หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 363 (เล่ม 18)

ว่า ขอชนจงรู้เราว่า เป็นผู้มีศีล. บุคคลผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้มักมากนั้น
ย่อมเป็นที่รักของคนชั่ว. แม้มารดาผู้บังเกิดเกล้าก็ไม่สามารถจะเอาใจเขาได้.
ด้วยเหตุนั้นท่านจงกล่าวคำนี้ไว้ว่า
อคฺคิกฺขนฺโธ สมุทฺโท จ มหิจฺโฉ จาปิ ปุคฺคโล
สกเฎน ปจฺจยํ เหตุ ตโย เจเต อตปฺปิยา
กองไฟ ๑ ทะเล ๑ คนมักมาก ๑
ทั้ง ๓ ประเภทนี้ ถึงจะให้ของจนเต็ม
เล่มเกวียนก็ไม่ทำให้อิ่มได้.
ส่วนการปกปิดคุณที่มีอยู่ และความเป็นผู้รู้จักประมาณในการรับ ชื่อว่า
ความเป็นผู้มักน้อย. บุคคลผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้มักน้อยนั้น เพราะ
ประสงค์จะปกปิดคุณ แม้ที่มีอยู่ในตน ถึงจะสมบูรณ์ด้วยศรัทธา ก็ไม่ปรารถนา
จะให้คนรู้ว่าเรามีศรัทธา เป็นผู้มีศีล เป็นผู้สงัด เป็นพหูสูต เป็นผู้ปรารภ
ความเพียร สมบูรณ์ด้วยสมาธิ มีปัญญา เป็นพระขีณาสพ ก็ไม่ปรารถนาจะ
ให้คนรู้ว่าเราเป็นพระขีณาสพ เหมือนอย่างพระมัชฌันติกเถระฉะนั้น.
เล่ากันว่า พระเถระเป็นพระมหาขีณาสพ. ก็บาตรจีวรของท่านมีราคา
เพียงบาทเดียวเท่านั้น. ท่านได้เป็นประธานสงฆ์ในวันฉลองวิหารของพระเจ้า
ธรรมาโศกราช. ครั้งนั้น มนุษย์ทั้งหลายเห็นท่านมีจีวรเศร้าหมองเกินไป จึง
กล่าวว่า ขอท่านจงรออยู่ข้างนอกสักหน่อยเถิดเจ้าข้า. พระเถระคิดว่า เมื่อ
พระขีณาสพเช่นเราไม่สงเคราะห์พระราชา ผู้อื่นใดใครเล่าจักสงเคราะห์ได้ จึง
ดำลงไปในแผ่นดิน รับอาหารที่เขาจัดไว้สำหรับพระเถระผู้เป็นประธานสงฆ์
แล้วโผล่ขึ้น. ขนาดท่านเป็นพระขีณาสพอย่างนี้ ยังไม่ปรารถนาว่า ขอประ-
ชาชนจงรู้จักเราว่าเป็นพระขีณาสพ. ส่วนภิกษุผู้มักน้อย ย่อมยังลาภที่ยังไม่
เกิดให้เกิดขึ้น ย่อมทำลาภที่เกิดขึ้นแล้วให้มั่นคง ทำจิตของเหล่าทายกให้
ยินดีด้วยประการฉะนี้. จริงอยู่ ภิกษุผู้มีความมักน้อยนั้น ย่อมรับเอาแต่น้อย

363
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 364 (เล่ม 18)

เพราะตนเป็นผู้มักน้อย โดยประการใดๆ เหล่ามนุษย์ผู้เลื่อมใสในวัตรของท่าน
ย่อมถวายมากโดยประการนั้น ๆ.
อีกนัยหนึ่ง ภิกษุผู้มักน้อย มี ๔ ประเภท คือ ภิกษุผู้มักน้อยใน
ปัจจัย ๑ ผู้มักน้อยในธุดงค์ ๑ ผู้มักน้อยในปริยัติ ๑ ผู้มักน้อยในอธิคม ๑. ใน ๔
ประเภทนั้น ภิกษุผู้มักน้อยในปัจจัย ๔ ชื่อว่า ผู้มักน้อยในปัจจัย. ภิกษุผู้มัก
น้อยในปัจจัยนั้น ย่อมรู้ความสามารถของทายก ย่อมรู้ความสามารถของไทย
ธรรม ย่อมรู้กำลังของตน. ก็ผิว่า ไทยธรรมมีมาก แต่ทายกต้องการถวาย
น้อย ก็รับเอาแต่น้อยตามความสามารถของทายก ไทยธรรมมีน้อย ทายกต้อง
การจะถวายมาก ก็รับเอาแต่น้อย ตามความสามารถของไทยธรรม ทั้งไทย-
ธรรมก็มีมาก ทั้งทายกก็ต้องการจะถวายมาก ก็รู้กำลังของตน รับเอาแต่พอ
ประมาณ. ภิกษุผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ต้องการจะให้เขารู้ความที่ธุดงค์
สมาทานมีอยู่ในตน ชื่อว่าผู้มักน้อยในธุดงค์. เพื่อจะทำความในข้อนั้นให้แจ่ม
แจ้ง มีเรื่องเหล่านี้เป็นตัวอย่าง.
เล่ากันมาว่า พระมหาสุมเถระ ผู้ถือโสสานิกังคธุดงค์อยู่ป่าช้ามา ๖๐ ปี
แม้แต่ภิกษุสักรูปหนึ่งอื่น ๆ ก็ไม่รู้. ด้วยเหตุนั้นแล ท่านจีงกล่าวว่า
สุสาเน สฏฺฐิวสฺสานิ อพฺโพกิณฺโณ วสามหํ
ทุติโย มํ น ชาเนยฺย อโห โสสานิกุตฺตโม
เราอยู่ลำพังคนเดียว ในป่าช้ามา
๖๐ ปี เพื่อนก็ไม่รู้เรา โอ ยอดของผู้รักษา
โสสานิกังคธุดงค์.
พระเถระ ๒ พี่น้อง อยู่ในเจติยบรรพต. พระเถระองค์น้องรับท่อนอ้อยที่อุปฐาก
เขาส่งมา ได้ไปยังสำนักของพระเถระผู้พี่พูดว่า หลวงพี่ฉันเสียซิ. เป็นเวลาที่
พระเถระฉันแล้วบ้วนปาก. พระเถระผู้พี่กล่าวว่า พอละเธอ. พระผู้น้องชาย
ถามว่า หลวงพี่ถือเอกาสนิกังคธุดงค์หรือ. พระเถระผู้พี่กล่าวว่า เธอนำท่อน

364
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 365 (เล่ม 18)

อ้อยมา แม้เป็นผู้ถือเอกาสนิกังคธุดงค์มาถึง ๕๐ ปี ก็ปกปิดธุดงค์ไว้ ฉันแล้ว
บ้วนปาก อธิษฐานธุดงค์ใหม่แล้วไป. ส่วนภิกษุผู้มักน้อยรูปใด ไม่ประสงค์
จะให้เขารู้ ความที่ตนเป็นพหูสูต เหมือนพระสาเกตกติสสเถระ ภิกษุนี้ชื่อ
ว่าผู้มักน้อยในพระปริยัติ. เล่ากันมาว่า พระเถระ ไม่ทำโอกาสในอุเทศ
และปริปุจฉาว่า ไม่มีเวลา ถูกเตือนว่า ท่านคงจะมีแต่เวลาตาย ละหมู่แล้ว
ไปวิหารใกล้สมุทรที่มีทรายดังดอกกัณณิกา เป็นผู้อุปการะเหล่าภิกษุชั้นเถระ
นวกะ และมัชฌิมะ ตลอดพรรษา ยังชุมชนให้เสทือนด้วยธรรมกถาใน
วันมหาปวารณา วันอุโบสถแล้วไป. ส่วนภิกษุผู้มักน้อยรูปใด เป็นพระอริย
บุคคลองค์หนึ่ง ในบรรดาพระอริยบุคคลผู้โสดาบันเป็นต้น ย่อมไม่ปรารถนา
ให้รู้ความเป็นพระโสดาบันเป็นต้น ภิกษุผู้มักน้อยรูปนี้ ชื่อว่าผู้มักน้อยในอธิคม
เหมือนกุลบุตร ๓ คน และเหมือนช่างหม้อ ชื่อว่า ฆฎิการ. ส่วนท่านปุณณะ
ละความปรารถนาเกินขอบเขต ความปรารถนาลามก และความมักมาก ได้ชื่อว่า
เป็นผู้มักน้อย เพราะเป็นผู้ประกอบด้วยความมักน้อยอันบริสุทธิ์ กล่าวคือ
ความไม่โลภอันเป็นปฏิปักษ์ต่อความปรารถนาโดยประการทั้งปวง. ท่านปุณณะ
แสดงโทษในธรรมเหล่านั้นว่า ผู้มีอายุ ธรรมเหล่านี้คือ ความปรารถนาเกิน
ขอบเขต ความปรารถนาลามก ความเป็นผู้มักมาก อันภิกษุควรละ ดังนี้แล้ว
จึงกล่าวอัปปิจฉกถาแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุควรสมาทาน ประพฤติ ความ
เป็นผู้มักน้อย เห็นปานนี้. ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุ
ผู้มักน้อยด้วยตนเอง และสอนเรื่องเป็นผู้มักน้อย แก่ภิกษุทั้งหลาย.
บัดนี้ ข้าพเจ้าจักแสดงอรรถอันพิเศษในคำว่า อตฺตนาว สนฺตุฏฺโฐ
เป็นต้น. แต่พึงทราบการประกอบความโดยนัยดังกล่าวมาแล้ว .บทว่า สนฺตุฏฺโฐ
ได้แก่ผู้ประกอบด้วยความสันโดษในปัจจัยตามมีตามได้. ก็สันโดษนี้นั้นมี ๑๒
อย่าง คืออะไรบ้าง อันดับแรกในจีวร มี ๓ อย่าง คือ ยถาลาภสันโดษ

365
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 366 (เล่ม 18)

ยถาพลสันโดษ ยถาสารุปปสันโดษ. ในบิณฑบาตเป็นต้น ก็เหมือนกัน.
การพรรณนาประเภทปัจจัย คือจีวรนั้นดังนี้ ภิกษุในศาสนานี้ได้จีวร ไม่ว่าดี.
หรือไม่ดี ก็ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยจีวรนั้นเท่านั้น ไม่ปรารถนาจีวรอื่น
ถึงได้ก็ไม่รับ นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษ ในจีวรของภิกษุนั้น. อนึ่ง ภิกษุใด
ทุพลภาพโดยปกติหรือถูกความเจ็บป่วยและชราครอบงำ ครองจีวรหนักก็
ลำบาก ภิกษุนั้น เปลี่ยนนีวรกับภิกษุผู้ชอบพอกัน แม้ยังอัตตภาพให้เป็นไป
ด้วยจีวรเบา ก็เป็นผู้สันโดษเหมือนกัน นี้ชื่อ ยถาพลสันโดษในจีวรของภิกษุ
นั้น. ภิกษุอีกรูปหนึ่ง เป็นผู้ได้ปัจจัยอันประณีต เธอได้จีวรมีค่ามากผืนหนึ่ง
บรรดาจีวรแพรเป็นต้น ก็หรือว่าได้จีวรเป็นอันมาก คิดว่า จีวรนี้เหมาะแก่
พระเถระผู้บวชนาน ผืนนี้เหมาะแก่ภิกษุผู้พหูสูต ผืนนี้เหมาะแก่ภิกษุผู้เป็นไข้
ผืนนี้เหมาะแก่ภิกษุผู้มีลาภน้อย ถวายแล้วเลือกจีวรเก่า ๆ บรรดาผ้าเหล่านั้น
หรือชิ้นผ้าจากกองขยะเป็นต้น กระทำสังฆาฏิด้วยผ้าเหล่านั้น แม้ครอง
อยู่ก็เป็นผู้สันโดษอยู่นั่นแล นี้ชื่อว่า ยถาสารุปปสันโดษ ในจีวรของภิกษุ
นั้น.
อนึ่ง ภิกษุในพระศาสนานี้ ได้บิณฑบาตไม่ว่าปอนหรือประณีต เธอ
ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยบิณฑบาตนั้นเท่านั้น ไม่ปรารถนาบิณฑบาตอื่น ถึง
ได้ก็ไม่รับ นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษในบิณฑบาตของภิกษุนั้น. แต่ภิกษุใด
ได้บิณฑบาตที่แสลงแก่ปกติของตนหรือแสลงแก่โรค ซึ่งเธอฉันแล้วไม่ผาสุก
ภิกษุนั้นถวายบิณฑบาตนั้นแก่ภิกษุที่ชอบกัน ฉันโภชนะที่สบายจากมือของ
ภิกษุนั้น แม้กระทำสมณธรรมอยู่ ก็ยังชื่อว่า ผู้สันโดษ นี้ชื่อว่า ยถาพลสัน-
โดษในบิณฑบาตของภิกษุนั้น. ภิกษุอีกรูปหนึ่ง ได้บิณฑบาตประณีตเป็น
อันมาก เธอถวายบิณฑบาตนั้นแก่เหล่าภิกษุผู้บวชนาน ผู้เป็นพหูสูต ผู้มี
ลาภน้อย แล้วภิกษุไข้เหมือนจีวร แม้ฉันบิณฑบาตที่เหลือของภิกษุเหล่านั้น

366
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 367 (เล่ม 18)

หรือเที่ยวบิณฑบาตแล้วฉันอาหารคละกัน ก็ยังชื่อว่า ผู้สันโดษ นี้ชื่อว่า
ยถาสารุปปสันโดษในบิณฑบาตของภิกษุนั้น.
อนึ่ง ภิกษุในพระศาสนานี้ ได้เสนาสนะไม่ว่าน่าพอใจ หรือไม่น่า
พอใจ เธอไม่เกิดโสมนัส ไม่เกิดปฏิฆะ ด้วยเสนาสนะนั้น ยินดีด้วยเสนาสนะ
ตามที่ได้โดยที่สุดแม้เครื่องปูลาดทำด้วยหญ้า นี้ชื่อว่า ยถาลาภสันโดษใน
เสนาสนะของภิกษุนั้น. อนึ่ง ภิกษุใดได้เสนาสนะที่แสลงแก่ปกติของตนหรือ
แสลงแก่โรค เมื่ออยู่ก็ไม่มีความผาสุก ภิกษุนั้นถวายเสนาสนะนั้นแก่ภิกษุที่
ชอบกัน แม้อยู่ในเสนาสนะอันเป็นสัปปายะอันเป็นส่วนของเธอ ก็ยังชื่อว่า
ผู้สันโดษ นี้ชื่อว่ายถาพลสันโดษในเสนาสนะของภิกษุนั้น. ภิกษุอีกรูปหนึ่ง
มีบุญมาก ได้เสนาสนะมาก มีที่เร้น มณฑป และเรือนยอดเป็นต้น เธอถวาย
เสนาสนะเหล่านั้นแก่ภิกษุผู้บวชนาน ผู้พหูสูต ผู้มีลาภน้อย และภิกษุไข้
เหมือนจีวรเป็นต้น แม้อยู่ที่ใดที่หนึ่ง ก็ยังชื่อว่าผู้สันโดษ นี้ชื่อว่า ยถาสารุปป-
สันโดษในเสนาสนะของภิกษุนั้น. แม้ภิกษุใด พิจารณาว่า เสนาสนะอันอุดม
เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เมื่อนั่งในที่นั้น ย่อมง่วงเหงาหาวนอน เมื่อหลับ
แล้วตื่นขึ้น ความวิตกอันลามกก็ปรากฏ แล้วไม่รับเสนาสนะเช่นนั้นแม้มาถึง
แล้ว เธอปฏิเสธแล้วแม้อยู่กลางแจ้งโคนไม้เป็นต้น ก็ยังชื่อว่าผู้สันโดษ นี้ชื่อว่า
ยถาสารุปปสันโดษในเสนาสนะ.
อนึ่ง ภิกษุในพระศาสนานี้ได้เภสัชไม่ว่าปอนหรือประณีต เธอยินดี
ด้วยเภสัชที่ได้ ไม่ปรารถนาเภสัชแม้อย่างอื่น ถึงได้ก็ไม่รับ นี้ชื่อว่า
ยถาลาภสันโดษในคิลานปัจจัยของเธอ. อนึ่ง ภิกษุใดต้องการน้ำมัน แต่
ได้น้ำอ้อย เธอถวายน้ำอ้อยนั้นแก่ภิกษุผู้ชอบกัน ถือเอาน้ำมันจากมือ
ของภิกษุนั้น หรือแสวงหาอย่างอื่น แม้กระทำเภสัชด้วยปัจจัยเหล่านั้น
ก็ยังชื่อว่า เป็นผู้สันโดษ นี้ชื่อว่า ยถาพลสันโดษในคิลานปัจจัย
ของเธอ. ภิกษุอีกรูปหนึ่ง มีบุญมาก ได้เภสัชประณีต มีน้ำมันน้ำผึ้งน้ำอ้อย

367
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 368 (เล่ม 18)

เป็นต้น เป็นอันมาก เธอถวายเภสัชนั้นแก่ภิกษุบวชนาน พหูสูต มีลาภน้อย
และภิกษุไข้เหมือนจีวร แม้ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยเภสัชอย่างใดอย่างหนึ่ง
ที่ได้มาจากคิลานปัจจัยเหล่านั้น ก็ยังชื่อว่า เป็นผู้สันโดษ. อนึ่ง ภิกษุใดอัน
ภิกษุทั้งหลายวางสมอดองไว้ในภาชนะหนึ่ง วางของมีรสอร่อย ๔ อย่างไว้ใน
ภาชนะหนึ่ง แล้วกล่าวว่า นิมนต์ถือเอาสิ่งที่ต้องการเถิดขอรับ ถ้าว่าโรคของ
เธอจะระงับไปด้วยของอย่างใดอย่างหนึ่งในของเหล่านั้น เมื่อเป็นดังนั้น
เธอก็ห้ามว่า ขึ้นชื่อสมอดองอันพระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงสรรเสริญแล้ว กระทำ
เภสัชด้วยสมอดองเท่านั้น ชื่อว่า เป็นผู้สันโดษอย่างยิ่ง นี้ชื่อว่า ยถสารุปป-
สันโดษในคิลานปัจจัย. ก็ยถาสารุปปสันโดษเป็นยอดของสันโดษแต่ละสาม ๆ
ในปัจจัยแต่ละอย่าง ๆ เหล่านี้ ท่านพระปุณณะได้เป็นผู้สันโดษด้วยสันโดษ
แม้ทั้งสามเหล่านี้ ในปัจจัยแต่ละอย่าง.
บทว่า สนฺตฎฺฐิกถญฺจ ได้แก่ สั่งสอนเรื่องสันโดษนี้แก่ภิกษุทั้งหลาย.
บทว่า ปวิวิตฺโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยวิเวก ๓ เหล่านี้ คือ กายวิเวก
จิตตวิเวก อุปธิวิเวก. ในวิเวก ๓ นั้น ภิกษุเดินรูปเดียว ยืนรูปเดียว
นั่งรูปเดียว นอนรูปเดียว บิณฑบาตรูปเดียว กลับรูปเดียว จงกรม
รูปเดียว เที่ยวรูปเดียว อยู่รูปเดียว นี้ชื่อว่า กายวิเวก. ส่วนสมาบัตื ๘
ชื่อว่า จิตตวิเวก. นิพพานชื่อว่า อุปธิวิเวก. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
กายวิเวกสำหรับบุคคลผู้ปลีกกายยินดีในเนกขัมมะ จิตตวิเวกสำหรับบุคคลผู้มี
จิตบริสุทธิ์ มีจิตผ่องแผ้วอย่างยิ่ง และอุปธิวิเวกสำหรับบุคคลผู้ปราศจากอุปธิ
ผู้ถึงวิสังขาร. บทว่า ปวิเวกกถํ ได้แก่ สั่งสอนเรื่องวิเวกนี้แก่ภิกษุทั้งหลาย.
บทว่า อสํสฏฺโฐ ได้แก่ เว้นการคลุกคลี ๕ อย่าง.

368
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 369 (เล่ม 18)

การคลุกคลี ๕ อย่าง คือ
๑. สวนสังสัคคะ
๒. ทัสสนสังสัคคะ
๓. สมุลลาปสังสัคคะ
๔. สัมโภคสังสัคคะ
๕. กายสังสัคคะ.
ในการคลุกคลี ๕ อย่างนั้น ภิกษุในธรรมวินัยนี้ฟังว่า ผู้หญิงหรือ
หญิงสาวในบ้านหรือตำบลนั่นงาม น่าชม สดใส มีผิวพรรณงามอย่างยิ่ง
ฟังเรื่องนั้นแล้ว สยบซึมเซา ไม่อาจสืบพรหมจรรย์ต่อไปได้ ไม่ลาสิกขา
สึกเลย เมื่อเธอฟังคนอื่นเขาพูดถึงรูปสมบัติเป็นต้น หรือเสียงหัวเราะด้วยตน
เกิดราคะด้วยโสตวิญญาณวิถี ชื่อว่าสวนสังสัคคะ. สวนสังสัคคะนั้น พึงทราบ
โดยอำนาจพระโพธิสัตว์ผู้ไม่เคยได้กลิ่นหญิง และพระติสสะหนุ่มผู้อยู่ในถ้ำ
ปัญจัคคฬะ. เขาว่า ภิกษุหนุ่มเหาะไปได้ยินเสียงลูกสาวช่างทองชาวบ้านคิริคาม
ไปสระปทุมกับหญิงสาว ๕ คน อาบน้ำประดับดอกปทุม ขับร้องด้วยเสียงอัน
ไพเราะ ถูกกามราคะเสียบเอา เสื่อมฌานถึงความพินาศ.
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ได้ยินเสียงเลย แต่ตนเองเห็นผู้หญิงหรือ
หญิงสาวที่สวยน่าชม สดใส มีผิวพรรณงามอย่างยิ่ง เธอเห็นแล้ว สยบซึมเซา
ไม่อาจสืบพรหมจรรย์ต่อไปได้ ไม่ลาสิกขา สึกเลย เมื่อเธอแลดูรูปที่เป็น
ข้าศึกอย่างนี้ เกิดราคะด้วยจักขุวิญญาณวิถี ชื่อว่า ทัสสนสังสัคคะ. ทัสสน-
สังสัคคะนั้นพึงทราบดังนี้.
เขาว่า ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งไปยังทูรวิหารใกล้บึงกาลทีฆะ เพื่อเรียน
อุทเทส. อาจารย์เห็นอันตรายของท่าน ก็ไม่ให้โอกาส. เธอก็พยายามติดตาม

369
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 370 (เล่ม 18)

ไป. อาจารย์กล่าวว่า ถ้าเธอไม่เที่ยวไปในบ้าน เราก็จักสอนอุทเทสแก่เธอ.
เธอรับคำแล้ว เมื่อเรียนอุทเทสจบ ก็ไหว้อาจารย์ไป คิดว่า อาจารย์ไม่ให้
เราเที่ยวไปในบ้านนี้ ทำไมหนอ ห่มจีวรเข้าบ้าน. กุลธิดาคนหนึ่งนุ่งผ้า
สีเหลืองยืนที่เรือนเห็นภิกษุหนุ่มก็เกิดราคะ เอากระบวยนำยาคูมาใส่ลงในบาตร
แล้วกลับไปนอนเตียง. ครั้งนั้น มารดาบิดาจึงถามว่า อะไรกันลูก. กุลธิดานั้น
ตอบว่า เมื่อฉันได้ภิกษุหนุ่มที่ไปทางประตู จึงจักมีชีวิตอยู่ได้ เมื่อไม่ได้ ฉัน
จักตาย. มารดาบิดารีบไปพบภิกษุหนุ่มที่ประตูบ้าน ไหว้เเล้วบอกว่า กลับมา
เถิดท่าน โปรดรับภิกษา. ภิกษุหนุ่มบอกว่า พอละโยม จะไปละ. มารดา
บิดาอ้อนวอนว่า เรื่องมันเป็นอย่างนี้ท่าน ในเรือนของเรามีทรัพย์อยู่เท่านี้
เรามีลูกสาวอยู่คนเดียวเท่านั้น ท่านมาเป็นลูกชายคนโตของเราเถิด สามารถ
อยู่ได้อย่างสบาย. ภิกษุหนุ่มตอบว่า ฉันไม่ต้องการกังวลอย่างนี้ ไม่ใยดีแล้ว
ผละไป. มารดาบิดาไปบอกลูกสาวว่า ลูก พ่อแม่ไม่อาจจะนำภิกษุหนุ่มกลับ
มาได้ เลือกสามีอื่นที่เจ้าต้องการเถิด จงลุกขึ้นมากินข้าวกินน้ำเถิด. กุลธิดา
นั้นก็ไม่ปรารถนานางอดข้าว ๗ วัน ตาย. มารดาบิดาทำการฌาปนกิจนางแล้ว
ถวายผ้าสีเหลืองผืนนั้นแก่ภิกษุสงฆ์ในทูรวิหาร. ภิกษุทั้งหลายก็ฉีกเป็นชิ้นเล็ก
ชิ้นน้อยแบ่งกัน. ภิกษุแก่รูปหนึ่งรับส่วนของตนไป มายังกัลยาณวิหาร.
ภิกษุหนุ่มแม้นั้นคิดจะไปไหว้พระเจดีย์ ก็ไปที่กัลยาณวิหารนั้น นั่งในที่พัก
กลางวัน. ภิกษุแก่หยิบชิ้นผ้านั้นมาแล้วบอกภิกษุหนุ่มว่า ท่านขอรับ โปรด
ใช้ผ้าผืนนี้ของผมเป็นผ้ากรองน้ำ. ภิกษุหนุ่มเรียนว่า ท่านมหาเถระได้มา
แต่ไหนขอรับ. ภิกษุแก่ก็เล่าเรื่องนั้นทั้งหมด. ภิกษุหนุ่มฟังเรื่องนั้นแล้ว คิดว่า
เราไม่ได้อยู่ร่วมกับหญิงคนนี้ ถูกไฟราคะเผา มรณภาพในที่นั้นเอง.

370
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 371 (เล่ม 18)

ส่วนราคะที่เกิดโดยการสนทนาปราศรัยกะกันและกัน ชื่อสมุลลาป
สังสัคคะ. ราคะที่เกิดโดยภิกษุรับของของภิกษุณี หรือภิกษุณีรับของของภิกษุ
แล้วบริโภค ชื่อสัมโภคสังสัคคะ. สัมโภคสังสัคคะนั้นพึงทราบดังนี้.
เล่าว่า ครั้งฉลองมริจิวัตติยวิหาร มีภิกษุแสนรูป ภิกษุณีเก้าหมื่นรูป.
สามเณรรูปหนึ่งรับ ข้าวยาคูร้อนไปพักไว้ที่ชายจีวรครั้งหนึ่ง ที่พื้นดินครั้งหนึ่ง.
สามเณรีรูปหนึ่งเห็น ถวายถลกบาตร ด้วยกล่าวว่า วางบาตรไว้ในนี้แล้ว
ค่อยไป. ภายหลังต่อมา เมื่อเกิดภัยขึ้น ทั้งสองก็ไปยังปรสมุททวิหาร. ทั้ง
สองรูปนั้น ภิกษุณีไปก่อน. ภิกษุณีนั้นได้ยินว่า ภิกษุชาวสิงหลรูปหนึ่งมา
ก็ไปยังสำนักพระเถระกระทำปฏิสันถารแล้วนั่งถามว่า ท่านเจ้าข้า เมื่อครั้ง
ฉลองมริจิวัตติยวิหาร ท่านพรรษาเท่าไร. พระเถระตอบว่า ครั้งนั้น ฉันเป็น
สามเณรอายุ ๗ ขวบ ท่านเล่า พรรษาเท่าไร. ภิกษุณีตอบว่า ครั้งนั้น ดิฉันก็
เป็นสามเณรอายุ ๗ ขวบเหมือนกัน ดิฉันได้ถวายถลกบาตรแก่สามเณรรูปหนึ่ง
ซึ่งรับข้าวยาคูร้อนไปเพื่อพักบาตร. พระเถระบอกว่า สามเณรองค์นั้นคือ
ฉัน นำถลกบาตรออกมาแสดง. ด้วยสังสัคคะอันนี้นี่เอง แม้ทั้งสองท่านก็ไม่อาจ
จะสืบพรหมจรรย์ต่อไปได้ สึกในเวลามีอายุ ๖๐.
ก็ราคะที่เกิดขึ้นโดยการจับมือเป็นต้น ชื่อว่ากายสังสัคคะ. ในข้อนั้น
มีเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง. เขาว่า ที่มหาเจติยังคณะ. พวกภิกษุหนุ่มทำการสาธยาย
พวกภิกษุณีสาวพึงธรรมอยู่ข้างหลังของพวกภิกษุหนุ่มเหล่านั้น. ในภิกษุหนุ่ม
เหล่านั้น ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งเหยียดแขนออกไปถูกกายภิกษุณีสาวรูปหนึ่ง.
ภิกษุณีสาวจับมือมาทาบไว้ที่อกของตน. ด้วยสังสัคคะอันนั้น แม้ทั้งสองก็สึก
เป็นคฤหัสถ์.
ก็ในสังสัคคะ ๕ อย่างเหล่านี้ การฟัง การเห็น การเจรจา การร่วม
การถูกต้องกายของภิกษุกับภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีเป็นนิจทีเดียว เว้นกาย

371
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 372 (เล่ม 18)

สังสัคคะ สังสัคคะที่เหลือกับภิกษุณีทั้งหลาย ย่อมมีได้เป็นครั้งคราว. สังสัคคะ
แม้ทั้งหมดกับอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ก็มีได้เป็นครั้งคราวเหมือนกัน. ก็พึง
รักษาจิตจากการเกิดกิเลสในสังสัคคะเหล่านั้น. ภิกษุรูปหนึ่งเป็นคาหคาหกะ
รูปหนึ่งเป็นคาหมุตตกะ รูปหนึ่งเป็นมุตตคาหกะ รูปหนึ่งเป็นมุตตมุตตกะ.
ในภิกษุเหล่านั้น พวกมนุษย์เข้าไปหาภิกษุด้วยการเอาเหยื่อล่อจับไว้ก็ดี ภิกษุ
เข้าไปหามนุษย์ด้วยการเอาดอกไม้ผลไม้เป็นต้น ล่อจับไว้ก็ดี นี้ชื่อว่าคาหคาหกะ
ต่างคนต่างจับ. ส่วนมนุษย์เข้าไปหาภิกษุโดยนัยที่กล่าวแล้ว ภิกษุเข้าไปหา
โดยเป็นทักขิเณยยบุคคล นี้ชื่อว่า คาหมุตตกะ พ้นจากผู้จับ. มนุษย์ทั้งหลาย
ถวายปัจจัยสี่โดยเป็นทักขิเณยยบุคคล ฝ่ายภิกษุเข้าไปหาโดยเอาดอกไม้ผลไม้
เป็นต้นล่อจับไว้ นี้ชื่อว่า มุตตคาหกะจับผู้ปล่อย. มนุษย์ทั้งหลายถวายปัจจัยสี่
โดยเป็นทักขิเณยยบุคคลก็ดี ภิกษุบริโภคโดยเป็นทักขิเณยยบุคคลเหมือนพระ-
จุลลปิณฑปาติยติสสเถระก็ดี นี้ชื่อว่า มุตตมุตตกะ ต่างคนต่างปล่อย. เขาว่า
อุบาสิกาคนหนึ่ง อุปัฏฐากพระเถระมา ๑๒ ปี. วันหนึ่งไฟไหม้เรือนที่หมู่บ้าน
นั้น. ภิกษุประจำตระกูลของคนอื่น ๆ ก็มาถามว่า อุบาสิกา ไฟสามารถทำสิ่ง
ของอะไร ๆ ให้ไม่เสียหายมีบ้างหรือ. คนทั้งหลายกล่าวว่า พระเถระประจำ
ตระกูลมารดาของเราจักมาเวลาฉันเท่านั้น. วันรุ่งขึ้นแม้พระเถระกำหนดเวลา
ภิกษาจารแล้วก็มา. อุบาสิกานิมนต์ให้นั่งที่ร่มยุ้ง จัดภิกษาถวาย. เมื่อพระ-
เถระฉันเสร็จแล้วไป คนทั้งหลายก็พูดว่า พระเถระประจำตระกูลมารดาของ
เรามาเวลาฉันเท่านั้น. อุบาสิกากล่าวว่า พระประจำตระกูลของพวกท่านก็
เหมาะแก่พวกท่านเท่านั้น พระเถระของเราก็เหมาะแก่เราเท่านั้น. ก็ท่านพระ-
มันตานีบุตรไม่คลุกคลีกับบริษัทสี่ ด้วยสังสัคคะ ๕ เหล่านี้ จึงเป็นทั้งคาหมุตตกะ
ทั้งมุตตมุตตกะ ท่านไม่คลุกคลีเองฉันใด ก็ได้สั่งสอนเรื่องการไม่คลุกคลีนั้น
แม้แก่ภิกษุทั้งหลายฉันนั้น.

372