ฯบทว่า สจฺจโต แปลว่า โดยความเป็นจริง. บทว่า เถตโต แปลว่า โดย
เป็นแท้ หรือมั่นคง.
บัดนี้ เมื่อไม่ทรงถือเบญขันธ์ด้วยปริวัฏฏ ๓ อย่างนี้คือ อนิจฺจํ
ทุกฺขํ อนตฺตา เมื่อจะทรงแสดงว่า ภิกษุนี้ก็เหมือนอริฏฐภิกษุ ใส่เปือกตม
หยากไย่ ลงในศาสนาของเรา จึงตรัสว่า ตํ กึ มญฺญถ ภิกฺขเว รูปํ นิจฺจํวา
เป็นต้น. บทว่า อนิจฺจํ ภนฺเต ความว่า พระเจ้าข้า เพราะเหตุที่รูปมีแล้ว
ไม่มี ฉะนั้นรูปจึงไม่เที่ยง ที่ชื่อว่าไม่เที่ยงเพราะเหตุ ๔ ประการ คือ เพราะ
เกิดแล้วก็เสื่อมไป หรือเพราะอรรถว่าแปรปรวน เป็นไปชั่วคราว และปฏิเสธ
ความเที่ยง. บทว่า ทุกฺขํ ภนฺเต ความว่า พระเจ้าข้า รูปชื่อว่าทุกข์โดยอาการ
คือ เบียดเบียน ชื่อว่าเป็นทุกข์ด้วยเหตุ ๔ อย่างคือ เพราะอรรถว่าทำให้เร่าร้อน
ทนได้ยาก เป็นที่ตั้งแห่งทุกข์และปฏิเสธความสุข. บทว่า วิปริณามธมฺมํ
ความว่า มีอันก้าวลงและเข้าถึงภพเป็นสภาวะ คือมีอันละความเป็นปกติเป็น
สภาวะ. บทว่า กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุํ เอตํ มม เอโสหมสฺมิ เอโส เม
อตฺตา ความว่า สมควรหรือที่จะมายึดถือรูปนั้นอย่างนี้ว่า เรา ของเรา ด้วย
อำนาจแห่งการ ยึดถือแห่งตัณหา มานะ และทิฏฐิ ทั้ง ๓ เหล่านี้. ด้วยบทนี้ว่า
โน เหตํ ภนฺเต ภิกษุเหล่านั้นย่อมปฏิญาณว่า รูปเป็นอนัตตา พระเจ้าข้า
ด้วยอาการไม่เป็นไปในอำนาจ รูปชื่อว่าเป็นอนัตตา ด้วยเหตุ ๔ คือ ด้วย
อรรถว่าเป็นของสูญ ไม่มีเจ้าของ ไม่เป็นใหญ่ และปฏิเสธอัตตา. จริงอยู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความเป็นอนัตตาด้วยอำนาจเป็นของไม่เที่ยง ไว้
ในที่ไหน ด้วยอำนาจความเป็นทุกข์ไว้ในที่ไหน ด้วยอำนาจความเป็นของ
ไม่เที่ยง และความเป็นทุกข์ไว้ในที่ไหน. จริงอยู่ ทรงแสดงความเป็นอนัตตา
ด้วยอำนาจความไม่เที่ยงไว้ในฉฉักกสูตรนี้ว่า ผู้ใดพึงกล่าวว่า จักษุเป็นอัตตา