หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 323 (เล่ม 18)

ประมาณยิ่ง เจริญอริยมรรค มีศรัทธาเป็นตัวนำ มีศรัทธาเป็นประธาน
บุคคลนี้ ท่านเรียกว่า สัทธานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล
เป็นสัทธานุสารีบุคคลผู้ตั้งอยู่ในผล ผู้น้อมไปด้วยศรัทธา. ด้วยคำว่า เยสํ
มยํ สทฺธามตฺตํ เปมมตฺตํ นี้ท่านประสงค์เอาเหล่าบุคคลผู้เจริญวิปัสสนาที่
ไม่มีอริยธรรมอย่างอื่น แต่มีเพียงความเชื่อ เพียงความรักในพระตถาคต
เท่านั้น. จริงอยู่ เหล่าภิกษุผู้นั่งเริ่มวิปัสสนาเกิดความเชื่ออย่างหนึ่ง ความรัก
อย่างหนึ่งในพระทศพล เธอก็เป็นเสมือนความเชื่อนั้น ความรักนั้น จับมือไป
วางไว้ในสวรรค์. นัยว่า ภิกษุเหล่านั้น มีคติที่แน่นอน. ส่วนเหล่าพระเถระ
เก่า ๆ เรียกภิกษุเหล่านั้นว่า พระจุลลโสดาบัน. คำที่เหลือในที่ทุกแห่งง่ายทั้ง
นั้นแล.
จบอรรถกถาอลคัททูปสูตรที่ ๒

323
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 324 (เล่ม 18)

๓. วัมมิกสูตร
[๒๘๙] ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. สมัยนั้น ท่านพระกุมารกัสสปะพัก
อยู่ที่ป่าอันธวัน. ครั้งนั้นเทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณงามยิ่ง เมื่อราตรีล่วงปฐมยาม
แล้ว ยังป่อันธวันทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปหาท่านพระกุมารกัสสปะได้ยืน ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กล่าวกะท่านพระกุมารกัสสปะว่า ดูก่อนภิกษุ จอมปลวก
นี้พ่นควันในกลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน พราหมณ์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อ
สุเมธะ เจ้าจงเอาศาสตราไปขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นลิ่มสลัก จึง
เรียนว่า ลิ่มสลักขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกลิ่มสลัก
ขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นอึ่ง จึงเรียนว่าอึ่งขอรับ.
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกอึ่งขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะ
เอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นทาง ๒ แพร่ง จึงเรียนว่าทาง ๒ แพร่งขอรีบ. พราหมณ์
กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงก่นทาง ๒ แพร่งเสีย เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะ
เอาศาตราขุดลงไปได้เห็นหม้อกรองน้ำด่าง จึงเรียนว่า หม้อกรองน้ำด่าง ขอรับ.
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้น เอาศาสตรา
ขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นเต่า จึงเรียนว่า เต่าขอรับ. พราหมณ์
กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเต่าขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตรา
ขุดดูไปได้เห็นเขียงหั่นเนื้อ จึงเรียนว่า เขียงหั่นเนื้อ ขอรับ. พราหมณ์กล่าว
อย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเขียงหั่นเนื้อขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอา
ศาสตราขุดลงไปได้เห็นชิ้นเนื้อ จึงเรียนว่าชิ้นเนื้อขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้

324
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 325 (เล่ม 18)

ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกชิ้นเนื้อขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลง
ไปได้เห็นนาค จึงเรียนว่า นาคขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า นาคจงอยู่
เจ้าอย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทำความนอบน้อมต่อนาค. ดูก่อนภิกษุ ท่านพึง
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลถามปัญญา ๑๕ ข้อเหล่านี้แล ท่านพึงจำ
ทรงปัญหาเหล่านั้น ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์. ดูก่อนภิกษุ
ข้าพเจ้าย่อมไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใน
หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ ที่จะยังจิตให้ยินดีด้วยการ
พยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ นอกจากพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต หรือ
เพราะฟังจากสำนักนี้. เทวดานั่นครั้นกล่าวคำนี้แล้ว ได้หายไปในที่นั้นแล.
ทูลถามปัญหา ๑๕ ข้อ
[๒๙๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระกุมารกัสสปะ เมื่อราตรีนั้นล่วงไปแล้ว
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระเจ้า ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบ
ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อคืนนี้เทวดาองค์หนึ่ง มี
วรรณงามยิ่ง ราตรีล่วงปฐมยามไปแล้ว ยังป่าอันธวันทั้งสิ้นให้สว่างแล้วเข้า
ไปหาข้าพระองค์ ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กล่าวกะข้าพระองค์ว่า ดูก่อน
ภิกษุ จอมปลวกนี้พ่นควัน ในเวลากลางคืน ลุกโพลงในกลางวัน พราหมณ์
ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงเอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไป
ได้เห็นลิ่มสลัก จึงเรียนว่า ลิ่มสลักขอรับ. พราหมณ์ กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อ
สุเมธะ เจ้าจงยกลิ่มสลักขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็น
อึ่ง จึงเรียนว่า อื่นขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกอึ่ง
ขึ้น เอาศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นทาง ๒ แห่ง จึงเรียน
ว่า ทาง ๒ แพร่งขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ. เจ้าจงก่นทาง
๒ แพร่งเสีย เอาศาสตราขุดดู สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นหม้อกรองน้ำ
ด่าง จึงเรียนว่า หม้อกรองน้ำด่างขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ

325
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 326 (เล่ม 18)

เจ้าจงยกหม้อกรองน้ำด่างขึ้นเอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็น
เต่า จึงเรียนว่า เต่าขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยก
เต่าขึ้น เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นเขียงหั่นเนื้อจึงเรียน
ว่า เขียงหั่นเนื้อขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงยกเขียง
หั่นเนื้อขึ้นเอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นชิ้นเนื้อ จึงเรียน
ว่า ชิ้นเนื้อขอรับ. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อสุเมธะ. เจ้าจงยกชิ้นเนื้อขึ้น
เอาศาสตราขุดดู. สุเมธะเอาศาสตราขุดลงไปได้เห็นนาค จึงเรียนว่า นาคขอรับ.
พราหมณ์กล่าวอย่างนี้ว่า นาคจงอยู่เถิด เจ้าจงอย่าเบียดเบียนนาคเลย จงทำ
ความนอบน้อมต่อนาค. ดูก่อนภิกษุ ท่านพึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูล
ถาม ปัญหา ๑๕ ข้อเหล่านี้เเล ท่านพึงจำทรงปัญหาเหล่านั้นตามที่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าทรงพยากรณ์. ดูก่อนภิกษุ ข้าพเจ้าย่อมไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อมทั้ง
เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและ
มนุษย์ ที่ยังจิตให้ยินดีด้วยการพยากรณ์ปัญหาเหล่านี้ นอกจากพระตถาคต
หรือสาวกของพระตถาคต หรือเพราะฟังจากสำนักนี้. เทวดานั้นครั้น กล่าวคำนี้
แล้วได้หายไปในที่นั้นแล.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลชื่อว่าจอมปลวก อย่างไรชื่อว่า
พ่นควันในกลางคืน อย่างไรชื่อว่าลุกโพลงในกลางวัน อะไรชื่อว่าพราหมณ์
อะไรชื่อว่าสุเมธะ อะไรชื่อว่าศาสตรา อย่างไรชื่อว่าการขุด อะไรชื่อว่าลิ่มสลัก
อะไรชื่อว่าอึ่ง อะไรชื่อว่าทาง ๒ แพร่ง อะไรชื่อว่าหม้อกรองน้ำด่าง อะไร
ชื่อว่าเต่า อะไรชื่อว่าเขียงหั่นเนื้อ อะไรชื่อว่าชิ้นเนื้อ อะไรชื่อว่านาค ดังนี้.
ทรงพยากรณ์ปัญหา ๑๕ ข้อ
[๒๙๑] ผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ดูก่อนภิกษุ คำว่าจอม
ปลวกนั่นเป็นชื่อของกายนี้ อันประกอบด้วยมหาภูตรูปทั้ง ๔ ซึ่งมีมารดาบิดา
เป็นแดนเกิด เจริญด้วยข้าวสุกและขนมกุมมาส ไม่เที่ยง ต้องอบรม ต้องนวด

326
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 327 (เล่ม 18)

ฟั้น มีอันทำลายและกระจัดกระจายไปเป็นธรรมดา. ปัญหาข้อว่า อย่างไรชื่อว่า
พ่นควันในกลางคืนนั้น ดูก่อนภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลขมักเขม้นการงานใน
กลางวัน แล้วตรึกถึงตรองถึงในกลางคืน นี้ชื่อว่าพ่นควันในกลางคืน. ปัญหา
ข้อว่า อย่างไรชื่อว่าลุกโพลงในกลางวันนั้น ดูก่อนภิกษุ ได้แก่การที่บุคคลตรึก
ถึงตรองถึง (การงาน) ในกลางคืน แล้วย่อมประกอบการงานในกลางวัน
ด้วยกาย ด้วยวาจา นี้ชื่อว่าลุกโพลงในกลางวัน. ดูก่อนภิกษุ คำว่าพราหมณ์
นั้น เป็นชื่อของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. คำว่าสุเมธะนั้น เป็น
ชื่อของเสขภิกษุ. คำว่าศาตรานั้นเป็นชื่อของปัญญาอันประเสริฐ. คำว่าจงขุดนั้น
เป็นชื่อของการปรารภความเพียร. คำว่าลิ่มสลักนั้น เป็นชื่อของอวิชชา. คำนั้นมี
อธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดั่งศาสตรา ยกลิ่มสลักขึ้น คือ
จงละอวิชชาเสีย จงขุดมันขึ้นเสีย. คำว่าอึ่งนั้นเป็นชื่อแห่งความคับแค้น ด้วย
อำนาจความโกรธ. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดัง
ศาสตรา ยกอึ่งขึ้นเสีย คือจงละความคับแค้นด้วยอำนาจความโกรธเสีย จงขุด
มันเสีย. คำว่าทาง ๒ แพร่งนั้น เป็นชื่อแห่งวิจิกิจฉา. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า
พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดั่งศาสตรา ก่นทาง ๒ แพร่งเสีย คือจงละวิจิกิจฉา
เสีย จงขุดมันเสีย. คำว่าหม้อกรองน้ำด่างนั้น เป็นชื่อของนิวรณ์ ๕ คือ กามฉันท-
นิวรณ์ พยาบาทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์ วิจิกิจฉานิวรณ์.
คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกหม้อ
กรองน้ำด่างขึ้นเสีย คือจงละนิวรณ์ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย. คำว่าเต่านั้น เป็น
ชื่อของอุปาทานขันธ์ ๕ คือ รูปปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์
สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ
เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกเต่าขึ้นเสียคือ จงละอุปาทานขันธ์ ๕ เสีย
จงขุดขึ้นเสีย. คำว่าเขียงหั่นเนื้อนั้น เป็นชื่อของกามคุณ ๕ คือ รูปอันจะพึงรู้

327
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 328 (เล่ม 18)

แจ้งด้วยจักษุ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นรูปที่น่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงอันจะพึงรู้แจ้งด้วยโสต. . . กลิ่นอันจะพึงรู้แจ้ง
ด้วยฆานะ. . .รสอันจะพึงรู้แจ้งด้วยชิวหา...โผฏฐัพพะอันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย
น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นรูปที่น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้ง
แห่งความกำหนัด. คำนั้น มีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจงใช้ปัญญาเพียงดัง
ศาสตรา ยกเขียงหั่นเนื้อเสีย คือ จงละกามคุณ ๕ เสีย จงขุดขึ้นเสีย. คำว่า
ชิ้นเนื้อนั้น เป็นชื่อของนันทิราคะ. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า พ่อสุเมธะ เจ้าจง
ใช้ปัญญาเพียงดังศาสตรา ยกชิ้นเนื้อขึ้นเสีย คือ จงละนันทิราคะ จงขุดขึ้นเสีย.
คำว่านาคนั้น เป็นชื่อของภิกษุผู้ขีณาสพ. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า นาคจงหยุด
อยู่เถิด เจ้าอย่าเบียดเบียนนาค จงทำความนอบน้อมต่อนาคดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระกุมารกัสสปะ
มีใจชื่นชม เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้แล.
จบ วัมมิกสูตร ที่ ๓

328
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 329 (เล่ม 18)

อรรถกถาวัมมิกสูตร
วัมมิกสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้:-
พึงทราบวินิจฉัยในวัมมิกสูตรนั้น คำว่า อายสฺมา นี้เป็นคำกล่าว
แสดงถึงความน่ารัก. คำว่า กุมารกสฺสโป เป็นชื่อของท่าน. แต่เพราะท่าน
บวชในเวลายังเด็ก เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า จงเรียกกัสสปมา จงให้
ผลไม้ หรือของเคี้ยวนี้แก่กัสสป เพราะภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า กัสสป องค์ไหน
จึงขนานนามท่านอย่างนี้ว่า กุมารกัสสป ตั้งแต่นั้นมา ในเวลาที่ท่านแก่เฒ่า
ก็ยังเรียกว่า กุมารกัสสปอยู่นั้นเอง. อีกอย่างหนึ่ง คนทั้งหลายจำหมายท่านว่า
กุมารกัสสป เพราะเป็นบุตรเลี้ยงของพระราชา. จะกล่าวให้แจ่มแจ้งตั้งแต่
บุพพประโยคของท่าน ดังต่อไปนี้.
ดังได้สดับมา พระเถระเป็นบุตรเศรษฐี ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า
ปทุมุตตระ. ต่อมาวันหนึ่ง พระเถระเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถาปนาสาวก
ของพระองค์รูปหนึ่ง ผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรไว้ในฐานันดร ถวายทาน ๗ วัน
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทำความปรารถนาว่า ข้าแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ข้า-
พระองค์ ก็พึงเป็นสาวกผู้กล่าวธรรมได้วิจิตรเหมือนพระเถระรูปนี้ ของ
พระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ดังนี้แล้ว กระทำบุญทั้งหลาย
บวชในพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนานว่ากัสสป ไม่อาจทำคุณวิเศษ
ให้บังเกิดได้. ได้ยินว่า ครั้งนั้นเมื่อพระศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ
ปรินิพพานแล้วเสื่อมลง ภิกษุ ๕ รูปผูกบันไดขึ้นภูเขา กระทำสมณธรรม.
พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตต์วันที่ ๓. พระอนุเถระเป็นพระอนาคามี
วันที่ ๔. ฝ่ายพระเถระอีก ๓ รูปไม่อาจทำคุณวิเศษให้บังเกิด ก็ไปบังเกิด
ในเทวโลก. เมื่อเทพเหล่านั้นเสวยสมบัติในเทวดาและมนุษย์ตลอดพุทธันดร

329
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 330 (เล่ม 18)

หนึ่ง องค์หนึ่งก็ไปเกิดในราชตระกูล กรุงตักกสิลา เป็นพระราชา
พระนามว่า ปุกกุสาติ บวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า มาสู่กรุงราชคฤห์ ฟัง
พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่โรงช่างหม้อ บรรลุอนาคามิผล.
องค์หนึ่ง บังเกิดในเรือนสกุลใกล้ท่าเรือแห่งสุปารกะแห่งหนึ่ง ขึ้นเรือ เรือ
อัปปาง นุ่งท่อนไม้แทนผ้า ถึงลาภสมบัติเกิดความคิดขึ้นว่า ข้าเป็นพระอรหันต์
ถูกเทวดาผู้หวังดีตักเตือนว่า ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ดอก ไปทูลถามปัญหากะ
พระศาสดาเถิด ได้กระทำเหมือนอย่างนั้น บรรลุอรหัตตผล. องค์หนึ่งเกิดในท้อง
ของหญิงผู้มีสกุลคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์. นางได้อ้อนวอนมารดาบิดา เมื่อ
ไม่ได้บรรพชาก็แต่งงาน ไม่รู้ตัวว่าตั้งครรภ์ อ้อนวอนสามี สามีอนุญาตก็บวช
ในสำนักภิกษุณี. ภิกษุณีทั้งหลายเห็นนางตั้งครรภ์จึงถามพระเทวทัต. พระ-
เทวทัตตอบว่า นางไม่เป็นสมณะแล้ว. เหล่าภิกษุณีจึงไปทูลถามพระทศพล.
พระศาสดาโปรดให้พระอุบาลีรับเรื่องไว้พิจารณา พระเถระให้เชิญสกุลชาว
พระนครสาวัตถีและนางวิสาขาอุบาสิกา ให้ช่วยกันชำระ (ได้ข้อเท็จจริงแล้ว)
จึงกล่ววว่า นางมีครรภ์มาก่อน บรรพชาจึงไม่เสีย. พระศาสดาประทานสาธุการ
แก่พระเถระว่า อุบาลีวินิจฉัยอธิกรณ์ชอบแล้ว. ภิกษุณีนั้นคลอดบุตรมีประพิม
ประพายดังเเท่งทอง. พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงรับเด็กนั้นมาชุบเลี้ยง. ประทาน
นามเด็กนั้นว่า กัสสป ต่อมาทรงเลี้ยงเจริญวัยแล้ว นำไปยังสำนักพระศาสดา
ให้บรรพชา. ดังนั้น คนทั้งหลายจึงหมายชื่อเด็กนั้นว่า กุมารกัสสป เพราะ
เป็นบุตรเลี้ยงของพระราชา แล.
บทว่า อนฺธวเน ได้แก่ ป่ามีชื่ออย่างนี้. เขาว่า ป่านั้น มีชื่อ
อย่างนี้ในครั้งพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ ปรากฏชื่อว่า อันธวัน นั่นแล. ในป่า
อันธวันนั้นจะกระทำเรื่องราวให้แจ่มแจ้งดังต่อไปนี้.

330
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 331 (เล่ม 18)

จริงอยู่ สรีรธาตุของพระพุทธเจ้าผู้มีชนมายุน้อย ไม่เป็นแท่งเดียวกัน
ย่อมกระจัดกระจายไปด้วยอานุภาพแห่งการอธิษฐาน. ด้วยเหตุนั้นนั่นแล พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายทรงอธิษฐานว่า เราดำรงอยู่ได้ไม่ยั่งยืน เหล่า
สัตว์เป็นจำนวนน้อยเห็นเรา ที่ไม่เห็นเราจำนวนมากกว่า สัตว์เหล่านั้นถือเอา
ธาตุของเราบูชาอยู่ในที่นั้น จักมีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า เพราะฉะนั้น คราว
ปรินิพพาน ขอสรีรธาตุของเราจงกระจัดกระจายไป. ส่วนพระพุทธเจ้าผู้มีพระ-
ชนมายุยืน พระสรีรธาตุตั้งอยู่เป็นแห่งเดียวกัน เหมือนแท่งทองคำ. พระสรีร-
ธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้พระนามว่ากัสสปะ ก็ตั้งอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน.
แต่นั้น มหาชนก็ประชุมปรึกษากันว่า เราไม่อาจจะแยกพระธาตุที่เป็นแท่งเดียว
กันได้ พวกเราจะทำอย่างไร จึงตกลงกันว่า เราจักทำพระธาตุแท่งเดียวนั้นแล
ให้เป็นพระเจดีย์ จะมีขนาดเท่าไหร่. พวกหนึ่งบอกว่า เอา ๗ โยชน์ แต่ตกลง
กันว่า นั่นใหญ่เกินไป ใคร ๆไม่อาจจะบำรุงได้ในอนาคตกาล เอา ๖ โยชน์ ๕
โยชน์ ๔ โยชน์ ๓ โยชน์ ๒ โยชน์ ๑ โยชน์ ปรึกษากันว่า จะใช้อิฐเช่นไร ตก
ลงกันว่า ภายนอกเป็นอิฐแท่งเดียวทำด้วยทองสีแดงมีค่า ๑๐๐๐๐๐, ภายใน มีค่า
๕๐,๐๐๐ ฉาบด้วยหรดาล และมโนสิลาแทนดิน ชะโลมด้วยน้ำมันแทนน้ำ แยก
มุขทั้ง ๔ ออกด้านละ ๔. พระราชาทรงรับมุขหนึ่ง ปฐวินธรกุมานราชบุตรรับ
มุขหนึ่ง เสนาบดีหัวหน้าอำมาตย์รับมุขหนึ่ง เศรษฐีหัวหน้าชาวชนบทรับมุข
หนึ่ง. บรรดาชนเหล่านั้น เพราะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์ แม้พระราชาให้ขน
ทองมา ทรงเริ่มงานที่มุขที่พระองค์รับไว้ ทั้งอุปราชทั้งเสนาบดีก็เหมือนกัน.
ส่วนงานที่มุขที่เศรษฐีรับไว้หย่อนไป. ครั้นนั้นอุบาสกคนหนึ่ง ชื่อยโสธร เป็น
อริยสาวกชั้นอนาคามีทรงพระไตรปิฏก รู้ว่า เศรษฐีนั้นทำงานหย่อนไป จึง
ให้เทียมเกวียน ๕๐๐ เล่มไปในชนบทชักชวนคนทั้งหลายว่า พระกัสสปสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ทรงพระชนม์ ๒๐,๐๐๐ ปี ปรินิพพานนานแล้ว พวกเราจักทำ

331
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 332 (เล่ม 18)

รัตนเจดีย์โยชน์หนึ่งของพระองค์ ผู้ใดจะสามารถจะให้สิ่งใด จะเป็นทองหรือ
เงิน แก้ว ๗ ประการ หรดาล หรือมโนสิลา ก็ตามที ผู้นั้นจงให้สิ่งนั้น. ชน
ทั้งหลายได้ให้เงินและทองเป็นต้น ตามกำลังของตน ๆ เมื่อไม่สามารถจะให้
ก็ให้น้ำมันและข้าวสารเป็นต้นเท่านั้น. อุบาสกส่งน้ำมันและข้าวสารเป็นต้น
เพื่อเป็นอาหารประจำวัน แก่กรรมกรทั้งหลาย ที่เหลือจงใจจะให้ทองส่งไป
ได้ป่าวร้องไปทั่วชมพูทวีปด้วยอาการอย่างนี้. งานที่พระเจดีย์เสร็จแล้ว เพราะ
ฉะนั้น พวกเขาส่งหนังสือไปจากเจดีย์สถานว่า การงานเสร็จแล้ว ขออาจารย์
จงมาไหว้พระเจดีย์. แม้อาจารย์ก็ส่งหนังสือไปว่า เราชักชวนชมพูทวีปทั่วแล้ว
สิ่งใดที่มีอยู่ จงถือเอาสิ่งนั้นทำการงานให้สำเร็จ. หนังสือ ๒ ฉบับมาประจวบกัน
ระหว่างทาง แต่หนังสือจากเจดีย์สถานมาถึงมือของอาจารย์ก่อนหนังสือของ
อาจารย์. อาจารย์นั้นอ่านหนังสือแล้วก็คิดว่า จักไหว้พระเจดีย์ ก็ออกไปตาม
ลำพัง. ระหว่างทางโจร ๕๐๐ ก็ปรากฏขึ้นที่ดง. บรรดาโจรเหล่านั้นบางพวก
เห็นอาจารย์นั้น คิดว่า คนผู้นี้รวบรวมเงินและทองจากชมพูทวีปทั้งสิ้น คน
ทั้งหลาย ผู้รักษาขุมทรัพย์คงมากันแล้ว จึงบอกแก่โจรที่เหลือแล้ว จับอาจารย์
นั้น. อาจารย์ถามว่า พ่อเอ๋ย เหตุไรพวกเจ้าจึงจับเรา. พวกโจรตอบว่า ท่าน
รวบรวมเงินและทองทั้งหมดจากชมพูทวีป ท่านจงให้ทรัพย์เล็ก ๆ น้อย ๆ แก่
พวกเราเถอะ. อาจารย์ถามว่า พวกเจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า พระพุทธเจ้าพระนาม
ว่ากัสสป ปรินิพพานแล้ว พวกเรากำลังสร้างพระรัตนเจดีย์โยชน์หนึ่งสำหรับ
พระองค์ ก็ข้าชักชวนเขาเพื่อประโยชน์นั้น ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ ของตน ฉะนั้น
จำส่งของที่เก็บไว้ๆ แล้วไปในที่นั้นแหละ ส่วนผ้านอกจากที่นุ่งมา ก็ไม่มีอะไร
อย่างอื่นแม้แต่กากณึกหนึ่ง. โจรพวกหนึ่งกล่าวว่า ข้อนั้นจริงอย่างนั้น ก็จง
ปล่อยอาจารย์ไปเสีย. โจรพวกหนึ่งกล่าวว่า อาจารย์ผู้นี้ พระราชาก็บูชา
อำมาตย์ก็บูชา เห็นบางคนในพวกเราที่ถนนพระนคร พึงบอกพระราชา

332