หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 353 (เล่ม 18)

ไปถึงรถพระที่นั่งผลัดที่หก ด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่ห้า ปล่อยรถพระที่นั่งผลัด
ที่ห้า ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่หก เสด็จไปถึงรถพระที่นั่งผลัดที่เจ็ด ด้วยรถ
พระที่นั่งผลัดที่หก ปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่หก ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่เจ็ด
เสด็จไปถึงเมืองสาเกตที่ประตูพระราชวัง ด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่เจ็ด ถ้าพวก
มิตรอำมาตย์หรือพระญาติสาโลหิตจะพึงทูลถามพระองค์ว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า
พระองค์เสด็จมาจากกรุงสาวัตถีถึงเมืองสาเกตที่ประตูพระราชวัง ด้วยรถพระ-
ที่นั่งผลัดนี้ผลัดเดียวหรือ ผู้มีอายุ พระเจ้าปเสนทิโกศลจะตรัสตอบอย่างไร
จึงจะเป็นอันตรัสตอบถูกต้อง.
สา. ผู้มีอายุ พระเจ้าปเสนทิโกศลจะต้องตรัสตอบอย่างนี้ จึงจะเป็น
อันตรัสตอบถูกต้อง คือ เมื่อเรากำลังอยู่ในกรุงสาวัตถีนั้น มีกรณียะด่วน
บางอย่างเกิดขึ้นในเมืองสาเกต ก็ในระหว่างกรุงสาวัตถีกับเมืองสาเกตนั้น จะ
ต้องใช้รถถึง ๗ ผลัด เมื่อเช่นนั้นเราจึงออกจากกรุงสาวัตถีขึ้นรถผลัดที่หนึ่งที่
ประตูวังไปถึงรถผลัดที่สอง ด้วยรถผลัดที่หนึ่ง ปล่อยรถผลัดที่หนึ่ง ขึ้นรถ
ผลัดที่สอง ไปถึงรถผลัดที่สามด้วยรถผลัดที่สอง ปล่อยรถผลัดที่สอง ขึ้นรถ
ผลัดที่สาม ไปถึงรถผลัดที่สี่ด้วยรถผลัดที่สาม ปล่อยรถผลัดที่สาม ขึ้นรถ
ผลัดที่สี่ ไปถึงรถผลัดที่ห้าด้วยรถผลัดที่สี่ ปล่อยรถผลัดที่สี่ ขึ้นรถผลัดที่ห้า
ไปถึงรถผลัดที่หกด้วยรถผลัดที่ห้า ปล่อยรถผลัดที่ห้า ขึ้นรถผลสัดที่หก ไปถึง
รถผลัดที่เจ็ดด้วยรถผลัดที่หก ปล่อยรถผลัดที่หก ขึ้นรถผลัดที่เจ็ด ไปถึง
เมืองสาเกตที่ประตูวังด้วยรถผลัดที่เจ็ด ผู้มีอายุ พระเจ้าปเสนทิโกศล จะต้อง
ตรัสตอบอย่างนี้จึงจะเป็นอันตรัสตอบถูกต้อง.
ปุ. ผู้มีอายุ ข้อนี้ก็ฉันนั้น สีลวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่จิตตวิสุทธิ
จิตตวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่ทิฏฐิวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่กังขาวิตรณ
วิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ มัคคา-

353
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 354 (เล่ม 18)

มัคคญาณทัสสนวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณ-
ทัสสนวิสุทธิเป็นประโยชน์แก่ญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิเป็นประโยชน์
แก่อนุปาทาปรินิพพาน ผู้มีอายุ ผมประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า
เพื่ออนุปาทาปรินิพพาน.
[๒๙๙] เมื่อท่านพระปุณณมันตานีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระ-
สารีบุตรจึงถามว่า ผู้มีอายุ ท่านชื่ออะไร และพวกภิกษุเพื่อนพรหมจรรย์
รู้จักท่านว่าอย่างไร.
ท่านพระปุณณมันตานีบุตรตอบว่า ผู้มีอายุ ผมชื่อปุณณะ แต่พวก
ภิกษุเพื่อนพรหมจรรย์รู้จักผมว่ามันตานีบุตร ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ผู้มี
อายุ น่าอัศจรรย์นัก ไม่เคยมีมาแล้ว ธรรมอันลึกซึ้ง อันท่านพระปุณณมัน-
ตานีบุตร เลือกเฟ้นมากล่าวแก้ด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง ตามเยี่ยงพระสาวกผู้ได้สดับ
แล้ว รู้ทั่วถึงคำสอนของพระศาสดาโดยถ่องแท้ จะพึงกล่าวแก้ ฉะนั้น เป็น
ลาภมากของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์อันเพื่อนพรหมจรรย์
ได้ดีแล้ว ที่ได้พบเห็นนั่งใกล้ท่านพระปุณณมันตานีบุตร แม้หากว่าเพื่อน
พรหมจรรย์ทั้งหลาย จะเทิดท่านพระปุณณมันตานีบุตรไว้บนศีรษะด้วยเซิดผ้า
จึงจะได้พบเห็นนั่งใกล้ แม้ข้อนั้นก็นับว่าเป็นลาภมากของเธอเหล่านั้น ความ
เป็นมนุษย์อันเธอเหล่านั้นได้ดีแล้ว อนึ่ง นับว่าเป็นลาภมากของผมด้วย เป็น
การได้ดีของผมด้วย ที่ได้พบเห็นนั่งใกล้ท่านพระปุณณมันตานีบุตร.
[๓๐๐] เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระปุณณมัน-
ตานีบุตรจึงถามว่า ผู้มีอายุ ท่านชื่ออะไร และเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายรู้จัก
ท่านว่าอย่างไร ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ผู้มีอายุ ผมชื่ออุปติสสะ แต่พวก
เพื่อนพรหมจรรย์รู้จักผมว่าสารีบุตร ท่านพระปุณณมันตานีบุตรกล่าวว่า ท่าน
ผู้เจริญ ผมกำลังพูดอยู่กับท่านผู้เป็นสาวกทรงคุณคล้ายกับพระศาสดา มิได้ทราบ

354
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 355 (เล่ม 18)

เลยว่า ท่านชื่อสารีบุตรแล้ว คำที่พูดไปเพียงเท่านี้ คงไม่แจ่มแจ้งแก่ผมได้
เป็นการน่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาแล้ว ธรรมอันลึกซึ้งอันท่านพระสารีบุตร
เลือกเฟ้นมาถามแล้วด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง ตามเยี่ยงพระสาวกผู้ได้สดับแล้ว
รู้ทั่วถึงคำสอนของพระศาสดาโดยถ่องแท้ จะพึงถาม ฉะนั้น เป็นลาภมากของ
เพื่อนพรหมจรรย์ ความเป็นมนุษย์นับว่าเพื่อนพรหมจรรย์ได้ดีแล้ว ที่ได้
พบเห็นนั่งใกล้ท่านพระสารีบุตร แม้หากว่าเพื่อนพรหมจรรย์จะเทิดท่านพระ-
สารีบุตรไว้บนศีรษะด้วยเซิดผ้า จึงจะได้พบเห็นนั่งใกล้ แม้ข้อนั้นก็เป็นลาภ
มากของเธอเหล่านั้น ความเป็นมนุษย์นับว่าอันเธอเหล่านั้นได้ดีแล้ว อนึ่ง
นับว่าเป็นลาภมากของผมด้วย เป็นการได้ดีของผมด้วย ที่ได้พบเห็นนั่งใกล้
ท่านพระสารีบุตร.
พระมหานครทั้งสองนั้น ต่างชื่นชมสุภาษิตของกันและกันด้วยประการ
ฉะนี้แล
จบ รถวินีตสูตรที่ ๔

355
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 356 (เล่ม 18)

อรรถกถารถวินีสูตร
รถวินีตสูตรเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้:-
พึงทราบวินิจฉัยในรถวินีสูตรนั้น บทว่า ราชคเห ได้แก่นครมีชื่อ
อย่างนี้. จริงอยู่ นครนั้น ท่านเรียกว่า ราชคฤห์ เพราะพระเจ้ามนธาตุราช
และมหาโควินทศาสดาเป็นต้น คุ้มครองรักษาไว้. แต่ท่านอาจารย์พวกอื่น
พรรณนาไว้หลายประการในคำนี้. ท่านพรรณนาไว้อย่างไร ท่านพรรณนาไว้ว่า
คำนี้เป็นชื่อของนครนั้น ก็กรุงราชคฤห์นั้น เป็นนครทั้งในกาลแห่งพระ-
พุทธเจ้า ทั้งในกาลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ ในเวลานอกนั้น ก็เป็นนครร้าง
มีแต่ผีเฝ้าแหนไว้ กลายเป็นป่าที่อยู่ของผีพวกนั้นไป. คำว่า เวฬุวัน ในคำว่า
เวฬุวเน กลนฺทกนิวาเป เป็นชื่อของอุทยานนั้น. นัยว่า อุทยานนั้น มี
ไม้ไผ่ล้อมไว้รอบ มีกำแพงสูง ๑๘ ศอก ประกอบด้วยซุ้มประตูและป้อม มี
สีเขียวสดใสน่ารื่นรมย์ ท่านจึงเรียกว่า เวฬุวัน. อนึ่ง คนทั้งหลายได้ให้เหยื่อ
แก่เหล่ากระแตในเวฬุวันนั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงเรียกว่า กลันทกนิวาปะ
เป็นที่ให้เหยื่อแก่กระแต.
เล่ากันว่า แต่ก่อน พระราชาพระองค์หนึ่ง เสร็จมาเพื่อทรงกีฬาใน
พระราชอุทยานนั้น แต่ทรงเมาด้วยน้ำจัณฑ์ ก็บรรทมหลับไปเวลากลางวัน.
แม้ชนที่อยู่ข้างเคียงท้าวเธอ รู้ว่าพระราชาบรรทมหลับแล้ว ก็หยิบฉวยดอกไม้
ผลไม้เป็นต้น ต่างแยกย้ายกันไป. คราวนั้น งูเห่าตัวหนึ่ง ได้กลิ่นสุรา ก็เลื้อย
ออกมาจากโพรงไม้ต้นหนึ่ง บ่ายหน้ามาทางพระราชา. รุกขเทวดาเห็นงูเห่า
นั้นแล้ว ก็แปลงเพศเป็นกระแต หมายจะช่วยชีวิตพระราชา มากระทำเสียงที่

356
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 357 (เล่ม 18)

ใกล้พระกรรณ. พระราชาก็ทรงตื่นบรรทม. งูเห่าก็เลื้อยกลับไป. ท้าวเธอ
ทอดพระเนตรเห็นกระแตนั้น ก็ทรงทราบว่า กระแตนี้ช่วยชีวิตเราไว้ ก็ทรง
วางเหยื่อไว้ในพระราชอุทยานนั้น เพื่อกระแตทั้งหลาย และโปรดให้ประกาศ
ประทานอภัยแก่กระแตทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ตั้งแต่นั้นมา พระราชอุทยานนั้น
จึงนับได้ว่า กลันทกนิวาปะ. เป็นที่ประทานเหยื่อแก่กระแต. ด้วยว่า คำว่า
กลนฺทก เป็นชื่อของกระแตทั้งหลาย.
บทว่า ชาติภูมิ ๓ ได้แก่ ชาวชาติภูมิ. ในคำว่า ชาติภูมิ ๓ นั้น
บทว่า ชาติภูมิ แปลว่าที่เกิด. ก็ที่เกิดนั้น ไม่ใช่ที่เกิดของพระเจ้าโกศลมหาราช
เป็นต้น ไม่ใช่ที่เกิดของจังกีพราหมณ์เป็นต้น ไม่ใช่ที่เกิดของท้าวสักกะ ท้าว
สุยาม และท้าวสันดุสิต เป็นต้น ไม่ใช่ที่เกิดของพระอสีติมหาสาวกเป็นต้น
ไม่ใช่ที่เกิดของสัตว์เหล่าอื่น ที่เรียกว่า ชาติภูมิ. แต่ในวันที่พระสัพพัญญู-
โพธิสัตว์เจ้าพระองค์ใดเกิดแล้ว หมื่นโลกธาตุ เกลื่อนกล่นด้วยธง และ
ดวกไม้เป็นอันเดียวกัน หอมตระหลบด้วยกลิ่นดอกไม้และจุณอบ รุ่งเรือง
ดังนันทนวันที่มีดอกไม้บานสะพรั่งไปทั่ว ได้ไหวดุจหยาดน้ำบนใบบัว ปาฏิหาริย์
เป็นอันมาก เช่นคนตาบอดเห็นรูปเป็นต้น เป็นไปแล้ว ที่เกิดแห่งพระสัพพัญญู
พระโพธิสัตว์เจ้าพระองค์นั้น คือกรุงกบิลพัสดุ์ สักกชนบทนั้นแล เรียกว่า
ชาติภูมิ. บทว่า วสฺสํ วุฏฺฐา ได้แก่ อยู่จำพรรษา ๓ เดือน ปวารณาแล้ว.
บทว่า ภควา เอตทโว จ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระพุทธพจน์ว่า
โก นุ โข ภิกฺขเว ดังนี้ เป็นต้นนั้น ทรงกระทำปฏิสันถารต้อนรับอาคันตุกะ
ด้วยพระดำรัสเป็นต้นว่า กิจฺจิ ภิกฺขเว ขมนียํ. ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้น
ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามโดยการปฏิสันถารว่า ภิกษุทั้งหลาย พอทน
ได้ไหม พอเป็นไปได้ไหม พวกเธอมาไกลไม่ลำบากหรือ ไม่ลำบากด้วย
บิณฑบาต หรือ พวกเธอมาแต่ไหน จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า

357
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 358 (เล่ม 18)

พวกข้าพระองค์มาจากชาติภูมิ คือ กบิลพัสดุ์สักกชนบท. ลำดับนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้ามิตรัสถามถึงความไม่มีโรค ของพระเจ้าสุทธธทนมหาราช ของ
เจ้าสุกโกทนะ ของเจ้าสักโกทนะ ของเจ้าโธโตทนะ ของเจ้าอนิโตทนะ
ของพระนางอมิตาเทวี ของพระนางมหาปชาบดี ของวงศ์เจ้าศากยะทั้งสิ้นเลย
ที่แท้เมื่อตรัสถามภิกษุผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ ด้วยตนเอง และผู้อื่นผู้ชักชวนในข้อ
ปฏิบัตินั้น ผู้สมบูรณ์ด้วยข้อปฏิบัติ จึงตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า โก นุ โข
ภิกฺขเว เป็นต้น.
ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไม่ตรัสถามความไม่มีโรค
ของพระเจ้าสุทโธทนะเป็นต้น ตรัสถามเฉพาะภิกษุเห็นปานนั้นเท่านั้น. เพราะ
เป็นที่รัก. จริงอยู่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกาผู้ปฏิบัติ ย่อมเป็นที่รัก
ที่ชอบพอพระทัยของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เพราะเหตุไร. เพราะทรงเป็นผู้
หนักในธรรม. จริงอยู่ พระตถาคตทั้งหลายเป็นผู้หนักในธรรม. ก็ภาวะที่
พระตถาคตทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้หนักในธรรมนั้น พึงทราบ โดยอัธยา-
ศัยที่เกิด ณ โคนแห่งต้นอชปาลนิโครธนี้ว่า ผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความ
ยำเกรงอยู่เป็นทุกข์. จริงอยู่ เพราะความเป็นผู้หนักในธรรม พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า ทรงกระทำการต้อนรับในวันออกบวชของพระมหากัสสปเถระได้เสด็จ
ไปตลอดหนทางประมาณ ๓ คาวุต. เสด็จเดินทางเกิน ๓๐๐ โยชน์ แสดงธรรม
ที่ฝั่งแม่น้ำคงคา สถาปนาพระเจ้ามหากักปินะ พร้อมบริษัทไว้ในพระอรหัต.
ภายหลังภัตรครั้งหนึ่ง เสร็จเดินทาง ๔๕ โยชน์ ตรัสธรรมตลอด ๓ ยาม ณ
ที่อยู่ของช่างหม้อ ทรงสถาปนา ปุกกุสาติกุลบุตร ไว้ในอนาคามีผล. เสด็จ
ไปตลอดทาง ๒,๐๐๐ โยชน์ ทรงอนุเคราะห์สามเณรที่อยู่ป่า. เสด็จไปตลอดทาง
๖๐ โยชน์ แสดงธรรมโปรดพระขทิวรนิยเถระ. ทรงทราบว่า พระอนุรุทธเถระ
นั่งอยู่ ที่ปาจีนวังสทายวัน ตรึกถึงมหาปุริสวิตก แล้วเหาะไปในที่นั้น และ
เสด็จลงข้างหน้าของพระเถระประทานสาธุการ. ให้ปูเสนาสนะที่คันธกุฏีเดียวกัน

358
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 359 (เล่ม 18)

สำหรับพระกุฏีกัณณโสณเถระ ในเวลาใกล้รุ่ง เชื้อเชิญแสดงธรรม ในเวลาจบ
สรภัญญะได้ประทานสาธุการ. เสด็จเดินทาง ๓ คาวุต ตรัสอานิสงส์สามัคคีรส
ณ โคสิงคสาลวันที่อยู่ของกุลบุตร ๓ คน. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า
กัสสปะ เกิดความสนิทสนมว่าพระอริยสาวกผู้นี้ตั้งอยู่ในอนาคามิผล เสด็จไปที่
อยู่ของนายช่างหม้อ ชื่อว่า ฆฎิการะ รับอามิสด้วยพระหัตถ์ของพระองค์
เสวย. พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย เมื่อจวนเข้าพรรษา ภิกษุสงฆ์แวด-
ล้อมเสด็จออกจาริกจากพระเชตวัน. พระเจ้าโกศลมหาราช และอนาถบิณฑิก
เศรษฐีเป็นต้น ไม่อาจจะทำให้เสด็จกลับได้. ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กลับ
มาบ้าน แล้วก็นั่งเสียใจ. ทาสีชื่อว่า ปุณณา กล่าวกะอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า
นายเสียใจหรือ. อนาถบิณฑิกเศรษฐีตอบว่า เออว่า ข้าไม่อาจจะทำให้พระ-
ศาสดาเสด็จกลับได้ เมื่อเป็นอย่างนั้น ข้าก็คิดว่า ข้าก็คงไม่ได้ฟังธรรม
ถวายทานตามประสงค์ ตลอด ๓ เดือนนี้. นางปุณณาทาสี กล่าวว่า นาย
ฉันจะนำพระศาสดากลับมาเอง. เศรษฐีพูดว่า ถ้าเจ้าสามารถนำพระศาสดากลับ
มาได้ เจ้าก็จะเป็นไทแก่ตัว. นางไปหมอบแทบเบื้องพระยุคลบาทของพระ-
ทศพล ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์โปรดเสด็จกลับเถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ปุณณา เจ้าเป็นคนอาศัยเขาเลี้ยงชีพ จักทำ
อะไรแก่เราได้. นางกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ไม่มี
ไทยธรรมดอก แม้พระองค์ก็ทรงทราบ แต่เพราะพระองค์เสด็จกลับเป็นเหตุ
ข้าพระองค์จักตั้งอยู่ในสรณะ ๓ ศีล ๕. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสาธุการว่า
ดีละ ปุณณา แล้วเสด็จกลับเข้าสู่พระเชตวันนั้นแล. เรื่องนี้ปรากฏจริงขึ้นแล้ว.
เศรษฐีฟังแล้วคิดว่า เขาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จกลับเพราะนางปุณณา
แล้วให้นางปุณณาเป็นไทแล้วตั้งไว้ในฐานะเป็นธิดา. นางขอบวชแล้วก็บวช
ครั้นแล้วกะเริ่มวิปัสสนา. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบว่า นางเริ่มวิปัสสนา
แล้ว ทรงเปล่งโอภาสและตรัสคาถานี้ว่า

359
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 360 (เล่ม 18)

ปุณฺเณ ปูเรสิ สทฺธมฺมํ จนฺโท ปณฺณรโส ยถา
ปริปุณฺณาย ปญฺญาย ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสสิ
ดูก่อนปุณณา เจ้าบำเพ็ญพระสัท-
ธรรมให้เต็ม เหมือนพระจันทร์ในวันเพ็ญ
จักกระทำที่สุดทุกข์ด้วยปัญญาที่บริบูรณ์
ได้.
เมื่อจบคาถา นางก็บรรลุพระอรหัตได้เป็นพระสาวิกา ผู้มีชื่อเสียง. พระ-
ตถาคตทั้งหลายเป็นผู้หนักในธรรมด้วยประการฉะนี้.
เมื่อพระนันทเถระ แสดงธรรมอยู่ในโรงฉัน พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่
นำอะไรไป ประทับยืนฟังธรรมกถาตลอด ๓ ยาม เมื่อจบเทศนา ได้ประทาน
สาธุการ. พระเถระ มาถวายบังคม ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
พระองค์มาเวลาไร. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เมื่อเธอพอเริ่มสูตร. ทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงทำกิจที่ทำได้ยาก ทรงเป็นพระพุทธเจ้า
สุขุมาลชาติ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นันทะ ถ้าเธอพึงอาจแสดงอยู่ได้ถึง
กัปป์ เราก็จะยืนฟังอยู่ตลอดกัปป์. พระตถาคตทั้งหลายหนักในธรรม
อย่างนี้ ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ย่อมเป็นที่รักของพระตถาคตเหล่านั้น เพราะเป็นผู้
หนักในธรรม เพราะฉะนั้น จึงตรัสถามผู้ปฏิบัติทั้งหลาย.
ขึ้นชื่อว่า ผู้ปฏิบัติ มี ๔ ประเภท คือ ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน
ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ๑ ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ไม่ปฏิบัติเพื่อ
ประโยชน์ตน ๑ ผู้ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ตน ทั้งเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ๑ ไม่
ปฏิบัติทั้งเพื่อประโยชน์ตนทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ๑. บรรดาผู้ปฏิบัติ
เหล่านั้น ผู้ใดได้กถาวัตถุ ๑๐ เอง ไม่กล่าวไม่สอนผู้อื่นในกถาวัตถุ ๑๐ นั้น
เหมือนอย่างท่านพากุละ ผู้นี้ชื่อว่า ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน ไม่ปฏิบัติเพื่อ

360
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 361 (เล่ม 18)

ประโยชน์ผู้อื่น. พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ถามภิกษุเช่นนี้. เพราะเหตุไร. เพราะ
ภิกษุนั้นไม่ตั้งอยู่ในฝ่ายเจริญแห่งศาสนาของเรา. ส่วนผู้ไม่ได้กถาวัตถุ ๑๐ สอน
ภิกษุอื่นด้วยกถาวัตถุ ๑๐ นั้น เพื่อยินดีข้อวัตรที่ภิกษุนั้นการทำแล้ว เหมือนท่าน
อุปนันทสักยบุตร ผู้นี้ชื่อว่า ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น ไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์
ตน. พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสถามแม้ภิกษุเช่นนั้น. เพราะเหตุไร. เพราะ
ภิกษุนั้นละตัณหาไม่ได้ เหมือนกระเช้าใหญ่. ผู้ใดไม่ได้กถาวัตถุ ๑๐ แม้ด้วย
ตนเอง ไม่ชักชวน ไม่สอนผู้อื่นด้วยกถาวัตถุ ๑๐ นั้น เหมือนพระโลฬุทายีผู้นี้
ชื่อว่าไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน และไม่ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ผู้อื่น. ไม่ตรัสถาม
ภิกษุเห็นปานนั้น. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะกิเลศทั้งหลายในภายใน
ของเธอมีมาก เหมือนจะต้องตัดทิ้งด้วยขวาน. ส่วนภิกษุใด ตนเองได้กถาวัตถุ
๑๐ ทั้งสอนผู้อื่นด้วยกถาวัตถุ ๑๐ นั้น ภิกษุนี้ชื่อว่า ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ตน
และประโยชน์ผู้อื่นเหมือนพระอสีติมหาเถระ มีพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ
และพระมหากัสสปะเป็นต้น. ตรัสถามภิกษุเห็นปานนั้น. ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า เพราะภิกษุนั้นตั้งอยู่ในฝ่ายเจริญแห่งศาสนาของเรา. พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะตรัสถามเฉพาะภิกษุเห็นปานนั้น แม้ในที่นี้ จึงตรัสว่า โก นุ โข
ภิกฺขเว เป็นต้น.
ก็เมื่อภิกษุเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามอย่างนี้แล้ว พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ ผู้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ในชาติภูมิของตน. ได้มีความคิดหรือปรึกษากันและกันว่า ในภิกษุเหล่านั้น
รูปไหนจะเป็นเช่นนั้น. เพราะเหตุไร. เพราะท่านมันตานีบุตรปรากฏมีชื่อ
เสียงในชนบทนั้น เหมือนพระจันทร์ และพระอาทิตย์ลอยเด่นอยู่ในท่ามกลาง
อากาศ. เพราะฉะนั้น ภิกษุเหล่านั้นเป็นประดุจฝูงนกยูง ได้ฟังเสียงเมฆก็
เกาะกลุ่มประชุมกัน และเป็นดุจภิกษุผู้เริ่มทำคณะสาธยาย เมื่อจะกราบทูลถึง

361
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 362 (เล่ม 18)

พระปุณณเถระผู้เป็นอาจารย์ของตนแด่พระผู้มีพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงจะมีปากก็ไม่พอ
ที่จะกล่าวสรรเสริญคุณของพระเถระ จึงได้กล่าวเป็นเสียงเดียวกัน ว่า ปุณฺโณ
นาม ภนฺเต อายสฺมา เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า ปุณฺโณ
เป็นชื่อของพระเถระนั้น ก็เพราะท่านเป็นบุตรของมันตานีพราหมณี ฉะนั้น
จึงเรียกกันว่า มันคานีบุตร. บทว่า สมฺภาวิโต ได้แก่ ยกย่องโดยกล่าว
สรรเสริญคุณ. บทว่า อปฺปิจฺโฉ ได้แก่ ปราศจากความปรารถนา หมดความ
อยาก หมดตัณหา. ก็ในคำนี้เหมือนจะเหลือแต่พยัญชนะ ส่วนเนื้อความไม่มี
เหลือเลย. ก็ท่านปุณณมันตานีบุตรนั้นไม่มีปรารถนาเหลืออยู่เลยแม้น้อยนิด
เพราะท่านเป็นพระขีณาสพ ละตัณหาได้โดยประการทั้งปวง.
อีกอย่างหนึ่ง ในคำว่า อปฺปิจฺโฉ นี้ พึงทราบความแตกต่างกัน
ดังนี้ว่า ความเป็นผู้ปรารถนาไม่มีขอบเขต ความเป็นผู้ปรารถนาลามก ความ
เป็นผู้มักมาก ความเป็นผู้มักน้อย. ใน ๔ ประเภทนั้น ผู้ไม่อิ่มในลาภของตน
มุ่งลาภของผู้อื่น ชื่อว่า ความเป็นผู้ปรารถนาไม่มีขอบเขต. ผู้ที่ประกอบด้วย
ความปรารถนาไม่มีขอบเขต ย่อมมองเห็นขนมที่สุกแล้วในภาชนะเดียวกัน
ที่ตกลงในบาตรของตนว่าเป็นเหมือนยังไม่สุกและเป็นของเล็กน้อย ของอย่าง
เดียวกันนั่นแหละ ที่เขาใส่ลงในบาตรของผู้อื่น ย่อมมองเห็นว่าเป็นเหมือนของ
สุกดี และเป็นของมาก. อนึ่ง ความอวดอ้างคุณที่ไม่มีอยู่ และความไม่รู้จัก
ประมาณในการรับ ชื่อว่า ความเป็นผู้มีความปรารถนาลามก. ข้อนั้นมาแล้ว
ในพระอภิธรรมโดยนัยเป็นต้นว่า บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้ไม่มีศรัทธา
ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้ว่าเรามีศรัทธา. บุคคลผู้ประกอบด้วยความเป็นผู้
ปรารถนาลามกนั้น ย่อมตั้งอยู่ในฐานะเป็นคนล่อลวง. ส่วนการกล่าวสรรเสริญ
คุณที่มีอยู่ก็ดี และการไม่รู้จักประมาณในการรับก็ดี ชื่อว่า ความเป็นผู้มักมาก.
แม้ความเป็นผู้มักมากนั้นก็มาแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า บุคคลบางคนในโลกนี้เป็น
ผู้มีศรัทธา ย่อมปรารถนาว่า ขอชนจงรู้ว่าเรามีศรัทธา เป็นผู้มีศีล ย่อมปรารถนา

362