หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 373 (เล่ม 18)

บทว่า อารทฺธวิริโย ได้แก่ ประคองความเพียร อธิบายว่า มี
ความเพียรทางกายและทางใจ บริบูรณ์. จริงอยู่ ภิกษุใด กิเลสเกิดขึ้นใน
ขณะเดิน ก็ไม่ยอมยืน (หยุด) กิเลสเกิดขึ้นในขณะยืน ก็ไม่ยอมนั่ง กิเลส
เกิดขึ้นในขณะนั่ง ก็ไม่ยอมนอน ย่อมเที่ยวไป เหมือนร่ายมนต์บังคับงูเห่า
จับไว้ และเหมือนเหยีอบคอศัตรู ภิกษุนี้ชื่อว่า ผู้ปรารภความเพียร. พระเถระ
ก็เป็นเช่นนั้น สอนเรื่องปรารภความเพียรแก่ภิกษุทั้งหลายอย่างนั้นเหมือนกัน.
จตุปาริสุทธิศีล ชื่อว่า ศีล ในคำว่า สีลสมฺปนฺโน เป็นต้น. สมาบัติ ๘
เป็นบาทของวิปัสสนา ชื่อว่าสมาธิ. ญาณที่เป็นโลกิยะ และโลกุตตระชื่อว่า
ปัญญา. วิมุตติที่เป็นอริยผล ชื่อว่า วิมุตติ. ปัจจเวกขณญาณ ๑๙ ชื่อว่า
ญาณทัสสนะ. พระเถระสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นต้น สอนเรื่องศีลเป็นต้นแม้แก่
ภิกษุทั้งหลาย. พระมันตานีบุตรนี้นั้น ชื่อว่า โอวาทกะ เพราะโอวาทด้วยกถา-
วัตถุ ๑๐ ภิกษุรูปหนึ่งย่อมสอนตนได้อย่างเดียว ไม่สามารถจะยักเยื้องข้อความที่
ละเอียดให้คนอื่นรู้ได้อย่างใด พระเถระไม่เป็นอย่างนั้น. แต่พระเถระชื่อว่า
วิญญาปกะ เพราะทำผู้อื่นให้รู้กถาวัตถุ ๑๐ เหล่านั้นด้วย. ภิกษุรูปหนึ่งสามารถ
ทำผู้อื่นให้รู้ ไม่สามารถจะแสดงเหตุได้. พระเถระชื่อว่า สันทัสสกะ เพราะ
แสดงเหตุได้ด้วย. ภิกษุรูปหนึ่งแสดงเหตุที่มีอยู่ แต่ไม่สามารถจะให้เขาเชื่อถือ
ได้. พระเถระชื่อว่า สมาทปกะ เพราะสามารถให้เขาเธอถือได้. ก็พระเถระชื่อ
ว่า สมุตเตชกะ เพราะครั้นชวนเขาอย่างนั้นแล้ว ทำภิกษุทั้งหลายให้อาจหาญ
โดยทำให้เกิดอุตสาหะในกถาวัตถุเหล่านั้น. ชื่อว่า สัมปหังสกะ เพราะ
สรรเสริญภิกษุที่เกิดอุตสาหะแล้วทำให้ร่าเริง. บทว่า สุลทฺธลาภา ได้แก่
ย่อมชื่อว่าได้คุณมีอัตภาพเป็นมนุษย์และบรรพชาเป็นต้น ของภิกษุแม้เหล่าอื่น
อธิบายว่า คุณธรรมเหล่านี้เป็นลาภอย่างดีของท่านปุณณะผู้ซึ่งมีชื่อเสียงขจรไป
อย่างนี้ ต่อพระพักตร์ของพระศาสดา. อนึ่ง การกล่าวสรรเสริญโดยผู้มิใช่บัณฑิต

373
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 374 (เล่ม 18)

ไม่เป็นลาภอย่างนั้น ส่วนการสรรเสริญโดยบัณฑิต เป็นลาภ อีกอย่างหนึ่ง
การสรรเสริญโดยคฤหัสถ์ก็ไม่เป็นลาภอย่างนั้น. ก็คฤหัสถ์คิดว่า เราจักสรรเสริญ
กำลังกล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าของเราเป็นผู้มีวาจาละเอียดอ่อน มีวาจาน่าคบเป็น
สหาย มีวาจาไพเราะ สงเคราะห์ผู้ที่มาวิหารด้วยข้าวต้มข้าวสวย และน้ำอ้อย
เป็นต้น เท่ากับพูดติเตียนนั่นเอง. คฤหัสถ์คิดว่าเราจักติเตียน พูดว่า พระเถระนี้
เป็นเหมือนคนปัญญาอ่อน เป็นเหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง เป็นเหมือนคนหน้านิ่ว
คิ้วขมวด ไม่มีความคุ้นเคยกับพระเถระนี้ เท่ากับสรรเสริญนั่นเอง. แม้เพื่อน
พรหมจารีพูดสรรเสริญลับหลังพระศาสดา ก็ไม่เป็นลาภอย่างนั้น ส่วนผู้
สรรเสริญเฉพาะพระพักตร์พระศาสดา เป็นลาภอย่างยิ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงอาศัยอำนาจประโยชน์แม้ดังกล่าวมาฉะนี้จึงตรัสว่า สุลทฺธลาโภ ดังนี้.
บทว่า อนุมสฺส อนุมสฺส ได้แก่ กำหนดเจาะจงกถาวัตถุ ๑๐. บทว่า
ตญฺจ สตฺถา อพฺภนุโมทติ ความว่า พระศาสดาทรงอนุโมทนาคุณของภิกษุ
นั้นนั้น คือ คุณนั้นอย่างนี้ว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้มักน้อย และเป็นผู้สันโดษ.
ท่านหมายเอาลาภ ๕ อย่างนี้ คือ การที่ผู้รู้สรรเสริญเป็นลาภอย่างหนึ่ง การที่
เพื่อนพรหมจารีสรรเสริญ เป็นลาภอย่างหนึ่ง การที่เพื่อนพรหมจารีสรรเสริญ
เฉพาะพระพักตร์พระศาสดาเป็นลาภอย่างหนึ่ง การกำหนดเจาะจงกถาวัตถุ ๑๐
เป็นลาภอย่างหนึ่ง การที่พระศาสดาทรงอนุโมทนาอย่างยิ่ง เป็นลาภอันหนึ่ง
จึงกล่าวว่า สุลทฺธลาภา ดังนี้ด้วยประการฉะนี้. บทว่า กทาจิ คือในกาล
บางคราว. บทว่า กรหจิ เป็นไวพจน์ของบทว่า กทาจิ นั่นเอง. บทว่า
อปฺเปว นาม สิยา โกจิเทว กถาสลฺลาโป ได้แก่ไฉนหนอ แม้การเจรจา
อวดอ้างบางอย่างจะพึงมี. เขาว่า พระเถระไม่เคยเห็นท่านพระปุณณะมาเลย
ไม่เคยสดับธรรมกถาของท่าน ดังนั้น ท่านจึงปรารถนาจะเห็นท่านพระปุณณะ
บ้าง การกล่าวธรรมของท่านบ้าง จึงกล่าวอย่างนี้.

374
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 375 (เล่ม 18)

บทว่า ยถาภิรนฺตํ ได้แก่ประทับอยู่ตามพระอัธยาศัย. จริงอยู่
พระพุทธะทั้งหลาย เมื่อประทับอยู่ในที่แห่งหนึ่ง ชื่อว่า ไม่มีความไม่ยินดี
เพราะอาศัยความวิบัติแห่งร่มเงาและน้ำเป็นต้น เสนาสนะอันไม่ผาสุก หรือ
ความไม่ศรัทธาเป็นต้นของเหล่าผู้คน ไม่มีแม้ความยินดีว่า เราจะอยู่เป็นผาสุก
ในที่นี้แล้วอยู่นาน ๆ เหตุสิ่งเหล่านั้นมีพรั่งพร้อม. แต่เมื่อตถาคตประทับ
อยู่ในที่ใด สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ในสรณะ สมาทานศีล หรือบรรพชา ก็หรือว่าแต่
นั้น สัตว์เหล่านั้น มีอุปนิสสัยแห่งโสดาปัตติมรรคเป็นต้น. พระพุทธะทั้งหลาย
ย่อมประทับอยู่ในที่นั้น ตามอัธยาศัยที่จะทรงสถาปนาสัตว์เหล่านั้นไว้ในสมบัติ
เหล่านั้น เพราะไม่มีสัตว์เหล่านั้นจึงเสด็จหลีกไป. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า ยถาอชฺฌาสยํ วิหริตฺวา.
บทว่า จาริกญฺจรมาโน ความว่า เสด็จพุทธดำเนินทางไกล. ก็ชื่อ
ว่าการจาริกของพระผู้มีพระภาคเจ้า นี้มี ๒ อย่าง คือ รีบจาริก ๑ ไม่รีบจาริก ๑.
บรรดาจาริกทั้ง ๒ นั้น การที่ทรงเห็นบุคคลผู้ควรตรัสรู้แม้ในที่ไกล
แล้วรีบเสด็จไปเพื่อโปรดให้เขาตรัสรู้ ชื่อว่ารีบจาริก. การรีบจาริกนั้น พึง
เห็นเช่นเสด็จออกต้อนรับท่านมหากัสสปะเป็นต้น. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อเสด็จอันรับพระมหากัสสปะ เสด็จไปตลอดหนทาง ๓ คาวุต โดยครู่เดียว.
เสด็จไป ๓๐ โยชน์ เพื่อโปรดอาฬวกยักษ์ โปรดองคุลิมาลก็เหมือนกัน แต่
โปรดปุกกุสาติ ๔๕ โยชน์ โปรดพระเจ้ามหากัปปิน ๒,๐๐๐ โยชน์ โปรด
ขทิรวนิยเถระ ๗๐๐ โยชน์ โปรดวนวาสีติสสสามเณร สัทธิวิหาริกของพระธรรม
เสนาบดี ๒,๐๐๐ โยชน์ ๓ คาวุต. ได้ยินว่า วันหนึ่งพระเถระทูลว่า พระเจ้าข้า
ข้าพระองค์จะไปสำนักติสสสามเณร. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถึงเราก็จักไป
แล้วตรัสสั่งท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ เธอจงบอกภิกษุผู้ได้อภิญญาหก
๒๐,๐๐๐ รูป ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า จักเสด็จไปสำนักของวนวาสีติสสสามเณร.

375
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 376 (เล่ม 18)

รุ่งขึ้นจากวันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระขีณาสพ ๒๐,๐๐๐ รูปแวดล้อมเหาะ
ไปทางอากาศ เสด็จลงใกล้ประตูโคจรคามของติสสสามเณรนั้นสุดทาง ๒,๐๐๐
โยชน์ ทรงห่มจีวร. พวกผู้คนไปทำงานเห็นเข้าก็กล่าวกันว่า ท่านผู้เจริญ
พระศาสดาเสด็จมา พวกท่านมาทำงานกันแล้วช่วยกันปูอาสนะ. ถวายข้าว
ยาคู ทำทานวัตร แล้วถามภิกษุหนุ่มทั้งหลายว่า ท่านขอรับ พระผู้มี-
พระภาคเจ้าจะเสด็จไปไหน. อุบาสกทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่เสด็จ
ในที่อื่นดอก เสด็จมาเยี่ยมติสสสามเณรในที่นี้นี่แหละ. ผู้คนเหล่านั้นเกิดโสม-
นัสว่า ได้ยินว่า พระศาสดาเสด็จมาเยี่ยมพระเถระประจำตระกูลของพวกเรา
พระเถระของพวกเรา ไม่ใช่ต่ำต้อยเลยหนอ. ลำดับนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงทำภัตกิจเสร็จ สามเณรก็เข้าบ้านบิณฑบาต ถามว่า มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่
หรือ. ครั้งหนึ่ง อุบาสกเหล่านั้นบอกแก่สามเณรว่า ท่านเจ้าข้า พระศาสดา
เสด็จมาแล้ว. สามเณรนั้นเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เอื้อเฟื้อด้วยอาหาร
บิณฑบาต. พระศาสดาเอาพระหัตถ์จับบาตรของสามเณร แล้วตรัสว่า พอละ
สามเณร เราเสร็จภัตตกิจแล้ว. แต่นั้น สามเณรก็กราบเรียนพระอุปัชฌายะ
นั่งเหนืออาสนะที่ถึงแก่ตน แล้วกระทำภัตกิจ. ครั้นสามเณรเสร็จภัตกิจแล้ว
พระศาสดาตรัสมงคลแล้ว เสด็จออกไปประทับยืนใกล้ประตูบ้าน ตรัสถามว่า
ติสสะ ทางไปที่อยู่ของเธอทางไหน. สามเณรกราบทูลว่า ทางนี้พระเจ้าข้า.
ตรัสว่า ติสสะ เธอจงชี้ทางเดินไปข้างหน้า. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
เป็นผู้แสดงทางแก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก แต่ทรงกระทำสามเณรนั้นให้เป็นมัค-
คุเทสก์ ด้วยพุทธประสงค์ว่า จักได้เห็นสามเณรตลอดทางสิ้น ๓ คาวุต. สามเณร
ไปยังที่อยู่ของตนได้กระทำวัตรแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ครั้งนั้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าตรัสถามสามเณรนั้นว่า ติสสะ ที่จงกรมตรงไหน แล้วเสด็จไปที่จงกรม
นั้น ประทับนั่งบนหินสำหรับนั่งของสามเณรแล้วตรัสถามว่า ติสสะ เธออยู่

376
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 377 (เล่ม 18)

เป็นสุขในที่นี้หรือ. สามเณรนั้นทูลว่า พระเจ้าข้าขอรับ ข้าพระองค์อยู่ใน
ที่นี้ ได้ยินเสียงราชสีห์ เสือ ช้าง เนื้อ และนกยูงเป็นต้นก็เกิดอรัญญสัญญา
ว่าเราจะอยู่เป็นสุขด้วยสัญญานั้น. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสั่งสามเณร
นั้นว่า ติสสะ เธอจงให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกัน เราจะให้ตำแหน่งพุทธทายาทแก่
เธอ ทรงให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกันกึ่งโยชน์ ให้สามเณรอุปสมบทแล้วได้เสด็จไป
ยังที่อยู่ของพระองค์นั้นแล เหตุนั้น จาริกนี้จึงชื่อว่ารีบจาริก.
ส่วนการเสด็จของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงอนุเคราะห์โลก ด้วยการ
เสด็จบิณฑบาตเป็นต้น โดยทางโยชน์หนึ่ง และกึ่งโยชน์ ทุก ๆ วัน ตามลำดับ
คามนิคาม ชื่อว่า ไม่รีบจาริก. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกอย่างนี้ ย่อม
เสด็จจาริกไปในมณฑล ๓ มณฑลใดมณฑลหนึ่งอย่างนี้ คือ มหามณฑล มัชฌิม-
มณฑล อันติมมณฑล. ในมณฑลทั้ง ๓ นั้น ที่ ๙๐๐ โยชน์ จัดเป็นมหา
มณฑล ที่ ๖๐๐ โยชน์ จัดเป็นมัชฌิมมณฑล ที่ ๓๐๐ โยชน์ จัดเป็นอันติม-
มณฑล. ครั้งใดมีพระพุทธประสงค์จะเสด็จจาริกไปในมหามณฑล ทรงปวารณา
ในวันมหาปวารณาแล้ว ในวันปาฎิบท มีภิกษุหมู่ใหญ่เป็นบริวารเสด็จออกไป
ได้เกิดโกลาหลเป็นอันเดียวกัน ตลอดเนื้อที่ ๑๐๐ โยชน์ โดยรอบ. พวกที่มา
ก่อน ๆ ได้นิมนต์ให้กลับ. ในมณฑล ๒ นอกนี้ สักการะย่อมรวมลงในมหา
มณฑล. ถ้าในที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่วันสองวันในคามนิคมนั้นๆ
ทรงอนุเคราะห์มหาชนด้วยการทรงรับอามิสทาน และทรงเจริญกุศลส่วนที่อาศัย
วิวัฏฏะ ด้วยการประทานธรรมแก่มหาชนนั้น ๙ เดือน จึงเสด็จการจาริก.
ก็ถ้าภายในพรรษาภิกษุทั้งหลายมีสมถวิปัสสนายังอ่อน ก็ไม่ทรงปวารณาใน
วันมหาปวารณา แต่จะทรงเลื่อนปวารณาออกไปปวารณา ในวันปวารณากลาง
เดือนกัตติกา (เดือน ๑๒) วันแรกของเดือนมิคสิระ (เดือน ๑) มีภิกษุหมู่
ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จออกเที่ยวไปตลอดมัชฌิมมณฑล. เมื่อทรงมีพระพุทธ

377
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 378 (เล่ม 18)

ประสงค์จะเสด็จจากริกในมัชฌิมมณฑล ด้วยเหตุแม้อย่างอื่น ก็ประทับอยู่ ๔
เดือน แล้วจึงเสด็จออกไป. ในมณฑลทั้งสองนอกนี้ ลาภสักการะย่อมรวมลง
ในมัชฌิมมณฑล โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุเคราะห์
โลกด้วยนัยข้างต้น ๘ เดือน จึงเสร็จการจาริก. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่
ประจำ ๔ เดือนแล้ว เหล่าเวไนยสัตว์มีอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ก็จะทรงคอย
อินทรีย์ของเวไนยสัตว์เหล่านั้นแก่กล้า จะประทับอยู่ในที่นั้นนั่นแหละ เดือน
๑ บ้าง ๒-๓ เดือนบ้าง แล้วทรงมีภิกษุหมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จออกไป
ในมณฑลสองนอกนี้ ลาภสักการะย่อมรวมลงในอันติมมณฑล โดยนัยที่กล่าว
แล้วนั่นแล. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงอนุเคราะห์โลก โดยนัยข้างต้น ๗
เดือนบ้าง ๖ เดือนบ้าง ๕ เดือนบ้าง ๔ เดือนบ้าง จึงเสร็จการจาริก. ดังนั้น
เมื่อทรงจาริกไปในมณฑล ๓ มณฑลใดมณฑลหนึ่ง จึงไม่ใช่จาริกไปเพราะ
เหตุแห่งปัจจัยมีจีวรเป็นต้น. โดยที่แท้ เสด็จจาริกไปเพื่อทรงอนุเคราะห์ ด้วย
พระพุทธประองค์อย่างนี้ว่า คนเหล่าใด เป็นทุคคตะ เป็นพาล เป็นคนแก่
เป็นคนเจ็บป่วย ครั้งไร คนเหล่านั้น จักมาเห็นตถาคต ก็เมื่อเราจาริกไป
มหาชนก็จักได้เห็นตถาคต ในที่นั้น คนบางพวกก็จักทำจิตให้เลื่อมใส บาง
พวกก็จักบูชาด้วยดอกไม้เป็นต้น บางพวกจักถวายภิกษา สักทัพพีหนึ่ง บาง
พวกก็จักสะความเห็นผิดเป็นสัมมาทิฏฐิ ข้อนั้นก็จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อความสุขแก่ตนเหล่านั้นตลอดกาลนาน.
อนึ่ง พระพุทธะผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ย่อมเสด็จจาริกด้วยเหตุ ๔
ประการ คือ เพื่อประโยชน์แก่ความสุขของสรีระ โดยการยึดพักแข้งขา ๑
เพื่อประโยชน์คือคอยการเกิดอัตถุปปัตติ (เกิดเรื่องเป็นเหตุให้ตรัสธรรมเทศนา)
๑ เพื่อประโยชน์แก่การทรงบัญญัติสิกขาบทสำหรับภิกษุทั้งหลาย ๑ เพื่อประ-
โยชน์โปรดสัตว์ที่ควรตรัสรู้ ผู้มีอินทรีย์แก่กล้าแล้วในที่นั้น ๆ ให้ตรัสรู้ ๑.

378
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 379 (เล่ม 18)

พระพุทธผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ย่อมเสด็จจาริกด้วยเหตุ ๔ ประการ อย่างอื่น
อีกคือ สัตว์ทั้งหลายจักถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะบ้าง จักถึงพระธรรมเป็น
สรณะบ้าง จักถึงพระสงฆ์เป็นสรณะบ้าง เราจักทำบริษัท ๔ ให้เอิบอิ่มด้วย
การฟังธรรมครั้งใหญ่บ้าง. พระพุทธะผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ย่อมเสด็จจาริก
ด้วยเหตุ ๕ ประการ อย่างอื่น คือ เหล่าสัตว์จักเว้นจากปาณาติบาตบ้าง จาก
อทินนาทาน จากกาเมสุมิจฉาจาร จากมุสาวาท จากสุราเมรัยมัชชปมาทัฏฐาน
บ้าง. พระพุทธะผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ย่อมเสด็จจาริกไปด้วยเหตุ ๘ ประการ
อย่างอื่น คือ เขาจักได้ปฐมฌานบ้าง ทุติยฌานบ้าง ฯลฯ เนวสัญญานาลัญ-
ญายตนสมาบัติบ้าง. พระพุทธะผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ย่อมเสด็จจาริกไปด้วย
เหตุ ๘ ประการอย่างอื่นอีก คือ เขาจักบรรลุโสดาปัตติมรรคบ้าง โสดาปัตติผล
บ้าง ฯลฯ จักกระทำให้แจ้งพระอรหัตตผลบ้าง. นี้ชื่อว่า อตุริตจาริก ไม่รีบจาริก
ท่านประสงค์ในที่นี้. จาริกนั้นมี ๒ อย่าง คือ นิพันธจาริก การจาริกโดยมี
ข้อผูกพัน ๑ อนิพันธจาริก การจาริกโดยไม่มีข้อผูกพัน ๑. ในจาริก ๒ อย่างนี้
การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปโปรดสัตว์ผู้ควรตรัสรู้ ผู้เดียวเท่านั้น ชื่อว่า
นิพันธจาริก. การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไป ตามลำดับคามนิคมนคร
ชื่อว่า อนิพันธจาริก. อนิพันธจาริกนี้ท่านประสงค์เอาในที่นี้.
บทว่า เสนาสนํ สํสาเมตฺวา แปลว่า เก็บงำเสนาสนะ. พระ
เถระเมื่อเก็บเสนาสนะนั้น ก็เอาบาตรเล็กบาตรใหญ่ ถลกเล็กถลกใหญ่ จีวรแพร
และจีวรผ้าเปลือกไม้เป็นต้นทำเป็นห่อ บรรจุเนยใสและน้ำมันเป็นต้น เต็มหม้อ
เก็บไว้ในห้อง ปิดประตู ให้ประกอบกุญแจ (ลูกดาล) ตีตรา เก็บงำโดยเพียง
อาปุจฉา บอกกล่าวภิกษุเจ้าถิ่น ตามพระบาลีว่า ถ้าไม่มี ภิกษุหรือสามเณร
คนวัด หรือเจ้าของวิหาร ก็เอาเตียงซ้อนเตียง เอาตั่งซ้อนตั่ง วางไว้บนหิน ๔

379
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 380 (เล่ม 18)

แผ่น กองสายระเดียงจีวร หรือเชือกห้อยจีวรวางไว้ข้างบน ปิดประตูหน้าต่าง
แล้ว พึงหลีกไป.
บทว่า เยน สาวตฺถี เตน จาริกํ ปกฺกามิ ความว่า ท่านพระ-
ปุณณมันตานีบุตร ประสงค์จะเฝ้าพระศาสดา จึงหลีกไปโดยทิศทางที่กรุง
สาวัตถี ตั้งอยู่. ก็เมื่อหลีกไป ท่านก็ให้กราบทูลแด่พระเจ้าสุทโธทนมหาราช
ให้ทรงรับเนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย เป็นต้นไปแล้ว เมื่อหลีกไป
ก็นำเพียงบาตร จีวร หลีกไปลำพังผู้เดียว เหมือนช้างตกมันละโขลงหลีกไป
เหมือนราชสีห์ ไม่มีกิจด้วยเพื่อน. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ท่านมากรุงราชคฤห์
พร้อมด้วยอันเตวาสิกของตน ๕๐๐ รูป แต่บัดนี้ หลีกไปผู้เดียว. ตอบว่า
กรุงราชคฤห์ไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์ ๖๐ โยชน์ ส่วนกรุงสาวัตถีไกล ๕๐ โยชน์
พระศาสดาเสด็จมาจากกรุงราชคฤห์ ๔๕ โยชน์ ประทับอยู่กรุงสาวัตถี ท่าน
ฟังมาว่า บัดนี้ใกล้เข้ามาแล้ว เราจักหลีกไปผู้เดียว ดังนั้น ข้อนี้จึงไม่เป็น
เหตุ. แท้จริงท่านเมื่อไปยังสำนักพระพุทธะทั้งหลาย พึงไปสิ้นทางแม้ ๑,๐๐๐
โยชน์ แต่ในครั้งนั้น ท่านไม่อาจได้กายวิเวก ฉะนั้น เพราะต้องการจะไป
กับคนมาก เมื่อกล่าวว่า เราจะไปคนเดียว ก็กล่าวเสียว่า เราจะอยู่ในที่นี้ลำพัง
คนเดียว เมื่อพูดว่า เราจะอยู่คนเดียว ก็พูดเสียว่า เราจะไปคนเดียว เพราะ
ฉะนั้น ท่านไม่อาจจะนั่งเข้าสมาบัติ ในขณะที่ปรารถนาแล้วปรารถนาเล่า
หรือได้กายวิเวก ในเสนาสนะที่ผาสุก แต่เมื่ออยู่ลำพังผู้เดียว ก็จะได้สิ่งนั้น
ทั้งหมดโดยง่าย ดังนั้น ท่านจึงไม่ไปในครั้งนั้นหลีกไป ณ บัดนี้.
ในคำว่า จาริกํ จรมาโน นี้ ชื่อว่า จาริกนี้ย่อมได้แก่พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายเท่านั้น เพื่อสงเคราะห์มหาชนก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ได้แม้แก่สาวก
ทั้งหลายด้วย ศัพท์ขยายกินความถึงพระพุทธทั้งหลาย เหมือนพัดใบตาลที่เขา
ทำด้วยเสื่อลำแพนเป็นต้น. บทว่า เยน ภควา ความว่า พระปุณณมันตานี-

380
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 381 (เล่ม 18)

บุตร เที่ยวบิณฑบาตไปในบ้านแห่งหนึ่ง ไม่ไกลกรุงสาวัตถีทำภัจกิจแล้ว เข้า
ไปสู่พระเชตวันไปยังที่อยู่ของพระสารีบุตรเถระ หรือของพระมหาโมคคัลลาน
เถระล้างเท้าแล้วทาน้ำมัน ฉันน่าดื่มหรือน้ำปานะ พักหน่อยหนึ่ง ไม่เกิด
จิตคิดว่าจะเฝ้าพระศาสดา แล้วเดินตรงแน่วไปยังบริเวณพระคันธกุฏี. ด้วยว่า
พระเถระประสงค์จะเฝ้าพระศาสดา แต่ไม่มีกิจกับภิกษุอื่น เพราะฉะนั้นท่านจึง
ไม่เกิดจิตคิดเเม้อย่างนี้ว่า เราจักพาพระราหุลหรือพระอานนท์ให้ทำโอกาสเฝ้า
พระศาสดา. จริงอยู่ เถระเป็นผู้สนิทสนมในพระพุทธศาสนาเองทีเดียว เหมือน
นักรบใหญ่ผู้มีชัยชนะในสงครามของพระราชา. เหมือนอย่างว่า นักรบเช่นนั้น
ประสงค์จะเฝ้าพระราชา ชื่อว่า ไม่มีกิจที่จะคบคนอื่น เฝ้าพระราชาย่อมเฝ้า
ได้เอาทีเดียว เพราะเป็นผู้สนิทสนมฉันใด แม้พระเถระก็ฉันนั้น เป็นผู้คุ้นเคย
ในพระพุทธศาสนา ท่านก็ไม่มีกิจที่จะคบภิกษุอื่นเเล้ว เฝ้าพระศาสดา เพราะ
ฉะนั้น ท่านล้างเท้าแล้วก็เช็ดที่เช็ดเท้าเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. แม้พระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงเล็งเห็นว่าเวลารุ่งเช้า มันตานีบุตร จักมา เพราะฉะนั้น จึง
เสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฏีไม่ใส่กลอน ระงับความกระวนกระวาย ลุกขึ้น
ประทับนั่ง. พระเถระผลักบานประตูเข้าไปยังพระคันธกุฏี ถวายบังคมพระผู้มี
พระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. บทว่า ธมฺมิยา กถาย ความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสธรรมีกถา ตรัสอานิสงส์สามัคคีรสแก่กุลบุตร ๓ คน
ในจุลลโคสิงคสูตร ตรัสอานิสงส์ถวายที่พักในเสขสูตร ตรัสกถาที่เกี่ยวด้วย
บุพเพนิวาสานุสติญาณ อันทำให้ได้สติในฆฏิการสูตร ตรัสธัมมุทเทส ๔ ใน
รัฏฐปาลสูตร ตรัสเรื่องอานิสงส์ถวายน้ำดื่มในเสลสูตร เมื่อตรัสธรรมกถา
ตรัสอานิสงส์ในความเป็นผู้อยู่ผู้เดียว แก่พระภคุเถระในสํกิเลสิยสูตร. แต่ใน
รถวินีตสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ท่านพระปุณณ ทรงแสดงเรื่องกถา
ชื่ออนันตนัย อันเป็นที่อาศัยกถาวัตถุ ๑๐ ว่า ดูก่อนปุนณะ แม้นี้ก็ชื่อว่า

381
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 382 (เล่ม 18)

อัปปิจฉกถา สันโตสกถาเหมือนกัน ประหนึ่งประทับยืนอยู่ที่สุคเหยียด
พระหัตถ์ไปในมหาสมุทรแก่พระสาวกผู้บรรลุปฏิสัมภิทา. บทว่า เยนนฺธวํ
ความว่า ได้ยินว่า ครั้งนั้น เวลาหลังอาหาร พระเชตวันพลุกพล่าน คนเป็น
อันมากมีกษัตริย์ พราหมณ์ เป็นต้น หลั่งไหลมาสู่พระเชตวัน เหมือนสถาน
ค่ายของพระเจ้าจักรพรรดิ ภิกษุไม่อาจเพื่อได้ความสงัด ส่วนอันธวัน สงัด
เสมือนเรือนทำความเพียร เพราะฉะนั้น ท่านปุณณมันตานีบุตร จึงเข้าไปยัง
อันธวัน. ก็เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่เห็นเหล่าพระมหาเถระ. เขาว่าเพราะท่าน
คิดอย่างนี้ว่า เรามาเวลาเย็นจักเห็นเหล่าพระมหาเถระ แล้วจักเฝ้าพระทศพลอีก
การปรนนิบัติพระมหาเถระอย่างนี้ก็จะมีครั้งเดียว สำหรับพระศาสดาจักมี ๒ ครั้ง
แต่นั้นเราถวายบังคมพระศาสดาแล้วก็จักกลับที่อยู่ของเราเลย.
บทว่า อภิณฺหํ กิตฺตยมาโน อโหสิ ได้แก่ สรรเสริญบ่อย ๆ อยู่.
ได้ยินว่า พระเถระคิดว่า เขาว่า บุตรนางมันตานี ชื่อปุณณะ ไม่คลุกคลีกับ
บริษัท ๔ ท่านจักมาเฝ้าพระทศพล ท่านไม่ทันพบเราก็จักไปแล้วหรือหนอ
แล้วสรรเสริญท่านพระปุณณะท่ามกลางสงฆ์ ทุก ๆ วันตั้งแต่นั้นมา เพื่อ
เตือนสติแก่เหล่าพระเถระ พระนวกและพระมัชฌิมะ. ได้ยินว่า ท่านมีความ
คิดอย่างนี้ว่า ธรรมดาว่า ภิกษุแก่ ๆ ไม่อยู่ภายในวิหารทุกเวลา แม้เมื่อเรา
กล่าวคุณของท่าน ก็ผู้ใดจักเห็นภิกษุนั้น ผู้นั้นก็จักมาบอก. ครั้งนั้น สัทธิ
วิหาริก ของพระเถระผู้นั้น ได้เห็นท่านพระปุณณมันตานีบุตร กำลังถือบาตร
จีวรเข้าไปยังพระคันธกุฎี. ถามว่า ก็ท่านได้รู้จักท่านพระปุณณมันตานีบุตรนั้น
อย่างไร. ตอบว่า ภิกษุรูปนั้นได้รู้ทั่วถึงพระธรรมกถาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ผู้ตรัสรู้ ชื่อ ปุณณะ ปุณณะว่า พระเถระ ที่พระอุปัชฌาย์ ของเราสรรเสริญ
อยู่บ่อย ๆ รูปนี้นี่เอง ดังนั้น ภิกษุรูปนั้นจึงมาบอกแก่พระเถระ. บทว่า
นิสีทนํ อาทาย ได้แก่ ท่อผ้าที่มีชาย ท่านเรียก ชื่อว่า นิสีทนะ. ก็พระ

382