประสงค์ ก็จง
ถาม หรือว่า ดูก่อนท้าววาสวะ ท่านสนใจปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งจงถามเรา
เถิด เราจะตอบปัญหานั้น ๆ ให้ถึงที่สุดแก่ท่าน หรือว่า ดูก่อนภิกษุ ถ้าอย่าง
นั้น เธอนั่งบนอาสนะของตนแล้วหากประสงค์ก็จงถามเถิด หรือ พวกเธอยังมี
ใจสงสัยอย่างใดอย่างหนึ่ง จะเป็นความสงสัยของพราหมณ์พาวรี และของ
ท่าน หรือของปวงชน เราให้โอกาสแล้ว จงถามเถิด หรือว่า ดูก่อนสภิยะ
เธอยังสนใจ ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง จงถามเรา เราจะตอบปัญหานั้นๆ
ให้ถึงที่สุดแก่เธอ ข้อนั้น ไม่อัศจรรย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุพุทธภูมิ
อันใด ทรงปวารณาพุทธภูมินั้นอย่างนี้ ผู้ที่ตั้งอยู่ในประเทศญาณในภูมิพระ
โพธิสัตว์ ผู้อันฤษีทั้งหลายอาราธนาแล้ว เพื่อประโยชน์แก่ท้าวสักกะเป็นต้น
อย่างนี้ว่า.
โกณฑัญญะ เธอจงตอบปัญหาทั้งหลาย
พวกฤษีผู้มีความรู้ดี ย่อมขอร้องเธอ

95
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 96 (เล่ม 19)

โกณฑัญญะ ธรรมในหมู่มนุษย์นี้
ย่อมถึงความเจริญ นั่นเป็นภาระ.
เที่ยวไปสามครั้ง ในเวลาเป็นสรภังคดาบส ในสัมภวชาดกและในชมพูทวีป
อย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้โอกาสแล้ว
จงถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ทั้งตั้งใจไว้ ก็เรารู้โลกนี้ โลกหน้าด้วยตนเอง
จักตอบปัญหาให้ถึงที่สุด แก่พวกท่านดังนี้.
ไม่เห็นผู้ทำที่สุดแห่งปัญหาทั้งหลาย ถูกสุจิรกพราหมณ์ ถามปัญหาเมื่อ
โอกาสอันพระองค์กระทำแล้วมีพระชนม์ ๗ พรรษาโดยกำเนิด ทรงเล่น
ฝุ่นที่ถนน ทรงนั่งขัดสมาธิระหว่างวิถี ทรงปวารณา ปวารณาพระ
สัพพัญญุตญาณว่า
เชิญเถิด เราจักบอกปัญหาแก่ท่านประกาศที่เป็นผู้ฉลาด
อนึ่ง พระราชา ทรงทราบข้อนั้น
หากจักทรงกระทำ หรือไม่ทรงกระทำดังนี้.
เมื่อปวารณาพระสัพพัญญุตญาณอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ปวารณาอย่างนี้ สัจจกนิครนถ์มีใจชื่นชม เมื่อจะทูลถามปัญหา จึงได้กล่าวคำ
เป็นต้นว่า กถํ ปน โภ โคตม ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแก่สัจจกนิครนถ์นั้นว่า ผู้เจริญท่านเห็น
สาวกกล่าวคำอื่น พระศาสดาตรัสคำอื่น เรากล่าวแล้วมิใช่หรือว่า สาวกของ
พระสมณโคดมตั้งอยู่แล้วฉันใด พระสมณโคดมจักตั้งอยู่ฉันนั้น เราก็ยกวาทะ
อย่างนั้น เมื่อจะตรัสโดยกำหนดที่พระอัสสชิเถระกล่าวแล้วในหนหลัง
ว่า โอกาสแห่งคำของนิครนถ์จงอย่ามีอย่างนี้ว่า ก็นิครนถ์นี้ ย่อมกล่าวคำ
อื่น เราอาจจะทำอะไรก็ได้ในที่นั้นได้ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า เอวํ โข อหํ

96
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 97 (เล่ม 19)

อคฺคิเวสฺสน ดังนี้. บทว่า อุปมา มํ โภ โคตม ปฏิภาติ สัจจกนิครนถ์กล่าว
ว่า พระโคดมผู้เจริญ อุปมาข้อหนึ่งย่อมปรากฏแก่ข้าพระองค์ข้าพระองค์จะ
นำอุปมานั้นมา. บทว่า ปฏิภาตุ ตํ อคฺคิเวสฺสน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้
ตรัสว่า อัคคิเวสนะ อุปมาจงปรากฏแก่เธอ คือว่า สัจจกนิครนถ์คุ้นเคย
แล้ว จงนำอุปมานั้นมา. บทว่า พลกรณียา ความว่า การงานมีกสิกรรมและ
พาณิชยกรรมต้องทำด้วยกำลังแขน. บทว่า รูปตฺตายํ ปุริสปุคฺคโล ความว่า
ชื่อว่ารูปัตตาเพราะอรรถว่า เขามีรูปเป็นตน ท่านแสดงบุคคลผู้ถือว่ารูปเป็น
ตนตั้งอยู่. บทว่า รูเป ปติฏฺฐาย ความว่า ตั้งอยู่ในรูปที่ถือว่าเป็นตนในรูปนั้น.
บทว่า ปุญฺญํ วา อปุญฺญํ วา ปสวติ คือ ย่อมได้กุศลหรืออกุศล แม้บทมี
เวทนาเป็นตน เป็นต้นก็มีนัยนี้แล.
บทนี้ ท่านแสดงไว้อย่างไร ? ท่านนำอุปมาพร้อมทั้งเหตุที่น่าฟัง
ว่า ปัญจขันธ์เหล่านี้ เป็นที่อยู่อาศัยเหมือนแผ่นดินเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่สัตว์
เหล่านี้ สัตว์เหล่านั้นตั้งอยู่ในปัญจขันธ์เหล่านี้ ย่อมรวบรวมเอากุศลกรรม
แลอกุศลกรรมไว้ ท่านเมื่อปฏิเสธตนซึ่งมีอยู่เห็นปานนี้แสดงอยู่ว่า ปัญจขันธ์
ไม่ใช่ตนดังนี้. ก็ข้อที่นิครนถ์นำมาเปรียบแน่นอนแล้ว ไม่มีคนอื่นจากพระ
สัพพัญญูพุทธเจ้าที่ชื่อว่า สามารถ ตัดถ้อยคำของนิครนถ์นั้นแล้วให้โทษใน
วาทะได้ จริงอยู่ บุคคลมี ๒ จำพวก คือ พุทธเวไนย ๑ สาวกเวไนย ๑.
ในสาวกเวไนยพระสาวกแนะนำบ้าง พระพุทธเจ้าทรงแนะนำบ้าง ส่วนใน
พุทธเวไนย พระสาวกไม่สามารถแนะนำ พระพุทธเจ้าเท่านั้นทรงแนะนำ
ได้นิครนถ์ผู้นี้ เป็นผู้พุทธเวไนย เพราะฉะนั้น ไม่มีคนอื่นที่ชื่อว่า สามารถ
ตัดถ้อยคำของนิครนถ์นั้นแล้วให้โทษในวาทะได้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า เพื่อจะทรงแสดงโทษในวาทะของสัจจกนิครนถ์นั้นด้วยพระองค์
เอง จึงตรัสว่า นนุ ตฺวํ อคฺคิเวสฺสน ดังนี้.

97
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 98 (เล่ม 19)

ลำดับนั้น นิครนถ์คิดว่า พระสมณโคดม ย่อมยืนยันวาทะของเรายิ่ง
นัก ถ้าโทษบางอย่างจักมีในเบื้องบน พระองค์จักข่มแต่เราผู้เดียว เอา
เถอะ เราจะซัดวาทะนี้ไปบนศีรษะมหาชน เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า พระ
โคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวอยู่อย่างนี้ว่า รูปเป็นคนของเรา ฯ เปฯ วิญญาณ
เป็นคนของเรา ประชุมชนเป็นอันมากก็กล่าวอย่างนั้น.
ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีวาทะดีกว่านิครนถ์ด้วยคูณตั้ง
ร้อย ตั้งพัน ตั้งแสน เพราะฉะนั้น จึงทรงดำริว่า นิครนถ์นี้จะให้ตนพ้นจึงซัด
วาทะไปบนศีรษะมหาชน เราจักไม่ให้ตัวเขาพ้นไปได้ เราจักเปลื้องวาทะ
ออกจากมหาชนแล้ว ข่มแต่เขาคนเดียว ลำดับนั้น จึงตรัสกะนิครนถ์ว่า
กึ หิ เต อคฺคิเวสฺสน ดังนี้เป็นต้น. บทนั้นมีอธิบายว่า ประชุมชนนี้ ไม่มาโต้
วาทะกับเรา ท่านเท่านั้น วนเวียนไปทั่วกรุงเวสาลี มาโต้วาทะกับเรา เพราะ
ฉะนั้น ท่านจงประกาศวาทะของตนให้ทั่วกัน ท่านซัดอะไรไปบนศีรษะ
มหาชน. นิครนถ์นั้น เมื่อรับความจริง จึงกราบทูลว่า พระโคดมผู้เจริญ
ข้าพระองค์กล่าวอย่างนั้นจริงดังนี้เป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยืนยันวาทะ
ของนิครนถ์ทรงปรารภคำถามว่า เตนหิ อคฺคิเวสฺสน ด้วยประการฉะนี้
แล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตนหิ เป็นนิบาต ลงในอรรถว่า เหตุ
เพราะท่านย่อมเข้าใจปัญจขันธ์โดยความเป็นคน ฉะนั้น. บทว่า สกสฺมึ
วิชิเต คือในแว่นแคว้นของพระองค์. บทว่า ฆาเตตายํ วา ฆาเตตุํ ได้แก่
เพื่อให้ฆ่าคนที่ควรฆ่า คือ ผู้สมควรถูกฆ่า. บทว่า ชาเปตายํ วา ชาเปตุํ ความ
ว่าเพื่อริบราชบาตรในที่ควรริบ คือ คนที่ควรถูกริบ ได้แก่ เพื่อให้เสื่อมทรัพย์.
บทว่า ปพฺพาเชตายํ วา ปพฺพาเชตุํ ความว่า เพื่อเนรเทศ คือนำคนที่ควรเนรเทศ
ออกไปจากแว่นแคว้นของพระองค์. บทว่า วตฺติตุญฺ จ อรหติ ท่านแสดง

98
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 99 (เล่ม 19)

ว่า ย่อมเป็นไป คือควรเพื่อเป็นไป นิครนถ์แสดงเหตุที่นำมาเพื่อทำลายวาทะ
ของตนเองให้พิเศษดุจผู้ทำอาวุธให้คมเพื่อฆ่าคน เหมือนคนพาล. บทว่า
เอวํ เม รูปํ โหตุ ความว่า ขอรูปของเราจงมีอย่างนี้ คือ มีรูปน่าเลื่อมใสมี
รูปสวย เห็นเข้าก็ชอบใจ เหมือนเสาระเนียดทอง ที่ประดับประดาแล้ว
ตกแต่งแล้ว และผ้าวิจิตรที่จัดแจงไว้อย่างดี.บทว่า เอวํ เม รูปํ มา อโหสิ
ความว่า ขอรูปของเรา จงอย่ามีอย่างนี้ คือผิวพรรณทราม ทรวดทรงไม่
ดี หนังเหี่ยว ผมหงอก ตัวตกกระ. บทว่า ตุณฺหี อโหสิ ความว่า นิครนถ์
รู้ความที่ตนพลาดในวาทะนี้ จึงคิดว่า พระสมณโคดมนำเหตุมาเพื่อต้องการ
ทำลายวาทะของเรา เราแสดงเหตุนั้นพลาดไป เพราะโง่ ถ้าจะพูดว่า เป็น
ไปดังนี้ คราวนี้ เราฉิบหายแล้ว อัคคิเวสสนะท่านได้ลุกขึ้นกล่าวกับเจ้าเหล่านี้
ว่า อำนาจย่อมเป็นไปในรูปของเรา ถ้าอำนาจเป็นไปในรูปของท่าน เพราะ
เหตุไร ท่านจึงไม่รุ่งเรือง เหมือนเจ้าลิจฉวีเหล่านี้ มีรูปสวยน่าเลื่อมใส ย่อมรุ่ง
เรืองด้วยอัตตภาพ เช่นเทวดาชั้นดาวดึงส์ ถ้าเราจะกล่าวว่าเป็นไปไม่
ได้ พระสมณโคดมเสด็จลุกขึ้นยกวาทะว่า อัคคิเวสสนะ ในกาลก่อนท่านกล่าว
ว่าอำนาจเป็นไปในรูปของเรา มาวันนี้ค้านเสียแล้ว เมื่อเขากล่าวว่าเป็นไปก็มี
โทษอย่างหนึ่ง กล่าวเป็นไปไม่ได้ ก็มีโทษอย่างหนึ่งด้วยประการฉะนี้
ก็นิ่งเสียดังแล.พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามครั้งที่สอง สัจจกนิครนถ์ก็นิ่งเสีย
ถึงสองครั้ง. ก็เพราะศีรษะของผู้ไม่ตอบชี้แจง เมื่อปัญหาอันพระผู้มีพระภาค
เจ้าตรัสถามแล้วถึงสามครั้ง ย่อมแตกโดย ๗ เสี่ยง. ก็ธรรมดาว่าพระพุทธเจ้า
ทั้งหลาย มีความเอ็นดูเป็นกำลัง ในหมู่สัตว์ เพราะบำเพ็ญพระบารมี
ตลอด ๔ อสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัปป์เพื่อประโยชน์แก่หมู่สัตว์ทั้งนั้น ฉะนั้น
ตรัสถามจนถึงสองครั้งแล้ว จึงได้ตรัสคำเป็นต้นว่า ครั้งนั้นแล พระผู้
มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนี้กะสัจจกนิครนถ์บุตรว่า วันนี้ท่านจงตอบ
ชี้แจงดังนี้เป็นต้น.

99
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 100 (เล่ม 19)

ในบทนั้น บทว่า สหธมฺมิกํ คือมีเหตุ มีผล. ชื่อว่า วชิรปาณี เพราะ
อรรถว่ามีวชิระในฝ่ามือ บทว่า ยกฺโข ความว่า พึงทราบว่าผู้นั้นใช่ยักษ์เป็น
ท้าวสักกเทวราช. บทว่า อาทิตฺตํ คือมีสีเหมือนไฟ. บทว่า สมฺปชฺชลิตํ คือลุก
โพลงด้วยดี. บทว่า สํโชติภูตํ คือ สว่างทั่ว อธิบายว่า เป็นเปลวไฟอย่างเดียว
กัน. บทว่า  ิโต โหติ ความว่า ยักษ์ยืนนิรมิตรูปน่าเกลียดเห็นปานนี้
คือ ศีรษะใหญ่ เขี้ยวเช่นกับหัวปลี ตาและจมูกเป็นต้นน่ากลัว. ถามว่า
ก็เพราะเหตุอะไร ยักษ์นั้นจึงมา. ตอบว่า มาเพื่อให้นิครนถ์ตอบความ
เห็น, อีกอย่างหนึ่ง ท้าวสักกะกับท้าวมหาพรหมเสด็จมาแล้ว เมื่อพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าถึงความขวนขวายน้อยในการแสดงธรรมอย่างนี้ว่า เราพึงแสดง
ธรรมคนเหล่าอื่นก็พึงรู้ทั่วถึงธรรมของเราไม่ได้ ได้ทรงกระทำปฏิญญา
ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าขอพระองค์จงทรงแสดงธรรมเถิด เมื่ออาณาจักร
ไม่เป็นไปแด่พระองค์ เป็นไปแก่ข้าพระองค์พวกข้าพระองค์จักให้เป็น
ไป ธรรมจักรจงเป็นของพระองค์ อาณาจักรเป็นของข้าพระองค์ดังนี้.
เพราะฉะนั้นเสด็จมาแล้วด้วยทรงดำริว่า ในวันนี้เราจักให้สัจจกนิครนถ์สะดุ้ง
กลัว แล้วให้ตอบปัญหาดังนี้. บทว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากับสัจจกนิคันถบุตร
เท่านั้นเห็นอยู่ ความว่า ถ้าคนเหล่าอื่นพึงเห็นเหตุนั้น เหตุนั้นก็ไม่พึง
หนัก. ชนทั้งหลายพึงพูดว่า พระสมณโคดมทรงรู้แล้ว ซึ่งสัจจกนิครนถ์ไม่
หยั่งลงในวาทะของตน ทรงใช้ยักษ์ให้นำมาแสดง แต่นั้น สัจจกนิครนถ์
กราบทูลแล้ว เพราะกลัวดังนี้. เพราะฉะนั้นพระผู้มี พระภาคเจ้ากับสัจจก-
นิครนถ์เท่านั้นเห็นอยู่. เพราะเห็นยักษ์นั้นเหงื่อก็ไหลทั่วตัวของสัจจกนิครนถ์
นั้น ภายในท้องป่วนปั่นร้องดัง เขาคิดว่าคนเหล่าอื่นเห็นอยู่ เมื่อแลดูก็ไม่เห็น
ใครแม้ขนชัน แต่นั้นความกลัวนี้เกิดแก่เราเท่านั้น จึงคิดว่า ถ้าเราจักกล่าว
ว่า ยักษ์ พวกคนพึงพูดว่า มีตาของท่านนั้นหรือ ท่านเท่านั้นเห็นยักษ์ ท่านไม่
เห็นยักษ์ก่อนถูกพระสมณโคดมซัดไปในการสืบต่อแห่งวาทะ จึงเห็น

100
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ – หน้าที่ 101 (เล่ม 19)

ยักษ์ สำคัญอยู่ว่า คราวนี้ในที่นี้ เราไม่มีที่พึ่งอื่น นอกจากพระสมณโคดม
ครั้งนั้นแล สัจจกนิคันถบุตร ฯ เปฯ จึงได้กราบทูลคำนั้น พระผู้มีพระภาค
เจ้า. บทว่า ตาณํ คเวสี คือแสวงหาอยู่ว่าที่ต้านทาน. บทว่า เลณํ คเวสี คือ
แสวงหาอยู่ว่าป้องกัน. บทว่า สรณํ คเวสี คือ แสวงหาอยู่ว่าที่พึ่ง. ก็ในบท
นี้ ชื่อว่า ตาณา เพราะอรรถว่า ต้านทานคือรักษา.ชื่อว่า เลณะ เพราะอรรถ
ว่า เป็นที่เร้นลับแห่งชน. ชื่อว่า สรณะ เพราะอรรถว่า ระลึกได้ อธิบาย
ว่า ย่อมเบียดเบียน คือกำจัดความกลัว. บทว่า มนฺสิกริตฺวา ความว่า กระทำ
ไว้ในใจ คือ พิจารณา ใคร่ครวญ. บทว่า เอวํ เม เวทนา โหตุ คือ ขอเวทนา
จงเป็นกุศล เป็นสุข. บทว่า เอวํ เม สญฺญ โหตุ คือ ขอสัญญาจงเป็น
กุศล เป็นสุข คือ จงประกอบด้วยโสมนัส. แม้ในสังขารและวิญญาณก็มีนัยนี้
แล. ส่วนในบทว่า มา อโหสิ นี้ พึงทราบโดยกล่าวตรงกันข้าม. บทว่า
กลฺลํ นุ แปลว่า สมควรหรือหนอ. บทว่า สมนุปสฺสิตุํ ความว่า พิจารณา
เห็นด้วยตัณหามานะ ทิฏฐิ. อย่างนี้ว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตต
ภาพของเรา. บทว่า โน เหตํ โภ โคตม ได้แก่ ข้อนั้นไม่ควรแก่พระสมณ-
โคดมผู้เจริญ.
หมองูผู้ฉลาดให้งูนั้นกัดแล้ว ถอนพิษที่ถูกงูกัด ฉันใด พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าทรงให้สัจจกนิคันถบุตรกล่าวในบริษัทนั้น ด้วยปากนั้นเองว่า ขันธ์
๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ฉันนั้น ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ทุกฺขํ
อลฺลีโน ความว่า ติด คือ เข้าถึงทุกข์ในปัญจขันธ์นี้ ด้วยตัณหาและทิฏฐิ.
บทว่า อชฺโฌสิโต ความว่า พึงทราบด้วยอำนาจตัณหาและทิฏฐิเท่า
นั้น. ในบทเป็นต้นว่า ทุกฺขํ เอตํ มม มีอธิบายว่า ย่อมพิจารณาเห็นทุกข์ใน
ปัญจขันธ์ด้วยอำนาจตัณหามานะและทิฏฐิ. บทว่า ปริชาเนยฺย ความว่า
พึงกำหนดรู้ด้วยตีรณปริญญาว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา บทว่า ปริกฺ
เขเปตฺวา ความว่า นำความสิ้น ความเสื่อม ไม่ให้เกิด. บทว่า นวํ แปล

101