หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 383 (เล่ม 18)

เถระถือท่อนหนังไป. บทว่า ปิฏฺฐิโต ปิฏฺฐิโต แปลว่า ข้างหลัง ๆ. บทว่า
สีสานุโลกิ ความว่า ภิกษุใดเดินไปเห็นหลังในที่ดอน เห็นศีรษะในที่ลุ่ม
ภิกษุนี้เรียกว่า มองเห็นศีรษะ คือ ภิกษุเป็นเช่นนั้นติดตามไป. ก็พระ
เถระแม้เดินไปใกล้ชิดเพราะมีเสียงฝีเท้าที่ย่างไปก็ไม่ลำบากเพราะเสียงเท้า
แต่ท่านรู้ว่า นี้ไม่ใช่เวลาที่จะแสดงความบันเทิงกัน จึงไม่ไปใกล้ชิด
ธรรมดาอันธวันเป็นป่าใหญ่ คนที่มองไม่เห็นคนที่นั่งอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ต้อง
กระทำเสียงอันไม่ผาสุก (ตะโกน) ว่าผู้มีอายุ ปุณณะ ปุณณะ เพราะฉะนั้น
พระเถระ จึงอยู่ไม่ไกลนัก เพื่อจะรู้สถานที่ท่านนั่ง จึงเดินไปพอมองเห็น
ศีรษะ. บทว่า ทิวาวิหารํ นิสีทิ ได้แก่ นั่ง เพื่อประโยชน์แก่การพักกลางวัน.
ทั้ง ๒ ท่านนั้น ทั้งท่านปุณณะ ทั้งพระสารีบุตรเถระก็เป็นชาติแห่งอุทิจจ-
พราหมณ์ ทั้งพระปุณณะเถระ ทั้งพระสารีบุตรเถระ ก็มีวรรณะเหมือนทอง
ทั้งพระปุณณะเถระ ทั้งพระสารีบุตร ก็ถึงพร้อมด้วยสมาบัติ สัมปยุตด้วย
พระอรหัตตผล ทั้งพระปุณณะเถระ ก็ถึงพร้อมด้วยอภินิหารแสนกัปป์
ทั้งพระสารีบุตรเถระ. ก็ถึงพร้อมด้วยอภินิหารหนึ่งอสงไขย ยิ่งด้วยแสนกัปป์
ทั้งพระปุณณะเถระทั้งพระสารีบุตรเถระ ก็เป็นพระมหาขีณาสพผู้บรรลุ
ปฏิสัมภิทา. ดังนั้น จึงเป็นเหมือนราชสีห์สองตัวเข้าไปยังถ้ำทองถ้ำ
เดียวกัน เหมือนเสือโคร่งสองตัวลงสู่ที่สะบัดแข้ง สะบัดขาแห่งเดียวกัน เหมือน
พญาช้างฉัททันต์สองเชือกเข้าสู่สาลวันที่มีดอกบานดีแล้วแห่งเดียวกัน เหมือน
พญาสุบรรณสองตัวเข้าสู่ฉิมพลีวันแห่งเดียวกัน เหมือนท้าวเวสสวัณ สององค์
ประทับยานนรพาหนอันเดียวกัน เหมือนท้าวสักกะสององค์ ประทับร่วม
ปัณทุกัมพลแท่นเดียวกัน เหมือนท้าวหาริตมหาพรหมสององค์ ประทับอยู่
ภายในวิมานเดียวกัน พระมหาเถระนั้นเป็นชาติพราหมณ์ทั้งสองรูป มีวรรณะ
เหมือนทองทั้งสองรูป ได้สมาบัติทั้งสองรูป ถึงพร้อมด้วยอภินิหารทั้งสอง

383
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 384 (เล่ม 18)

รูป เป็นพระมหาขีณาสพ ผู้บรรลุปฎิสัมภิทาทั้งสองรูป เข้าไปไพรสณฑ์
เเห่งเดียวกัน ทำไพรสณฑ์นั้นให้สง่างาม.
บทว่า ภควติ โน อาวุโส พฺรหฺมจริยํ วุสฺสติ ความว่า ท่าน
พระสารีบุตรทั้งที่รู้อยู่ว่า ท่านพระปุณณะมันตานีบุตรนั้น อยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ถามเพื่อตั้งเรื่องขึ้นดังนี้ว่า ผู้มีอายุ ท่าน
อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเราหรือ.
จริงอยู่ เมื่อกถาแรกยังไม่ตั้งขึ้น กถาหลังก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระเถระ
จึงถามอย่างนี้. พระเถระก็กล่าวคล้อยตามว่า อย่างนั้นซิ ผู้มีอายุ. ครั้งนั้น
ท่านพระสารีบุตรใคร่จะฟังคำตอบปัญหาของท่านพระปุณณมันตานีบุตรนั้น จึง
ถามวิสุทธิ ๗ ตามลำดับว่า ผู้มีอายุ ท่านอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มี
พระภาคเจ้า เพื่อสีลวิสุทธิ หรือหนอ. เรื่องพิสดารของวิสุทธิ ๗ นั้น กล่าว
ไว้แล้วในคัมภีร์วิสุทธิมรรค. ก็เพราะเหตุที่การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ของผู้ที่
แม้ตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีลเป็นต้น ยังไม่ถึงที่สุด ฉะนั้น ท่านพระปุณณะจึง
ปฏิเสธทั้งหมดว่าไม่ใช่อย่างนี้ดอกผู้มีอายุ. บทว่า กิมตฺถํ จรหาวุโส ความว่า
ท่านพระสารีบุตรถามว่า ผิว่า ท่านไม่อยู่ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อประโยชน์
แก่สีลวิสุทธิเป็นต้น เมื่อเป็นดังนั้น ท่านอยู่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่ออันใดเล่า.
ปรินิพพานที่หาปัจจัยมิได้ ชื่อว่า อนุปาทาปรินิพพาน ในคำว่า อนุปาทา-
ปรินิพฺพานตฺถํ โข อาวุโส อุปาทานมี ๒ ส่วน คือ คหณุปาทาน ๑
ปัจจยุปาทาน ๑. อุปาทาน ๔ อย่าง มีกามุปาทานเป็นต้น ชื่อว่า คหณุปาทาน.
ปัจจัยที่กล่าวแล้วอย่างนี้ว่า สังขารเกิดมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย ชื่อว่า ปัจจยุ
ปาทาน. บรรดาอุปาทานเหล่านั้น อาจารย์ทั้งหลายผู้ถือคหณุปาทาน เรียก
อรหัตตผลที่ไม่ยึดถือธรรมอะไร ๆ แม้ด้วยอุปาทาน ๔ อย่างใดอย่างหนึ่งเป็น
ไปว่า อนุปาทาปรินิพพาน ในคำนี้ ว่า อนุปาทาปรินิพพานํ. จริงอยู่

384
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 385 (เล่ม 18)

พระอรหัตผลนั้น หาประกอบด้วยอุปาทาน ยึดธรรมอะไรไม่ และท่าน
กล่าวว่าปรินิพพาน เพราะเกิดในที่สุดแห่งกิเลสปรินิพพาน. ส่วนอาจารย์ผู้ถือ
ปัจจยุปาทาน เรียกปรินิพพานที่หาปัจจัยมิได้ ที่ไม่เกิดขึ้นโดยปัจจัย ที่ปัจจัย
ไม่ปรุงแต่ง ได้แก่อมตธาตุนั่นเอง ว่าอนุปาทาปรินิพพาน ในคำว่า
อนุปาทาปรินิพพาน. นี้เป็นที่สุด นี้เป็นเงื่อนปลาย นี้เป็นที่จบ ด้วยว่า การอยู่
จบพรหมจรรย์ ของผู้ถืออปัจจยปรินิพพานย่อมชื่อว่า ถึงที่สุด เพราะฉะนั้น
พระเถระจึงกล่าวว่า อนุปาทาปรินิพพาน.
ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรผู้ประกอบเนือง ๆ ซึ่งอนุปาทาปรินิพพาน
นั้น เริ่มถามอีกว่า ผู้มีอายุ สีลวิสุทธิ หรือชื่อว่า อนุปาทาปรินิพพาน. ฝ่าย
พระเถระปฎิเสธคำนั้นทั้งหมดในปริวัฏ คือรอบทั้งหลายอย่างนั้นเหมือนกัน
เมื่อแสดงโทษในที่สุด จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สีลวิสุทฺธิญฺเจ อาวุโส. บรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า ปญฺญเปยฺย แปลว่า ถ้าพึงบัญญัติไซร้. บทว่า สอุปาทานํ
เยว สมานํ อนุปาทาปรินิพพานํ ปญฺญเปยฺย ความว่า พึงบัญญัติเฉพาะ
สคหณธรรมว่า นิคคหณธรรม พึงบัญญัติ เฉพาะสปัจจยธรรม ว่าอปัจจยธรรม
พึงบัญญัติ เฉพาะสังขตธรรมว่า อสังขตธรรม. ก็พึงถือเนื้อความในญาณ
ทัสสนวิสุทธิ์อย่างนี้ว่า พึงบัญญัติเฉพาะสัปปัจจัยธรรมว่า อปัจจัยธรรม พึง
บัญญัติเฉพาะสังขตธรรมว่า อสังขตธรรม. พึงเห็นโลกิยพาลปุถุชน ผู้เดิน
ไปตามวัฏฏะ ในคำว่า ปุถุชฺชโน หาวุโส นี้. จริงอยู่ ปุถุชนนั้นเว้นธรรม
เหล่านี้โดยประการทั้งปวง เพราะแม้เพียง จตุปาริสุทธิศีลก็ไม่มี. บทว่า เตนหิ
ความว่า บัณฑิตบางพวกย่อมรู้ทั่วถึงอรรถได้โดยอุปมา ด้วยเหตุใด ด้วยเหตุนั้น
เราจึงอุปมาแก่ท่าน. บทว่า สตฺต รถวินีตานิ ได้แก่ รถ ๗ ผลัด ที่เทียม
ด้วยม้าอาชาไนย ที่ฝืกแล้ว. บทว่า ยาวเทว จิตฺตวิสุทฺธตฺถา ความว่า
ท่านผู้มีอายุ ชื่อว่า สีลวิสุทธินี้ย่อมมีเพียงเพื่อประโยชน์แห่งจิตตวิสุทธิ. บทว่า
จิตฺตวิสุทฺธตฺถา นี้เป็นปัญจมีวิภัตติ. ก็ในข้อนี้ มีใจความดังต่อไปนี้

385
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 386 (เล่ม 18)

ประโยชน์กล่าวคือจิตตวิสุทธิ มีอยู่เพียงใด ชื่อว่า สีลวิสุทธินี้ ก็พึงปรารถนา
เพียงนั้น ก็จิตตวิสุทธินี้นั้น เป็นประโยชน์ของสีลวิสุทธิ นี้เป็นที่สุด นี้เป็น
เบื้องปลาย จริงอยู่ ผู้ตั้งอยู่ในจิตตวิสุทธิย่อมชื่อว่า ทำกิจแห่งสีลวิสุทธิ.
ในบททั้งปวงก็นัยนี้.
ในข้อนี้มีการเทียบเคียงด้วยข้ออุปมาดังต่อไปนี้ พระโยคาวจรผู้
ขลาดกลัวต่อชรา และมรณะ พึงเห็นเหมือนพระเจ้าปเสนทิโกศล สักกายนคร
พึงเห็นเหมือนสาวัตถีนคร นครคือพระนิพพาน พึงเห็นเหมือนนครสาเกต
เวลาที่พระโยคีเกิด คือการตรัสรู้อริยสัจจ์ ๔ ที่ยังไม่รู้ พึงเห็นเหมือนเวลา
พระราชาผู้นำความเจริญ กิจรีบด่วนที่จะพึงรีบไปถึงเมืองสาเกต วิสุทธิ ๗
พึงเห็น เหมือนรถ ๗ ผลัด เวลาที่ตั้งอยู่ในสีลวิสุทธิ พึงเห็นเหมือนเวลาขึ้น
รถผลัดที่หนึ่ง เวลาที่ตั้งอยู่ในจิตตวิสุทธิเป็นต้น โดยสีลวิสุทธิเป็นต้น พึงเห็น
เหมือนเวลาที่ขึ้นสู่รถผลัดที่ ๒ โดยรถผลัดที่ ๑ เป็นต้น เวลาที่พระโยคาวจร
ทำกิเลสทั้งปวงให้สิ้นไปด้วยญาณทัสสนวิสุทธิ แล้วขึ้นไปบนปราสาท คือธรรม
ประเสริฐ ผู้มีกุศลธรรม ๕๐ เป็นเบื้องหน้าเป็นบริวาร เข้าผลสมาบัติอันมี
พระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วนั่งในที่นอนคือ นิโรธ พึงเห็นเหมือนเวลาที่
เสวยโภชนะมีรสดีของพระราชาผู้เสด็จลงที่ภายในประตูเมืองสาเกตด้วยรถผลัด
ที่ ๗ แล้วแวดล้อมไปด้วยหมู่ญาติมิตร ณ. เบื้องบนปราสาท.
พระธรรมเสนาบดี สารีบุตร ถามถึงวิสุทธิ ๗ กะท่านพระปุณณะ
ผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ ประการ ด้วยประการฉะนี้. ท่านพระปุณณะก็วิสัชชนากถา
วัตถุ ๑๐ ประการ.
ก็พระธรรมเสนาบดีเมื่อถามอย่างนี้ รู้หรือไม่รู้จึงถาม ก็หรือว่า
ท่านเป็นผู้ฉลาดในลัทธิ จึงถามในวิสัย หรือไม่ฉลาดในลัทธิ จึงถามในอวิสัย
ฝ่ายพระปุณณเถระ รู้หรือไม่รู้จึงวิสัชชนา ก็หรือว่า ท่านเป็นผู้ฉลาดในลัทธิ
จึงวิสัชชนาในวิสัย หรือไม่ฉลาดในลัทธิ จึงวิสัชชนาในอวิสัย. ก็ท่านพระธรรม

386
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 387 (เล่ม 18)

เสนาบดีสารีบุตรรู้เป็นผู้ฉลาดในลัทธิ จึงถามในวิสัย เพราะฉะนั้น ท่านพระ-
ปุณณะเมื่อกล่าวจึงกล่าวกะพระธรรมเสนาบดีเท่านั้น ท่านพระปุณณะรู้ เป็น
ผู้ฉลาดในลัทธิจึงแก้ในวิสัย เพราะฉะนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
เมื่อกล่าว พึงกล่าวกะท่านพระปุณณะเท่านั้น. ก็ข้อที่ท่านย่อไว้ในวิสุทธิทั้งหลาย
ท่านก็ให้พิสดารแล้วในกถาวัตถุทั้งหลาย ข้อที่ท่านย่อไว้ในกถาวัตถุทั้งหลาย
ท่านก็ให้พิสดารแล้วในวิสุทธิทั้งหลาย ข้อนั้นพึงทราบโดยนัยนี้. จริงอยู่
ในวิสุทธิทั้งหลาย สีลวิสุทธิอย่างเดียวก็มาเป็นกถาวัตถุ ๔ คือ อัปปิจฉกถา
สันตุฏฐิกถา อสังสัคคกถา สีลกถา. จิตตวิสุทธิอย่างเดียวก็มาเป็นกถาวัตถุ ๓
คือ ปวิเวกกถา วิริยารัมภกถา สมาธิกถา. อันดับแรกข้อที่ท่านย่อไว้ใน
วิสุทธิทั้งหลาย ท่านก็ให้พิสดารแล้วในกถาวัตถุทั้งหลายด้วยประการฉะนี้. ส่วน
บรรดากถาวัตถุทั้งหลาย ปัญญากถาอย่างเดียวมาเป็นวิสุทธิ ๕ คือ ทิฏฐิวิสุทธิ
กังขาวิตรณวิสุทธิ มัคคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
ญาณทัสสนวิสุทธิ. ข้อที่ท่านย่อไว้ในกถาวัตถุ ท่านให้พิสดารแล้วในวิสุทธิ
ทั้งหลายด้วยประการฉะนี้. เพราะฉะนั้น พระสารีบุตรเถระ เมื่อถามวิสุทธิ ๗
ไม่ถามอย่างอื่น ถามเฉพาะกถาวัตถุ ๑๐ เท่านั้น. ฝ่ายพระปุณณเถระ เมื่อจะ
วิสัชชนาวิสุทธิ ๗ ก็ไม่วิสัชชนาอย่างอื่น วิสัชชนาเฉพาะกถาวัตถุ ๑๐ เท่านั้น.
แม้ท่านทั้ง ๒ นั้น รู้แล้วเป็นผู้ฉลาดในลัทธิ พึงทราบว่า ถามและวิสัชชนา
ปัญหาในวิสัย เท่านั้น.
บทว่า โก นาม อายสฺมา ความว่า พระเถระไม่รู้ชื่อของท่าน ก็หามิได้
แต่เมื่อรู้ก็ถาม ด้วยหมายจะได้ความบรรเทิง. ก็พระเถระเมื่อจะบรรเทิงจึงกล่าว
คำนี้ว่า กถญฺจ ปน อายสฺมนฺตํ. บทว่า มนฺตานีปุตฺโต ได้แก่ เป็น
บุตรของนางพรหมณี ชื่อว่า มันตานี. บทว่า ตํ ในคำว่า ยถาตํ นี้ เป็น
เพียงนิบาต. ความสังเขปในข้อนี้มีดังนี้ว่า ท่านพยากรณ์แล้ว เหมือนอย่าง
พระสาวกผู้สดับพยากรณ์. บทว่า อนุมสฺส อนุมสฺส คือยังกำหนดกถาวัตถุ ๑๐.

387
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 388 (เล่ม 18)

ผ้าโพกคือ เทริด เรียกว่า เวละ ในคำว่า เวลญฺฑุเกน ถ้าหากเพื่อน
พรหมจารีทั้งหลายให้ท่านนั่งในที่นั้น บริหารผ้าโพกอยู่บนศีรษะ ก็จะพึงได้
เห็น แม้การเห็นที่ได้แท้อย่างนี้ก็เป็นลาภของเพื่อนพรหมจารีทีเดียว เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงแสดงอุบายแห่งการเห็นเนือง ๆด้วยการกำหนดที่อันไม่ใช่ฐานะ.
ก็พระเถระเมื่อไม่บริหารอย่างนี้ ต้องการจะถามปัญหา หรือต้องการจะฟังธรรม
แสวงหาอยู่ว่า พระเถระยืนที่ไหน นั่งที่ไหน จะพึงประพฤติ. แต่เมื่อบริหาร
อย่างนี้ ก้มศีรษะลงในขณะที่ต้องการให้พระเถระนั่งบนอาสนะ ที่สมควรอย่าง
ใหญ่ จึงอาจถามปัญหา หรือฟังธรรมได้. ท่านจึงแสดงอุบายแห่งการเห็นเนืองๆ
ด้วยการกำหนดสิ่งซึ่งมิใช่ฐานะด้วยประการฉะนี้. บทว่า สารีปุตฺโตติ จ ปน มํ
ความว่า ก็แลเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายรู้จักเราอย่างนี้ว่า เป็นบุตรของนาง
พรหมณี ชื่อว่าสารี. บทว่า สตฺถุกปฺเปน ได้แก่ เสมือนพระศาสดา.
ท่านพระปุณณะยกพระสารีบุตรเถระ. ประดุจตั้งไว้จดจันทรมณฑลด้วยบทเดียว
เท่านั้น ด้วยประการฉะนี้. จริงอยู่ ความที่พระเถระเป็นพระธรรมกถึก โดย
ส่วนเดียวปรากฏแล้วในที่นี้ ก็เมื่อเรียกอมาตย์ว่าผู้ใหญ่ พึงเรียกว่า เสมือน
พระราชา เรียกโค ว่าขนาดเท่าช้าง เรียกว่าบึงขนาดเท่ามหาสมุทร เรียก
แสงสว่างว่าขนาดเท่าแสงสว่างของดวงจันทร์ดวงอาทิตย์. ต่อแต่นั้น ก็ไม่มี
การเรียกเพื่อนพรมณจารีเหล่านั้นว่าใหญ่. เมื่อจะเรียกแม้พระสาวกว่าใหญ่
ก็พึงเรียกว่าเทียบเท่าพระพุทธเจ้า. ต่อแต่นั้น ก็ไม่มีพระเถระนั้นเป็นใหญ่.
ท่านพระปุณณะ ยกพระเถระเหมือนตั้งไว้จรดจันทรมณฑล ด้วยบทเดียวเท่า
นั้น ด้วยประการฉะนี้.
ในคำว่า เอตฺตกํปิ โน นปฺปฏิภาเสยฺย นี้มีอธิบายอย่างนี้ว่า ไม่
มีความไม่มีไหวพริบสำหรับพระเถระ ผู้ไม่ประมาท ซึ่งบรรลุปฏิสัมภิทา ก็
ข้ออุปมานี้อันใด ท่านนำมาแล้ว ไม่ควรนำข้ออุปมานั้นมา ควรกล่าวแต่ใจ

388
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 389 (เล่ม 18)

ความเท่านั้น แต่จะนำข้ออุปมามาได้ ก็สำหรับผู้ไม่รู้ด้วยอุปมาทั้งหลาย แต่
ในอรรถกถา ท่านปฏิเสธข้อนี้กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า ข้ออุปมา นำมาได้แม้ใน
สำนักของพระพุทธะทั้งหลาย ก็ท่านยำเกรงพระเถระ จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า
อนุมสฺส อนุมสฺส ปุจฺฉิตา ได้แก่กำหนดไว้ถนัดถนี่ ถามกถาวัตถุ ๑๐.
ถามว่า ก็การปุจฉาหรือวิสัชชนาปัญหา เป็นของหนัก. ตอบว่า การเล่าเรียน
แล้วปุจฉา ไม่หนัก ส่วนการวิสัชชนาหนัก ทั้งปุจฉา ทั้งวิสัชชนา มีเหตุหรือ
มีการณ์ ก็หนักทั้งนั้น. บทว่า สมฺโมทึสุ ได้แก่มีจิตเสมอกัน บันเทิง.
เทศนาจบลงตามลำดับ อนุสนธิ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาวินีตสูตรที่ ๔

389
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 390 (เล่ม 18)

๕. นิวาปสูตร
[๓๐๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้น พระองค์ตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พรานเนื้อมิได้ปลูกหญ้าไว้สำหรับ
ฝูงเนื้อด้วยคิดว่า เมื่อฝูงเนื้อกินหญ้าที่เราปลูกไว้นี้ จะมีอายุยั่งยืน มีผิวพรรณ
มีชีวิตอยู่ยืนนาน โดยที่แท้ พรานเนื้อปลูกหญ้าไว้สำหรับฝูงเนื้อ ด้วยมีความ
ประสงค์ว่า ฝูงเนื้อเข้ามาสู่ป่าหญ้าที่เราปลูกไว้นี้แล้ว จักลืมตัวกินหญ้า เมื่อ
เข้ามาแล้วลืมตัวกินหญ้าก็จักมัวเมา เมื่อมัวเมา ก็จักประมาท เมื่อประมาท
ก็จักถูกเราทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านี้.
[๓๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาฝูงเนื้อเหล่านั้น ฝูงเนื้อฝูงแรก
เข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อเข้าไปแล้วลืม
ตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อ
ทำเอาได้ตามซอบใจในป่าหญ้านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝูงเนื้อฝูงแรกนั้นก็ไม่รอด
พ้นอำนาจของพรานเนื้อได้.
[๓๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝูงเนื้อฝูงที่สอง คิดเห็นร่วมกันอย่าง
นี้ว่า ฝูงเนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้าอยู่
เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท เมื่อประมาท
ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝูงเนื้อฝูง
แรกก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้ ถ้ากระไร เราต้องเว้นจากการกิน
หญ้าเสียทั้งสิ้น เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ต้องเข้าไปอยู่ตามราวป่า

390
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 391 (เล่ม 18)

ครั้นคิดดังนี้แล้วจึงเว้นจากการกินหญ้าเสียทั้งสิ้น เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่
เป็นภัยแล้ว ก็เข้าไปอยู่ตามราวป่า. ครั้นถึงเดือนท้ายฤดูคิมหันต์ เป็นเวลาที่
สิ้นหญ้าและน้ำ ฝูงเนื้อเหล่านั้นก็มีร่างกายซูบผอม เมื่อมีร่างกายซูบผอม
กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป เมื่อกำลังเรี่ยวแรงหมดไป จึงพากันกลับมาสู่ป่าหญ้า
ที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้นอีกฝูงเนื้อเหล่านั้นพากันเข้าไปในป่าหญ้านั้น ลืมตัว
กินหญ้าอยู่ เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท
เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้
แม้ฝูงเนื้อฝูงที่สองนั้น ก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อได้.
อุปมาฝูงเนื้อฝูงที่สาม
[๓๐๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝูงเนื้อฝูงที่สาม คิดเห็นร่วมกันอย่าง
นี้ว่า ฝูงเนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้า
อยู่ เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท เมื่อ
ประมาท ก็ถูกพรานเนื้อทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้
เนื้อฝูงแรกนั้นก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้ อนึ่ง ฝูงเนื้อฝูงที่สองก็
คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า ฝูงเนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ
ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อเข้าไปแล้วลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็
ประมาท เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อ ทำเอาได้ตามชอบใจในป่าหญ้า
นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เนื้อฝูงแรกนั้นก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานไปได้. ถ้า
กระไร เราต้องเว้นจากการกินหญ้าเสียทั้งสิ้น เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่เป็น
ภัยแล้ว ต้องเข้าไปอยู่ตามราวป่า ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงเว้นจากการกินหญ้า
เสียทั้งสิ้น เมื่อเว้นจากการกินหญ้าที่เป็นภัยแล้ว ก็เข้าไปอยู่ตามราวป่า ครั้นถึง
เดือนท้ายฤดูคิมหันต์ เป็นเวลาที่สิ้นหญ้าและน้ำ ฝูงเนื้อเหล่านั้นก็มีร่างกาย
ซูบผอม เมื่อมีร่างกายซูบผอม กำลังเรี่ยวแรงก็หมดไป เมื่อกำลังเรี่ยวแรง
หมดไปจึงพากันกลับมาสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้นอีก ฝูงเนื้อ

391
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 392 (เล่ม 18)

เหล่านั้นพากันเข้าไปในป่าหญ้านั้น ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อเข้าไปแล้วลืม
ตัวกินหญ้าอยู่ ก็มัวเมา เมื่อมัวเมา ก็ประมาท เมื่อประมาท ก็ถูกพรานเนื้อ
ทำเอาได้ตามใจในป่าหญ้านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝูงเนื้อฝูงที่สองนั้น ก็ไม่รอดพ้น
อำนาจของพรานเนื้อไปได้ ถ้ากระไร เราต้องซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ป่าหญ้าที่ปลูก
ไว้ของพรานเนื้อนั้น ครั้นซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ป่าหญ้านั้นแล้ว เราจะไม่เข้าไป
สู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น จักไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อไม่เข้าไปแล้ว
ไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ ก็จักไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็จักไม่ประมาท เมื่อไม่
ประมาท ก็จักไม่ถูกพรานเนื้อทำได้ตามชอบใจในป่าหญ้านั้น. ครั้นคิดดังนี้แล้ว
ฝูงเนื้อเหล่านั้น ก็เข้าไปซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อนั้น
ครั้นเข้าไปซุ่มอาศัยอยู่ใกล้ ๆ ป่าหญ้านั้นแล้ว ก็ไม่เข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้
ของพรานเนื้อนั้น ไม่ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อไม่เข้าไปในป่าหญ้านั้น ไม่ลืม
ตัวกินหญ้าอยู่ ก็ไม่มัวเมา เมื่อไม่มัวเมา ก็ไม่ประมาท เมื่อไม่ประมาท
ก็ไม่ถูกพรานเนื้อทำเอาตามชอบใจในป่าหญ้านั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทีนั้น
พรานเนื้อกับบริวารได้คิดว่า ฝูงเนื้อฝูงที่สามนี้คงเป็นสัตว์แกมโกงคล้ายกับมี
ฤทธิ์ ไม่ใช่สัตว์ธรรมดา จึงกินหญ้าที่ปลูกไว้นี้ได้ เราไม่ทราบทางมาทางไป
ของพวกมัน อย่ากระนั้นเลย เราต้องเอาตาข่ายขัด ไม้หลาย ๆ อัน ล้อม
ป่าหญ้าที่ปลูกไว้นี้ให้รอบไปทั้งป่า บางทีเราจะพบที่อยู่ของฝูงเนื้อฝูงที่สามใน
ที่ซึ่งเราจะไปจับเอาได้. ครั้นคิดฉะนี้แล้ว พวกเขาก็ช่วยกันเอาตาข่ายขัดไม้
เป็นอันมาก ล้อมป่าหญ้าที่ปลูกไว้นั้นรอบไปทั้งป่า. พรานเนื้อกับบริวารก็ได้
พบที่อยู่ของฝูงเนื้อฝูงที่สามในที่ซึ่งเขาไปจับเอาได้แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ฝูง
เนื้อฝูงที่สามนั้นก็ไม่รอดพ้นอำนาจของพรานเนื้อไปได้.
อุปมาฝูงเนื้อฝูงที่สี่
[๓๐๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฝูงเนื้อฝูงที่สี่ คิดเห็นร่วมกันอย่างนี้ว่า
ฝูงเนื้อฝูงแรกเข้าไปสู่ป่าหญ้าที่ปลูกไว้ของพรานเนื้อ ลืมตัวกินหญ้าอยู่ เมื่อ

392