หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 423 (เล่ม 18)

เทวดาองค์หนึ่งเข้ามาหาเราแล้วบอกว่า พระองค์ผู้เจริญ อาฬารดาบส กาลาม-
โคตร มรณภาพไปแล้วได้ ๗ วัน. อนึ่ง เราก็เกิดญาณทัสสนะรู้เห็นว่า อาฬาร-
ดาบส กาลามโคตร เป็นผู้เสื่อมใหญ่เสียแล้วหนอ เพราะถ้าเธอพึงได้สดับ
ธรรมนี้ไซร้ ก็จะพึงรู้ทั่วถึงได้เร็ว. เราจึงคิดว่า เราจะแสดงธรรมครั้งแรกแก่
ใครหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้เร็ว. เราจึงคิดว่า อุททกดาบส รามบุตร
นี้แล เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อยมานาน ถ้า
กระไร เราพึงแสดงธรรมครั้งแรกแก่เธอ เธอจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้เร็ว ครั้งนั้น
เทวดาองค์หนึ่งเข้ามาหาเราแล้วบอกว่า พระองค์ผู้เจริญ อุททกดาบส รามบุตร
ได้มรณภาพไปเสียแล้วเมื่อเย็นวานนี้. อนึ่ง เราก็เกิดญาณทัสสนะรู้เห็นว่า
อุททกดาบส รามบุตร ได้มรณภาพไปเสียแล้วเมื่อเย็นวานนี้ เราจึงคิดว่า
อุทกดาบส รามบุตร เป็นผู้เสื่อมใหญ่เสียแล้วหนอ เพราะถ้าเธอพึงได้สดับ
ธรรมนี้ไซร้ ก็จะพึงรู้ทั่วถึงได้โดยเร็ว. เราจึงคิดว่าเราจะแสดงธรรมครั้งแรก
แก่ใครหนอ ใครจักรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้เร็ว. เราจึงคิดว่า ภิกษุปัญจวัคคีย์
ได้อุปัฏฐากเรา ผู้กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ เป็นผู้มีอุปการะแก่เรามาก ถ้ากระไร
เราพึงแสดงธรรมครั้งแรกแก่พวกเธอ เราจึงคิดว่า บัดนี้ ภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ที่
ไหนหนอ เราก็รู้ได้ว่าภิกษุปัญจวัคคีย์อยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี
ด้วยทิพยจักษุที่บริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นเราอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาพอ
สมควรแล้ว จึงได้ออกจาริกไปกรุงพาราณสี.
[๓๒๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาชีวกชื่ออุปกะ ได้พบเราผู้กำลังเดิน
ทางไกลที่ระหว่างตำบลคยาและต้นมหาโพธิ์ จึงถามเราว่า ผู้มีอายุ อินทรีย์
ของท่านผ่องใสนัก ฉวีวรรณของท่านบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่านบวชเฉพาะใคร
ใครเป็นศาสดาของท่านหรือท่านชอบใจธรรมของใคร. เมื่ออุปกะชีวกถามอย่าง
นี้ เราจึงได้กล่าวคาถาตอบว่า

423
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 424 (เล่ม 18)

เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้
ธรรมทั้งปวง ได้ติดข้องในธรรมทั้งปวง ละ
เว้นธรรมทั้งปวงไปในธรรมเป็นสิ้นตัณหา
เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง เราจะพึงแสดงใครเล่า
ว่าเป็นอาจารย์ อาจารย์ของเราไม่มี ผู้ที่
เหมือนเราไม่มี ผู้ที่เทียบเสมอเราไม่มี ใน
โลกทั้งเทวโลก ความจริงเราเป็นพระอร-
หันต์เป็นศาสดาผู้ยอดเยี่ยมเป็นเอกเป็นสัม-
มาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เย็น ดับกิเลศแล้ว
เราจะไปราชธานีของชาวกาสีเพื่อประกาศ
ธรรมจักร โดยหมายจะย่ำอมฤตเภรีกลอง
ธรรม ในโลกที่มืดมน.
อุปกอาชีวกถามเราว่า เหตุใดท่านจึงปฏิญาณณว่าเป็นอรหันตอนันต
ชินะ เราจึงกล่าวคาถาตอบว่า
ผู้ที่ถึงอาสวักขัยเช่นเรา ย่อมเป็น
ผู้มีนามว่าชินะ เพราะเราชนะบาปธรรมทั้ง
หลายแล้ว ฉะนั้น เราจึงมีนามว่า ชินะ.
เมื่อเรากล่าวตอบอย่างนี้ อุปกอาชีวกนั้นได้กล่าวว่า เป็นเช่นนั้น
หรือ ท่าน แล้วสั่นศีรษะ แยกทางไป.
โปรดปัญจวัคคีย์
[๓๒๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจาริกไปโดยลำดับ ถึงป่าอิสิ
ปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี เข้าไปหาพวกภิกษุปัญจวัคคีย์. พวกภิกษุ
ปัญจวัคคีย์เห็นเราเดินทางมาแต่ไกล จึงได้นัดหมายกันว่า ท่านพระสมณโคดม
พระองค์นี้เป็นผู้มักมาก คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นผู้มักมาก

424
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 425 (เล่ม 18)

กำลังเสด็จมา พวกเราไม่ต้องไหว้ ไม่ต้องลุกขึ้นยืนรับ ไม่ต้องรับบาตรจีวร
แต่ว่าต้องปูอาสนะไว้ ถ้าทรงปรารถนา ก็จักประทับนั่ง. เมื่อเราเข้าไปใกล้
พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ก็ไม่สามารถดำรงอยู่ในข้อนัดหมายกัน บางรูปลุกขึ้นรับ
บาตรจีวร บางรูปปูอาสนะ บางรูปตั้งน้ำล้างเท้า แต่พูดกับเราโดยระบุนาม
และใช้คำพูดว่า "อาวุโส". เราจึงบอกภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธออย่าได้พูดกับตถาคตโดยระบุนาม และใช้คำพูดว่า "อาวุโส" ตถาคต
ได้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ พวกเธอจงเงี่ยโสตลงสดับ เราจะสอนอมฤต
ธรรมที่เราได้บรรลุ เราจะแสดงธรรม เมื่อพวกเธอปฏิบัติตามที่เราสอน ไม่
นานนัก ก็จักกระทำให้แจ้งซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันเป็นคุณยอดเยี่ยม ที่กุล
บุตรออกจากเรือนไม่มีเรือนบวชโดยชอบ มุ่งหมาย ด้วยความรู้ยิ่งด้วยตนเอง
ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ เมื่อเรากล่าวอย่างนี้แล้ว พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ได้กล่าวกะเรา
ว่า อาวุโส โคดม แม้เพราะการประพฤติอย่างนั้น เพราะการปฏิบัติอย่างนั้น
เพราะการบำเพ็ญทุกกรกิริยาอย่างนั้น ท่านก็ไม่ได้บรรลุอุตตริมนุสสธรรมที่
พอจะเป็นอริยญาณทัสสนะชั้นพิเศษ ก็บัดนี้ไฉนเล่า ท่านผู้เป็นคนมักมาก
คลายความเพียร เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก จักบรรลุอุตตริมนุสสธรรม
ที่พอจะเป็นอริยญาณทัสสนะชั้นพิเศษได้. เมื่อพวกภิกษุปัญจวัคคีย์กล่าวอย่างนี้
แล้ว เราจึงได้กล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมิได้เป็นคนมักมาก มิได้
คลายความเพียร เวียนนาเพื่อความเป็นผู้มักมาก ตถาคตได้เป็นอรหันตสัมมา-
สัมพุทธะ พวกเธอจงเงี่ยโสตลงสดับ เราจะสอนอมฤตธรรมที่เราได้บรรลุ เราจะ
แสดงธรรม เมื่อพวกเธอปฏิบัติตามที่เราสอน ไม่นานนัก ก็จักกระทำให้แจ้ง
ซึ่งที่สุดพรหมจรรย์ อันเป็นคุณยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรออกจากเรือนไม่มีเรือน
บวชโดยชอบ มุ่งหมาย ด้วยความรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่. พวก
ภิกษุปัญจวัคคีย์กล่าวคัดค้านอยู่อย่างนี้ เราจึงได้กล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

425
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 426 (เล่ม 18)

เธอทั้งหลายจำได้หรือไม่ว่า คำอย่างนี้ เราได้เคยพูดมาแล้วแต่ก่อน พวกภิกษุ
ปัจวัคคีย์กล่าวว่า พระองค์ผู้เจริญ คำอย่างนี้พระองค์มิได้เคยตรัสเลย. เรา
จึงกล่าวว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตมิได้เป็นคนมักมาก มิได้คลายความ
เพียร เวียนมาเพื่อความเป็นคนมักมาก ตถาคตได้เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธะ
พวกเธอจงเงี่ยโสตลงสดับ เราจะสอนอมฤตธรรมที่เราได้บรรลุ เราจะแสดง
ธรรม เมื่อพวกเธอปฏิบัติตามที่เราสอน ไม่นานนัก ก็จักกระทำให้แจ้งซึ่งที่
สุดพรหมจรรย์อันเป็นคุณยอดเยี่ยมที่กุลบุตร ออกจากเรือนไม่มีเรือนบวชโดย
ชอบ มุ่งหมาย ด้วยความรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่. เราจึงสามารถให้
พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ยอมเข้าใจ. เรากล่าวสอนภิกษุทั้งสองรูป ภิกษุสามรูปก็เที่ยว
ไปบิณฑบาต เราทั้งหกรูปฉันบิณฑบาตที่ภิกษุสามรูปนำมา เรากล่าวสอนภิกษุ
สามรูป ภิกษุสองรูปก็เที่ยวไปบิณฑบาต เราทั้งหกรูปฉันบิณฑบาตที่ภิกษุ
สองรูปนำมา. ครั้งนั้น พวกภิกษุปัญจวัคคีย์ซึ่งเราโอวาทอนุศาสน์อยู่อย่างนี้ โดย
ตนเองเป็นผู้มีชาติเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชาติเป็นธรรมดา แสวง
หาจนได้บรรลุนิพพาน ที่ไม่เกิด หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ,
เป็นผู้มีชราเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีชราเป็นธรรมดา แสวงหาจนได้
บรรลุนิพพาน ที่ไม่แก่ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ, เป็นผู้มี
พยาธิเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีพยาธิเป็นธรรมดา แสวงหาจนได้
บรรลุนิพพาน ที่หาพยาธิมิได้ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ, เป็น
ผู้มีมรณะเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีมรณะเป็นธรรมดา แสวงหาจน
ได้บรรลุนิพพานที่ไม่ตาย หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ, เป็นผู้มี
โศกเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีโศกเป็นธรรมดา แสวงหาจนได้บรรลุ
นิพพาน ที่หาโศกมิได้ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ, เป็นผู้มีสั่ง
กิเลสเป็นธรรมดา ทราบชัดโทษในสิ่งมีสังกิเลสเป็นธรรมดา แสวงหาจนได้

426
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 427 (เล่ม 18)

บรรลุนิพพาน ที่ไม่เศร้าหมอง หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เกษมจากโยคะ. และ
พวกภิกษุปัญจวัคคีย์เหล่านั้นได้เกิดญาณทัสสนะขึ้นมาว่า วิมุตติของพวกเรา
ไม่กำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด ไม่มีภพใหม่ต่อไป.
[๓๒๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก้านคุณเหล่านั้นมี ๕ กามคุณ ๕ เป็น
ไฉน คือ รูปที่พึงรู้ได้ด้วยจักษุ ซึ่งเป็นที่นำปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ
น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงที่พึงทราบชัดได้ด้วย
โสต...กลิ่นที่พึงรู้สึกได้ด้วยฆานะ... รสที่พึงรู้ได้ด้วยชิวหา... โผฏฐัพพะที่
พึงรู้ได้ด้วยกาย ซึ่งเป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าชอบใจ น่ารัก ประกอบ
ด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กามคุณ ๕
เหล่านี้แล สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งใฝ่ฝัน ลุ่มหลง ติดพัน ไม่เห็นโทษ
ไม่มีปัญญาที่จะคิดนาตนออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้ สมณพราหมณ์
พวกนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้ถึงความเสื่อมความพินาศ ถูกมารผู้ใจบาป
กระทำได้ตามต้องการ.
อุปมาด้วยเนื้อ ๓ อย่าง
[๓๒๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า เนื้อป่าที่ติดบ่วงนอน
ทับกองบ่วง พึงทราบว่า เป็นสัตว์ถึงความเสื่อมความพินาศ ถูกพรานกระทำ
ได้ตามต้องการ เมื่อพรานเดินเข้ามา ก็หนีไปไม่ได้ ตามปรารถนา ฉันใด
สมณพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่งใฝ่ฝัน ลุ่มหลง ติดพัน ไม่เห็นโทษ ไม่มี
ปัญญาที่จะคิดนำตนออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้ สมณพราหมณ์พวก
นั้นบัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้ถึงความเสื่อมความพินาศ ถูกมารผู้ใจบาป
กระทำได้ตามต้องการ ฉันนั้น. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณ์พวกใด
พวกหนึ่งไม่ใฝ่ฝัน ไม่ลุ่มหลง ไม่ติดพัน เห็นโทษ มีปัญญาที่จะคิดนำ
ตนออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้ สมณพราหมณ์พวกนั้น บัณฑิตพึง
ทราบว่า เป็นผู้ไม่ถึงความเสื่อมความพินาศ ไม่ถูกมารผู้ใจบาปกระทำได้ตาม

427
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 428 (เล่ม 18)

ต้องการ. เหมือนอย่างว่า เนื้อป่าที่ไม่ติดบ่วง นอนทับกองบ่วง พึงทราบ
ว่า เป็นสัตว์ไม่ถึงความเสื่อมความพินาศ ไม่ถูกพรานกระทำได้ตามต้อง
การ เมื่อพรานเดินเข้ามา ก็หนีไปตามปรารถนา ฉันใด สมณพราหมณ์
พวกใดพวกหนึ่งไม่ใฝ่ฝันไม่ลุ่มหลง ไม่คิดพัน เห็นโทษ มีปัญญาที่จะคิดนำตน
ออก ย่อมบริโภคกามคุณ ๕ เหล่านี้ สมณพราหมณ์พวกนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า
เป็นผู้ไม่ถึงความเสื่อมความพินาศ ไม่ถูกมารผู้ใจบาปกระทำได้ตามต้องการ
ฉันนั้น.
อนึ่ง เหมือนอย่างว่า เนื้อป่า เมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่ ย่อมเดิน
ยืน นั่ง นอน เบาใจ เพราะพรานป่าไม่พบ ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น สงัด
จากกาม จากอกุศลธรรม ย่อมบรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและ
สุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ทำมารให้มืด ไม่มีร่องรอย ทำลายจักษุ
ของมาร ไม่ให้มารมองเห็น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุบรรลุทุติยฌานมีความ
ผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มี
วิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ทำมารให้มืด
ไม่มีร่องรอย ทำลายจักษุของมาร ไม่ให้มารมองเห็นรอย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังอีกข้อหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ
สัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยะ
ทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข ภิกษุนี้
เรียกว่า ได้ทำมารให้มืดไม่มีร่องรอยทำลายจักษุของมารไม่ให้มารมองเห็นรอย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุบรรลุจตุตถฌาน ไม่มี
ทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อน ๆ ได้ มี

428
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 429 (เล่ม 18)

อุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ทำมารให้มืด ไม่มีร่องรอย
ทำลายจักษุของมาร ไม่ให้มารมองเห็นรอย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุเข้าถึงอากาสานัญจาย-
ตนฌานว่า อากาศหาที่สุดมิได้ เพราะก้าวล่วงรูปสัญญา ดับปฏิฆสัญญา ไม่
มนสิการนานัตตสัญญาโดยประการทั้งปวงอยู่ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ทำมารให้มืด
ไม่มีร่องรอย ทำลายจักษุของมาร ไม่ให้มารมองเห็นรอย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุล่วงอากาสานัญจาย
ตนฌาน เสียโดยประการทั้งปวง เข้าถึงวิญญาณัญจายตนฌาน วิญญาณ
หาที่สุดมิได้อยู่ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ทำมารให้มืด ไม่มีร่องรอย ทำลายจักษุของ
มารไม่ให้มารมองเห็นรอย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุล่วงวิญญาณัญจาย
ตนฌานเสียโดยประการทั้งปวง เข้าถึงอากิญจัญญายตนฌานว่า อะไรหน่อยหนึ่ง
ไม่มีอยู่ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ทำมารให้มืด ไม่มีร่องรอย ทำลายจักษุของมาร
ไม่ให้มารมองเห็นรอย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุล่วงอากิญจัญญายตนฌาน
เสียโดยประการทั้งปวง เข้าถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานอยู่ ภิกษุนี้เรียกว่า
ได้ทำมารให้มืด ไม่มีร่องรอย ทำลายจักษุของมาร ไม่ให้มารมองเห็นรอย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังอีกข้อหนึ่ง คือ ภิกษุล่วงเนวสัญญานาสัญญาย
ตนฌานเสียโดยประการทั้งปวง เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ ก็แลเพราะเห็น
แม้ด้วยปัญญา เธอย่อมสิ้นอาสวะ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ทำมารให้มืด ไม่มีร่องรอย

429
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 430 (เล่ม 18)

ทำลายจักษุของมาร ไม่ให้มารมองเห็น. เป็นผู้ข้ามพ้นตัณหาเครื่องข้องในโลก
เสียได้ ย่อมเดิน ยืน นั่ง นอน อย่างเบาใจ เพราะมารมองไม่เห็น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้จบลงแล้ว ภิกษุเหล่านั้น
ชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.
จบ ปาสราสิสูตร ที่ ๖

430
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 431 (เล่ม 18)

อรรถกถาปาสราสิสูตร
ปาสราสิสูตรเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้:-
พึงทราบวินิจฉัยในปาสราสิสูตรนั้น บทว่า สาธุ มยํ อาวุโส ได้แก่
กล่าวขอร้อง. เล่ากันมาว่า ภิกษุชาวชนบทประมาณ ๕๐๐ เหล่านั้น คิดจะ
เฝ้าพระทศพล จึงไปถึงเมืองสาวัตถี. ก็ภิกษุเหล่านั้นได้เฝ้าพระศาสดาแล้ว
ยังมิได้ฟังธรรมีกถาก่อน. ด้วยความเคารพในพระศาสดา ภิกษุเหล่านั้นจึงไม่
สามารถจะกราบทูลว่า พระเจ้าข้าขอพระองค์โปรดแสดงธรรมีกถาแก่พวก
ข้าพระองค์เถิด. เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นครู ยากที่จะเข้าพบ เหมือน
พญาราชสีห์ ตัวเที่ยวไปตามลำพัง เหมือนกุญชรที่ตกมัน เหมือนอสรพิษที่แผ่
พังพาน เหมือนกองไฟใหญ่. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เข้าถึงได้ยาก
เหมือนงูพิษ เหมือนไกรสรราชสีห์
เหมือนพญาช้าง.
ภิกษุเหล่านั้นไม่อาจจะวิงวอนพระศาสดาผู้ที่เข้าพบได้ยาก อย่างนี้ด้วยตนเอง
จึงขอร้องท่านพระอานนท์ว่า สาธุ มยํ อาวุโส ดังนี้. บทว่า อปฺเปว นาม
ได้แก่ ไฉนหนอ พวกเราจะพึงได้.
ก็เพราะเหตุไร พระเถระจึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า พวกเธอพึงเข้า
ไปยังอาศรมของรัมมกพราหมณ์. เพราะมีกิริยาปรากฏ. เพราะกิริยาของพระ-
ทศพลย่อมปรากฏแก่พระเถระ. พระเถระทราบว่า วันนี้พระศาสดาประทับอยู่
ที่พระเชตวัน ทรงพักผ่อนกลางวันในปุพพาราม วันนี้เสด็จเข้าบิณฑบาต

431
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 432 (เล่ม 18)

ลำพังพระองค์ วันนี้แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เวลานี้เสด็จจาริกไปในชนบท.
ถามว่า ก็เจโตปริยญาณ ย่อมมีเพื่อให้ท่านรู้อย่างนี้ได้อย่างไร. ตอบว่าไม่มี.
ท่านรู้โดยถือนัยตามกิริยาที่ทำไว้โดยรู้ตามคาดคะเน. จริงอยู่ วันนั้นพระผู้มี
พระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน มีพระพุทธประสงค์จะทรงพักผ่อน
กลางวันในปุพพาราม ในเวลาใด ในเวลานั้น ทรงแสดงอาการ คือการ
เก็บงำเสนาสนะและเครื่องบริขาร. พระเถระเก็บงำไม้กวาดและสักการะที่เขา
ทิ้งไว้เป็นต้น. แม้ในเวลาที่ประทับอยู่ในปุพพารามแล้วเสด็จมาพระเชตวัน
พักกลางวันก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็คราวใดมีพระพุทธประสงค์จะเสด็จเที่ยวไป
บิณฑบาตตามลำพัง คราวนั้นก็จะทรงปฏิบัติสรีรกิจแต่เช้า เข้าพระคันธกุฏี
ปิดพระทวารเข้าผลสมาบัติ. พระเถระทราบด้วยสัญญานั้นว่า วันนี้พระผู้มี
พระภาคเจ้าประทับนั่งตรวจเหล่าสัตว์ที่ควรตรัสรู้ แล้วจึงให้สัญญาแก่ภิกษุ
ทั้งหลายว่า อาวุโสทั้งหลาย วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าประสงค์จะเข้าไปตาม
ลำพัง พวกท่านจงเตรียมภิกษาจาร. ก็คราวใดมีพระประสงค์จะมีภิกษุเป็น
บริวารเสด็จเข้าไป คราวนั้นจะทรงแง้มทวารพระคันธกุฏี ประทับนั่งเข้าผล
สมาบัติ. พระเถระทราบด้วยสัญญานั้น จึงให้สัญญาแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อรับ
บาตรจีวร. แต่คราวใด มีพระพุทธประสงค์จะเสด็จจาริกไปในชนบท คราวนั้น
จะเสวยเกินคำสองคำ และเสด็จจงกรมไป ๆ มา ๆ ทุกเวลา. พระเถระทราบ
ด้วยสัญญานั้น จึงให้สัญญาแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มี
พระภาคเจ้ามีพระพุทธประสงค์จะเสด็จจาริกไปในชนบท พวกท่านจงทำกิจที่
ควรทำของท่านเสีย. พระผู้มีพระภาคเจ้าในปฐมโพธิกาลประทับอยู่ไม่ประจำ
๒๐ พรรษา ภายหลังประทับประจำกรุงสาวัตถี ๒๕ พรรษาเลียด วันหนึ่ง ๆ
ทรงใช้สองสถาน. กลางคืนประทับอยู่ในพระเชตวัน รุ่งขึ้นแวดล้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าบิณฑบาตกรุงสาวัตถีทางประตูทิศใต้ เสด็จออกทางประตู

432