หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 343 (เล่ม 18)

เป็นอารมณ์ ก็เปรียบเหมือนเวลาที่พราหมณ์ผู้อาจารย์กล่าวว่า พ่อเอย จอม
ปลวกนี้กลางคืนเป็นควัน กลางวันเป็นไฟ เราจักเห็นความผิดปกติของจอม
ปลวกนั้น เจ้าจงทำลายมันแบ่งเป็น ๔ ส่วน แล้วทิ้งไป. พึงทราบกำหนด
กายสำหรับเสกขภิกษุโดยกำหนดธาตุ ๔ เป็นอารมณ์ อย่างนี้ คือ ความที่กาย
เป็นของแข้น ๒๐ ส่วนจัดเป็นปฐวีธาตุ ความที่กายเอิบอาบ ๑๒ ส่วน จัดเป็น
อาโปธาตุ ความที่กายอบอุ่น ๔ ส่วน จัดเป็นเตโชธาตุ ความที่กายเคลื่อนไหว
๖ ส่วน จัดเป็นวาโยธาตุ เปรียบเหมือนสุเมธมาณพศิษย์ รับคำแล้วจับจอบ
แล้วกระทำอย่างนั้น.
ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงอวิชชาชื่อว่า
กลอนเหล็กในคำว่า ลงฺคีติ โข ภิกฺขุ. ตอบว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อปิดประตู
พระนคร ใส่ลิ่มสลัก มหาชนก็ขาดการไป เหล่าชนที่อยู่ภายในพระนครก็คงอยู่
ภายในนั่นเอง พวกที่อยู่ภายนอกพระนครก็อยู่ภายนอกฉันใด กลอนเหล็กคือ
อวิชชาดกไปในปากคือ ญาณ ของผู้ใด การไปคือญาณที่ให้ถึงพระนิพพานของ
ผู้นั้นก็ขาด. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอวิชชาให้เป็นดังกลอน
เหล็ก ในคำว่า ปชหถ อวิชฺชํ นี้ท่านกล่าวการละอวิชชาด้วยอำนาจการเรียน
และการสอบถามกัมมัฏฐานะ ในบทว่า อุทฺธูมายิกาติ โข ภิกฺขุ นี้ขึ้นชื่ออึ่งที่
พองขึ้นไม่ใหญ่ประมาณเท่าหลังเล็บอยู่ในระหว่างใบไม้เก่า ๆ ในระหว่างกอไม้
หรือระหว่างเถาวัลย์ มันถูกปลายไม้ปลายเถาวัลย์หรือละอองฝุ่นเสียดสีขยายออก
มีปริมณฑลใหญ่ ขนาดเท่าแว่นมะตูม ๔ เท้าขวักไขว่ในอากาศขาดการไป
(เดินไม่ได้) ตกอยู่ไม่อำนาจของศัตรู เป็นเหยื่อของกาและนกเค้า เป็นต้น
ฉันใด ความโกรธนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเกิดขึ้นคราวแรก ก็เป็นเพียง
ความขุ่นมัวแห่งจิตเท่านั้น ไม่ถูกข่มเสียในขณะนั้นก็ขยายให้ถึงการหน้านิ้วคิ้ว-
ขมวด ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึงคางสั่น ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็ให้ถึง

343
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 344 (เล่ม 18)

การเปล่งวาจาหยาบ ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ก็ให้ถึงการมองไม่เห็นทิศ ไม่
ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการยื้อกันมายื้อกันไป ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้นก็
ให้ถึงการจับมือ ก้อนดิน ท่อนไม้และศาสตรา ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึง
การประหารด้วยท่อนไม้ และศาสตรา ไม่ถูกข่มเสียในเวลานั้น ให้ถึงการฆ่า
ผู้อื่นบ้าง ฆ่าตัวเองบ้าง. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ความโกรธนี้ ฆ่าผู้อื่น
แล้ว ฆ่าตนเพียงใด ความโกรธเพียงนี้ ก็จะหนาแน่นยิ่งขึ้น กำเริบเสิบสาน
อย่างยิ่ง. ในข้อนั้น เมื่อเท้าทั้ง ๔ ของตัวอึ่ง ขวักไขว่ในอากาศ ก็ขาดการไป
(เดินไม่ได้) ตัวอึ่งก็ตกอยู่ในอำนาจของศัตรู เป็นเหยื่อของสัตว์มีกาเป็นต้น
ฉันใด บุคคลผู้ตกอยู่ในอำนาจของความโกรธก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่สามารถ
จะกำหนดกัมมัฏฐานให้ขยายไปได้ ตกอยู่ในอำนาจของศัตรู เป็นผู้อันปวงมาร
พึงทำได้ตามความปรารถนา. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุ คำว่า อุทฺธูมายิกา นี้เป็นชื่อของความโกรธและความคับแค้นใจ.
ในข้อนั้นความโกรธจัด ชื่อว่าแค้นด้วยอำนาจความโกรธ ท่านกล่าวการละ
ด้วยการพิจารณา ในคำว่า ปชห โกธูปายาสํ.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เทฺวธาปโถ ดังต่อไปนี้ บุรุษผู้มีทรัพย์-
โภคะ เดินทางไกลอันกันดาร ถึงทาง ๒ แพร่ง ไม่อาจตัดสินใจว่า ควรไป
ทางนี้ หรือไม่ควรไปทางนี้ หยุดอยู่ในที่นั้นนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น เหล่าโจร
ปรากฏตัวขึ้นมาก็จะทำผู้นั้นให้ถึงความย่อยยับฉันใด ภิกษุผู้นั่งกำหนดกัมมัฏฐาน
เบื้องต้น ก็ฉันนั้นนั่นแล เมื่อเกิดความสงสัยในพระพุทธเจ้าเป็นต้น ก็ไม่อาจ
เจริญกัมมัฏฐานได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น ปวงมารมีกิเลสมารเป็นต้น ย่อมทำภิกษุ
นั้นให้ถึงความย่อยยับ วิจิกิจฉา จึงเสมอด้วยทาง ๒ แพร่ง ด้วยประการฉะนี้.
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คำว่า ทาง ๒ แพร่งนี้
เป็นชื่อของวิจิกิจฉา. ในคำว่า ปชห วิจิกิจฺฉํ นี้ ท่านกล่าวการละวิจิกิจฉา

344
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 345 (เล่ม 18)

ด้วยการเรียนและการสอบถามกัมมัฏฐาน. พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ปงฺกวารํ
ดังต่อไปนี้ เมื่อช่างย้อมใส่น้ำลงในหม้อกรองน้ำด่าง หม้อน้ำ ๑ หม้อ ๒ หม้อ
บ้าง ๑๐ หม้อบ้าง ๒๐ หม้อบ้าง ๑๐๐ หม้อบ้าง ก็ไหลออก น้ำแม้ฟายมือเดียว
ก็ไม่ขังอยู่ฉันใด กุศลธรรมภายในของบุคคลผู้ประกอบด้วยนีวรณ์ ย่อมไม่
ตั้งอยู่ฉันนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุ คำว่า หม้อกรองน้ำด่างนี้ เป็นชื่อของนีวรณ์ทั้ง ๕. ในคำว่า ปชห
ปญฺจ นีวรเณ นี้ ตรัสการละนีวรณ์ด้วยวิกขัมภนปหานและตทังคปหาน.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า กุมฺโม ดังต่อไปนี้ เต่ามีอวัยวะ ๕ คือ เท้า ๔
ศีรษะ ๑ ฉันใด สังขตธรรมทั้งหมด เมื่อรวบรัดก็มีขันธ์ ๕ เท่านั้น ฉันนั้น
เหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คำว่า
เต่านี้เป็นชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕. ในคำว่า ปชห ปญฺจูปาทานกฺขนฺเธ นี้
ตรัสการละความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในขันธ์ ๕. พึงทราบวินิจฉัย ใน
คำว่า อสิสูนา ดังต่อไปนี้ เอาเนื้อวางบนเขียง เอามีดสับ ฉันใด สัตว์
เหล่านี้ เมื่อถูกกามกิเลสกระทบ เพื่อประโยชน์แก่ทำไว้บนวัตถุกาม ถูกกิเลส
กาม ตัด สับ ก็ฉันนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
คำว่าเขียงมีด นี้เป็นชื่อของกามคุณทั้ง ๕. ในคำว่า ปชห ปญฺจ กามคุเณ
นี้ตรัสการละความกำหนัดด้วยอำนาจความพอใจในกามคุณ ๕ พึงทราบวินิจฉัย
ในคำว่า มํสเปสีติ โข ภิกฺขุ ดังต่อไปนี้ ขึ้นชื่อว่าชิ้นเนื้อนี้ คนเป็น
อันมากปรารถนากันแล้ว ทั้งเหล่ามนุษย์ มีกษัตริย์เป็นต้น ทั้งสัตว์ดิรัจฉาน
มีกาเป็นต้น ต่างปรารถนามัน สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยอวิชชา อาศัยความ
กำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ต่างก็ปรารถนาวัฏฏะ ชิ้นเนื้อย่อมติดอยู่
ในที่วางไว้ ๆ ฉันใด สัตว์เหล่านี้ ถูกความกำนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน
ผูกไว้ ก็ติดอยู่ในวัฏฏะ แม้ประสบทุกข์ ก็ไม่เบื่อฉันนั้น ความกำหนัดด้วย

345
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 346 (เล่ม 18)

อำนาจความเพลิดเพลินย่อมเสมือนชิ้นเนื้อด้วยประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้น พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ คำว่าชิ้นเนื้อนี้ เป็นชื่อของความ
กำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน. ในคำว่า ปชห นนฺทิราคํ นี้ ตรัสการ
ละความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน ด้วยมรรคที่ ๔.
ในคำว่า ดูก่อนภิกษุ คำว่า นาคนี้เป็นชื่อของพระขีณาสพนี้ พระ-
ขีณาสพท่านเรียกว่านาค ด้วยอรรถใด อรรถนั้นท่านประกาศไว้แล้วใน
อนังคณสูตร. ในคำว่า นโม กโรหิ นาคสฺส นี้มีเนื้อความดังนี้คือ ท่าน
จงกระทำการนอบน้อมพระพุทธนาคผู้พระขีณาสพว่า พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น
ตรัสรู้แล้ว ย่อมแสดงธรรมเพื่อความรู้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรง
ฝึกแล้ว ทรงแสดงธรรมเพื่อฝึก พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นสงบแล้ว
ทรงแสดงธรรมเพื่อสงบ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงข้ามแล้ว แสดง
ธรรมเพื่อข้าม พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นดับสนิทแล้ว แสดงธรรมเพื่อ
ดับสนิท. พระสูตรนี้ได้เป็นกัมมัฏฐานของพระเถระด้วยประการฉะนี้ ฝ่าย
พระเถระ ทำพระสูตรนี้แล ให้เป็นกัมมัฏฐาน เจริญวิปัสสนา บรรลุพระ-
อรหัตต์. บทว่า อยเมว ตสฺส อตฺโถ ความว่า นี้เป็นใจความของปัญหา
นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนทรงถือเอายอดมณีในกองรัตนะ ทรงจบเทศนา
ตามลำดับ อนุสนธิด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาวัมมิกสูตรที่ ๓

346
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 347 (เล่ม 18)

๔. รถวินีตสูตร
[๒๙๒] ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นที่
พระราชทานเหยื่อแก่กระแต กรุงราชคฤห์. ครั้งนั้นภิกษุชาวชาติภูมิจำนวน
มาก จำพรรษาแล้วในชาติภูมิ พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาท
แล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใน
ชาติภูมิ ภิกษุรูปไหนหนอ ที่พวกภิกษุเพื่อนพรหมจรรย์ชาวชาติภูมิยกย่อง
อย่างนี้ว่า ตนเองเป็นผู้มักน้อย สันโดษ สงัดเงียบ ไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ปรารภ
ความเพียร สมบูรณ์ด้วยศีล ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะแล้ว
ยังกล่าวความมักน้อย ความสันโดษ ความสงัดเงียบ ความไม่คลุกคลีด้วยหมู่
ความปรารภความเพียร ความสมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และ
วิมุตติญาณทัสสนะ แก่ภิกษุทั้งหลายอีกด้วย เป็นผู้สอน แนะให้เข้าใจชี้ชวน
พวกภิกษุเพื่อนพรหมจรรย์ ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง.
ภิกษุชาวชาติภูมิเหล่านั้น กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใน
ชาติภูมิ ท่านพระปุณณมันตานีบุตร เป็นผู้ที่พวกภิกษุเพื่อนพรหมจรรย์ชาว
ชาติภูมิประเทศยกย่องว่า ตนเองเป็นผู้มักน้อย สันโดษ สงัดเงียบ ไม่คลุก
คลีด้วยหมู่ ปรารภความเพียร สมบูรณ์ด้วยศีล. สมาธิ ปัญญา วิมุตติและ
วิมุตติญาณทัสสนะแล้ว ยังกล่าวเรื่องความมักน้อย ความสันโดษ ความสงัด
เงียบ ความไม่คลุกคลีด้วยหมู่ ความปรารภความเพียร ความสมบูรณ์ด้วยศีล

347
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 348 (เล่ม 18)

สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัสสนะ แก่ภิกษุทั้งหลายอีกด้วย เป็น
ผู้สอน แนะให้เข้าใจ ชี้ชวนพวกภิกษุเพื่อนพรหมจรรย์ ให้เห็นแจ้ง ให้
สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง.
[๒๙๓] สมัยนั้น ท่านพระสารีบุตรีนั่งเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ ณ
ที่ใกล้จึงดำริว่า เป็นลาภของท่านปุณณมันตานีบุตร ความเป็นมนุษย์อันท่าน
ปุณณมันตานีบุตรได้ดีแล้ว ที่พวกภิกษุเพื่อนพรหมจรรย์ผู้เป็นวิญญูชน กล่าว
ยกย่องพรรณนาคุณเฉพาะพระพักตร์พระศาสดา และพระศาสดาก็ทรงอนุ-
โมทนาการกระทำนั้น บางทีเราคงได้พบกับท่านปุณณมันตานีบุตรแล้ว สนทนา
ปราศรัยกันสักครั้งหนึ่ง.
[๒๙๔ ] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่สำราญพระอัธยาศัย
ณ กรุงราชคฤห์ เสด็จจาริกไปโดยลำดับ ถึงกรุงสาวัตถี ประทับอยู่ในพระวิหาร-
เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี.
ท่านพระปุณณมันตานีบุตรได้ข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงกรุง
สาวัตถี ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
กรุงสาวัตถี ท่านจึงเก็บงำเสนาสนะ ถือบาตรและจีวร จาริกไปโดยลำดับตาม
ทางที่จะไปยังกรุงสาวัตถี ถึงพระวิหารเชตวันแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าถึงที่ประทับแล้ว ถวายอภิวาทนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นนั่ง
เรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงยังพระปุณณมันตานีบุตรให้เห็นแจ้ง
ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมิกถา.
ครั้งนั้น ท่านพระปุณณมันตานีบุตร เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้
เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมิกถาแล้ว ชื่นชม อนุ-
โมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะถวายอภิวาท ทำประทักษิณ
แล้วเข้าไปสู่ป่าอันธวัน เพื่อพักกลางวัน

348
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 349 (เล่ม 18)

[๒๙๕] ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรแล้วแจ้ง
ข่าวว่า ข้าแต่ท่านสารีบุตร ท่านพระปุณณมันตานีบุตร ที่ท่านได้สรรเสริญ
อยู่เนืองๆนั้น บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้ท่านเห็นแจ้ง ให้สมาทาน
ให้อาจหาญ ให้ร่าเริงด้วยธรรมิกถาแล้ว ท่านก็ชื่นชม อนุโมทนาภาษิตของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าทำประทักษิณ
หลีกไปสู่ป่าอันธวัน เพื่อพักในกลางวัน.
ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรรีบถือผ้านิสีทนะ แล้วติดตามท่าน
พระปุณณมันตานีบุตรไปข้างหลัง ๆ พอเห็นศีรษะกัน. ครั้งนั้นท่านพระปุณณ-
มันตานีบุตรเข้าไปในป่าอันธวันแล้ว นั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง แม้
ท่านพระสารีบุตรเข้าไปสู่ป่าอันธวันแล้ว ก็นั่งพักกลางวัน อยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง
เหมือนกัน.
ปัญหาว่าด้วยการอยู่ประพฤติพรหมจรรย์
[๒๙๖] เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตรออกจากที่พักผ่อนแล้ว เข้าไปหา
ท่านพระปุณณมันตานีบุตร ให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงถามท่านพระปุณณมันตานีบุตรว่า ผู้มีอายุ ท่าน
ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราหรือ.
ท่านพระปุณณมันตานีบุตรตอบว่า อย่างนั้นสิผู้มีอายุ.
สา. ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อสีลวิสุทธิ
หรือ.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจิตตวิสุทธิ
หรือ.
ปุ. ไม่ใช่.

349
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 350 (เล่ม 18)

สา. ถ้าเช่นนั้น ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อ
ทิฐิวิสุทธิหรือ.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. ถ้าเช่นนั้น ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อ
กังขาวิตรณวิสุทธิหรือ.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. ถ้าเช่นนั้น ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อ
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิหรือ.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. ถ้าเช่นนั้น ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อ
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิหรือ.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. ถ้าเช่นนั้น ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า
เพื่อญาณทัสสนวิสุทธิหรือ.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. ท่านผู้มีอายุ ผมถามท่านว่า ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้
มีพระภาคเจ้า เพื่อสีลวิสุทธิหรือ ท่านตอบว่า ไม่ใช่ เมื่อผมถามว่า ท่าน
ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจิตตวิสุทธิหรือ เพื่อทิฏฐิวิ-
สุทธิ หรือ เพื่อกังขาวิตรณวิสุทธิหรือ เพื่อมัคคญาณทัสสนวิสุทธิหรือ เพื่อ
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิหรือ เพื่อญาณทัสสนวิสุทธิหรือ ท่านก็ตอบว่า ไม่ใช่
ทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่ออะไร
เล่า.

350
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 351 (เล่ม 18)

ปุ. ผู้มีอายุ ผมประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อ
อนุปาทาปรินิพพาน.
สา. สีลวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. จิตตวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. ทิฏฐิวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. กังขาวิตรณวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน.
ป. ไม่ใช่.
สา. มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. ปฎิปทาญาณทัสสนวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. ท่านผู้มีอายุ ญาณทัสสนวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. ที่นอกไปจากธรรมเหล่านี้หรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน.
ปุ. ไม่ใช่.
สา. ผู้มีอายุ ผมถามว่า สีลวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน จิตต-
วิสุทธิ หรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน ทิฏฐิวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน
กังขาวิตรณวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน มัคคมัคคญาณทัสสนวิสุทธิหรือ
เป็นอนุปาทาปรินิพพาน ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน
ญาณทัสสนวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน ที่นอกไปจากธรรมเหล่านี้หรือ

351
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 352 (เล่ม 18)

เป็นอนุปาทาปรินิพพาน ท่านก็ตอบว่า ไม่ใช่ทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จะพึง
เห็นเนื้อความของถ้อยคำที่ท่านกล่าวนี้อย่างไรเล่า.
[๒๙๗] ปุ. ผู้มีอายุ ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงบัญญัติสีลวิสุทธิ
ว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพานแล้ว ก็ชื่อว่าทรงบัญญัติธรรมที่ยังมีอุปาทานี้ ว่าเป็น
อนุปาทาปรินิพพาน ถ้าจักทรงบัญญัติจิตตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิ-
สุทธิ มัคคามัคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ ญาณทัสสนวิสุทธิ
ว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพานแล้ว ก็ชื่อว่าทรงบัญญัติธรรมที่ยังมีอุปาทาน ว่าเป็น
อนุปาทาปรินิพพาน ถ้าหากว่าธรรมนอกจากธรรมเหล่านี้ จักเป็นอนุปาทา-
ปรินิพพานแล้ว ปุถุชนจะชื่อว่าปรินิพพาน เพราะว่าปุถุชนไม่มีธรรมเหล่านี้
ผู้มีอายุ ผมจะอุปมาให้ท่านฟัง บุรุษผู้เป็นวิญญูชนบางพวกในโลกนี้ ย่อมรู้
เนื้อความแห่งคำที่กล่าวแล้วด้วยอุปมา.
อุปมาด้วยรถ ๗ ผลัด
[๒๙๘] ผู้มีอายุ เปรียบเหมือนพระเจ้าปเสนทิโกศล กำลังประทับ
อยู่ในกรุงสาวัตถี มีพระราชกรณียะด่วนบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองสาเกต และ
ในระหว่างกรุงสาวัตถีกับเมืองสาเกตนั้น จะต้องใช้รถถึง ๗ ผลัด ลำดับนั้น
พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จออกจากกรุงสาวัตถี ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่หนึ่งที่
ประตูพระราชวัง ไปถึงรถพระที่นั่งผลัดที่สองด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่หนึ่ง จึง
ปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่หนึ่ง ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่สอง เสด็จไปถึงรถพระ-
ที่นั่งผลัดที่สาม ด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่สอง ทรงปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่สอง
ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่สาม เสด็จถึงรถพระที่นั่งผลัดที่สี่ ด้วยรถพระที่นั่งผลัด
ที่สาม ปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่สาม ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่สี่ เสด็จที่รถ
พระที่นั่งผลัดที่ห้า ด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่สี่ ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่ห้า เสด็จ

352