บทว่า อารทฺธวิริโย ได้แก่ ประคองความเพียร อธิบายว่า มี
ความเพียรทางกายและทางใจ บริบูรณ์. จริงอยู่ ภิกษุใด กิเลสเกิดขึ้นใน
ขณะเดิน ก็ไม่ยอมยืน (หยุด) กิเลสเกิดขึ้นในขณะยืน ก็ไม่ยอมนั่ง กิเลส
เกิดขึ้นในขณะนั่ง ก็ไม่ยอมนอน ย่อมเที่ยวไป เหมือนร่ายมนต์บังคับงูเห่า
จับไว้ และเหมือนเหยีอบคอศัตรู ภิกษุนี้ชื่อว่า ผู้ปรารภความเพียร. พระเถระ
ก็เป็นเช่นนั้น สอนเรื่องปรารภความเพียรแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนั้นเหมือนกัน.
จตุปาริสุทธิศีล ชื่อว่า ศีล ในคำว่า สีลสมฺปนฺโน เป็นต้น. สมาบัติ ๘
เป็นบาทของวิปัสสนา ชื่อว่าสมาธิ. ญาณที่เป็นโลกิยะ และโลกุตตระชื่อว่า
ปัญญา. วิมุตติที่เป็นอริยผล ชื่อว่า วิมุตติ. ปัจจเวกขณญาณ ๑๙ ชื่อว่า
ญาณทัสสนะ. พระเถระสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นต้น สอนเรื่องศีลเป็นต้นแม้แก่
ภิกษุทั้งหลาย. พระมันตานีบุตรนี้นั้น ชื่อว่า โอวาทกะ เพราะโอวาทด้วยกถา-
วัตถุ ๑๐ ภิกษุรูปหนึ่งย่อมสอนตนได้อย่างเดียว ไม่สามารถจะยักเยื้องข้อความที่
ละเอียดให้คนอื่นรู้ได้อย่างใด พระเถระไม่เป็นอย่างนั้น. แต่พระเถระชื่อว่า
วิญญาปกะ เพราะทำผู้อื่นให้รู้กถาวัตถุ ๑๐ เหล่านั้นด้วย. ภิกษุรูปหนึ่งสามารถ
ทำผู้อื่นให้รู้ ไม่สามารถจะแสดงเหตุได้. พระเถระชื่อว่า สันทัสสกะ เพราะ
แสดงเหตุได้ด้วย. ภิกษุรูปหนึ่งแสดงเหตุที่มีอยู่ แต่ไม่สามารถจะให้เขาเชื่อถือ
ได้. พระเถระชื่อว่า สมาทปกะ เพราะสามารถให้เขาเธอถือได้. ก็พระเถระชื่อ
ว่า สมุตเตชกะ เพราะครั้นชวนเขาอย่างนั้นแล้ว ทำภิกษุทั้งหลายให้อาจหาญ
โดยทำให้เกิดอุตสาหะในกถาวัตถุเหล่านั้น. ชื่อว่า สัมปหังสกะ เพราะ
สรรเสริญภิกษุที่เกิดอุตสาหะแล้วทำให้ร่าเริง. บทว่า สุลทฺธลาภา ได้แก่
ย่อมชื่อว่าได้คุณมีอัตภาพเป็นมนุษย์และบรรพชาเป็นต้น ของภิกษุแม้เหล่าอื่น
อธิบายว่า คุณธรรมเหล่านี้เป็นลาภอย่างดีของท่านปุณณะผู้ซึ่งมีชื่อเสียงขจรไป
อย่างนี้ ต่อพระพักตร์ของพระศาสดา. อนึ่ง การกล่าวสรรเสริญโดยผู้มิใช่บัณฑิต