หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 303 (เล่ม 18)

ความว่า อถ โข ภควา นี้เป็นอนุสนธิแผนกหนึ่ง. จริงอยู่ พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงชำระบริษัทในที่นี้ จึงทรงขับพระอริฏฐออกเสียจากหมู่
ก็ถ้าหากว่า บรรดาบริษัททั้งหลาย ภิกษุบางรูปจะพึงคิดอย่างนี้ว่า อริฏฐะนี้
หรือจักอาจกล่าวคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัส เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
เริ่มกถา ก็รีบตรัสในท่ามกลางสงฆ์เลยหรือ ก็คำที่ตรัสอย่างนี้ พระอริฏฐะเท่า
นั้นไม่ฟัง แต่จักเป็นพระดำรัสที่ภิกษุแม้อื่นฟังกันแล้ว แม้เช่นนั้นภิกษุบางรูป
นั้นพึงคิดว่า พระศาสดาทรงนิคคหะภิกษุอริฏฐะฉันใด พึงทรงนิคคหะแม้เรา
ฉันนั้น แม้ฟังแล้วก็ต้องนิ่ง จักไม่ทำการนั้นทั้งหมด คำที่แม้เราไม่กล่าว แม้
คำที่คนอื่นฟังก็ไม่มี. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชำระลัทธิในบริษัท
ด้วยพระดำรัสว่า ตุมฺเหปิ เม ภิกฺขเว เป็นต้น พระอริฏฐะชื่อว่าเป็นอัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขับไล่จากคณะ ด้วยการชำระลัทธิในบริษัทนั่นแหละ.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงประกาศลัทธิของภิกษุอริฏฐะจึง
ตรัสคำมีอาทิว่า โส วต ภิกฺขเว ดังนี้. พึงทราบวินิจฉัยในคำเป็นต้นว่า
อญฺญตเรว กาเมหิ ในบาลีนั้น ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นใด
มีลัทธิอย่างนี้ว่า ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง ภิกษุนั้น
หนอจักเสพวัตถุกามทั้งหลาย คือจักประพฤติเมถุนสมาจาร เว้นกิเลสกามและ
สัญญาวิตกที่ประกอบด้วยกิเลสกาม ละธรรมเหล่านั้น คือเว้นจากธรรมเหล่า
นั้น. บทว่า เนตํ ฐานํ วิชฺชติ ความว่า ชื่อว่า ชื่อเหตุนี้ไม่มี คือเหตุนี้
มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส.
ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศลัทธิของพระอริฏฐะ
ว่า อริฏฐะนี้เปรียบเหมือนช่างย้อม ถือเอาผ้าที่หอมบ้าง เหม็นบ้าง เก่าบ้าง
ใหม่บ้าง สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง มาห่อรวมเป็นห่อเดียวกัน ฉันใด เธอ
ก็กระทำการบริโภคจีวรประณีตเป็นต้นที่ไม่มีฉันทราคะสำหรับภิกษุ กระทำ

303
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 304 (เล่ม 18)

การบริโภคที่มีฉันทราคะอันกระทำอันตราย สำหรับคฤหัสถ์ที่มีศีลไม่ประจำ
และทำการบริโภคที่มีฉันทราคะอันกระทำป้องกัน สำหรับภิกษุมีที่ศีลประจำ
รวมเป็นอันเดียวกันทั้งหมด บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงโทษของปริยัติที่เรียนมาไม่
ดี จึงตรัสว่า อิธ ภิกฺขเว เอกจฺเจ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
ปริยาปุณนฺติ แปลว่าเล่าเรียน. พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สุตํ เป็นต้น
อุภโตวิภังค์ นิทเทส ขันธกะและบริวารมงคลสูตร รัตนสูตร นาฬกสูตร
ตุวัฏฏกสูตร ในสุตตนิบาต และตถาคตวจนะ แม้อื่นที่มีชื่อว่าสูตร พึงทราบว่า
สูตร. สูตรที่มีคาถาทั้งหมด พึงทราบว่า เคยยะ. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สคาถวรรค
ทั้งสิ้นในสังยุตตนิกาย พึงทราบว่า เคยยะ. อภิธรรมปิฏกทั้งสิ้น สูตรที่ไม่มีคาถา
และพุทธพจน์แม้อื่นที่สงเคราะห์ด้วยองค์ ๘ พึงทราบว่า เวยยากรณะ. ธรรม
บท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถาล้วนที่ไม่ชื่อว่าสูตรในสุตตนิบาต พึงทราบ
ว่า คาถา. พระสูตร ๘๒ สูตร ที่เกี่ยวด้วยคาถาที่สำเร็จมาแต่โสมนัสญาณ
พึงทราบว่า อุทาน. พระสูตร ๑๑๐ สูตร ที่เป็นไปโดยอาทิว่า วุตฺตมิทํ
ภตวตา พึงทราบว่า อิติวุตตกะ. ชาดก ๕๕๐ เรื่อง มีอปัณณกชาดกเป็น
ต้น พึงทราบว่า ชาดก. พระสูตรที่เกียวด้วยอัจฉริยอัพภูตธรรมแม้ทั้งหมด
ที่เป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า จตฺตาโรเม ภิกฺขเว อจฺฉริยา อพฺภูตธมฺมา
อานนฺเท พึงทราบว่า อัพภูตธรรม. พระสูตรที่ตรัสถามแล้ว ได้ความรู้
ได้ความยินดีทั้งหมด มีจุลลเวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร
สักกปัญหสูตร สังขารภาชนียสูตร มหาปุณณสูตรเป็นต้น พึงทราบว่า
เวทัลละ.
บทว่า อตฺถํ น อุปริกฺขนฺติ ได้แก่ ไม่เห็น และกำหนดไม่ได้
ซึ่งอรรถแห่งสูตร ซึ่งอรรถแห่งเหตุ. บทว่า อนุปปริกฺขตํ ได้แก่ กำหนด

304
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 305 (เล่ม 18)

ไม่ได้. บทว่า น นิชฺฌานํ ขมนฺติ ได้แก่ ไม่ปรากฏ คือไม่มาปรากฎ.
อธิบายว่า ใคร ๆ ไม่อาจจะรู้อย่างนี้ว่า ศีล สมาธิ ปัญญ า มรรค ผล
วัฏฏะ. หรือวิวัฏฏะ ตรัสไว้แล้วในที่นี้. บทว่า เต อุปารมฺภานิสํสา เจว
ความว่า กุลบุตรเหล่านั้น เป็นผู้ไม่ยกโทษในวาทะของคนเหล่าอื่นเป็นอานิสงส์
เล่าเรียน. บทว่า อิติวาทปฺปโมกฺขานิสํสา จ ได้แก่ มีการปลดเปลื้อง
วาทะอย่างนี้เป็นอานิสงส์ เล่าเรียน อธิบายว่า ไม่เล่าเรียนด้วยเหตุนี้ว่า เมื่อ
คนอื่นยกโทษวาทะของตน เราจักเปลื้องโทษนั้นอย่างนี้. บทว่า ตญฺจสฺส
อตฺถํ นานุโภนฺติ ความว่า กุลบุตรทั้งหลาย เล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์
มรรคหรือผลอันใด เรียนไม่ดี ย่อมไม่ได้รับประโยชน์นั้นของธรรมนั้น อนึ่ง
แม้เมื่อไม่อาจจะยกโทษในวาทะของผู้อื่น และปลดเปลื้องวาทะของตน ย่อม
ไม่ได้รับประโยชน์นั้นเหมือนกัน. บทว่า อลคทฺทตฺถิโก ได้แก่ ผู้ต้อง
การอสรพิษ. ก็คำว่า คทฺโท เป็นชื่อของพิษ. พิษนั้นของงูนั้น มีพอ คือ
บริบูรณ์ เหตุนั้น อสรพิษนั้น จึงชื่อว่าอลคัททะ มีพิษพอตัว. บทว่า โภเค
ได้แก่ ตัว. ข้อว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็กุลบุตรบางพวกในโลกนี้ เล่า
เรียนธรรม ได้แก่เล่าเรียนด้วยอำนาจนิตถรณปริยัติ.
จริงอยู่. ปริยัติมี ๓ คือ อลคัททปริยัติ นิตถรณปริยัติ ภัณฑาคา-
ริกปริยัติ. บรรดาปริยัติทั้ง ๓ นั้น ภิกษุใดเล่าเรียนพุทธวจนะ เหตุปรารภ
ลาภสักการะว่า เราจักได้จีวรเป็นต้นหรือคนทั้งหลายจักรู้จักเราในท่ามกลาง
บริษัท ๔ อย่างนี้ ปริยัตินั้นของภิกษุนั้น ชื่อว่า อลคัททปริยัติ. จริงอยู่ การ
ไม่เล่าเรียนพุทธวจนะ แล้วนอนหลับเสีย ยังดีกว่าการเล่าเรียนอย่างนี้. ส่วน
ภิกษุใดเล่าเรียนด้วยคิดว่า เล่าเรียนพุทธวจนะ บำเพ็ญศีลในฐานะที่ศีลมาถึง
เข้า ให้ถือเอาห้องสมาธิในฐานะที่สมาธิมาถึงเข้า เริ่มตั้งวิปัสสนาในฐานะ
ที่วิปัสสนามาถึงเข้า ทำมรรคให้เกิด ทำให้แจ้งผล ในฐานะที่มรรคผลมาแล้ว

305
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 306 (เล่ม 18)

ปริยัตินั้นของภิกษุนั้นชื่อว่า นิตถรณปริยัติ. ปริยัติของพระขีณาสพ ชื่อว่า
ภัณฑาคาริกปริยัติ. จริงอยู่ ทุกขสัจที่ยังไม่กำหนดรู้ สมุทัยสัจที่ยังละไม่ได้
มรรคสัจที่ยังไม่ได้เจริญ หรือนิโรธสัจที่ยังไม่ทำให้แจ้ง ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพ
นั้น ด้วยว่า พระขีณาสพนั้น กำหนดรู้ขันธ์แล้ว ละกิเลสได้แล้ว เจริญ
มรรคแล้ว ทำให้แจ้งผลแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านเล่าเรียนพุทธวจนะ จึงเล่าเรียน
เป็นผู้ทรงแบบแผน รักษาประเพณี อนุรักษ์วงศ์ ดังนั้น ปริยัตินั้นของท่าน
จึงชื่อว่า ภัณฑาคาริกปริยัติ. ถามว่า ก็เมื่อพวกคันถธุระ ไม่สามารถจะอยู่
ในที่แห่งหนึ่งในเพราะฉาตกภัยเป็นต้น ปุถุชนใดเมื่อไม่ลำบากด้วยภิกษาจารเอง
เล่าเรียนด้วยคิดว่า ขอพระพุทธวจนะที่ไพเราะยิ่งอย่าสูญเสียไป เราจักดำรง
แบบแผน จักรักษาประเพณีไว้ ปริยัติของปุถุชนนั้นเป็นภัณฑาคาริกปริยัติ หรือ
ไม่เป็น. ตอบว่า ไม่เป็น. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะความที่ตน
มิได้ตั้งอยู่ในฐานเล่าเรียน จริงอยู่ ชื่อว่า ปริยัติของปุถุชน เป็นอลคัททะ
บ้าง เป็นนิตถรณะบ้าง. ปริยัติของพระเสขะทั้ง ๗ เป็นนิตถรณะอย่างเดียว
ปริยัติของพระขีณาสพ เป็นภัณฑาคาริกปริยัติเท่านั้น แต่ในที่นี้ท่านประสงค์เอา
นิตถรณปริยัติ.
บทว่า นิชฺฌานํ ขมนฺติ ความว่า ธรรมทั้งหลายย่อมมาปรากฏ
ในอาคตสถานแห่งธรรมมีศีลเป็นต้นว่า ศีล ตรัสไว้ในที่นี้ สมาธิในที่นี้. วิปัส-
สนาในที่นี้ มรรคในที่นี้ ผลในที่นี้ วัฏฏะในที่นี้ วิวัฏฏะในที่นี้. บทว่า
ตญฺจสฺส อตฺถํ อนุโภนฺติ ความว่า กุลบุตรทั้งหลายย่อมเล่าเรียนเพื่อ
มรรคผลอันใด กุลบุตรเหล่านั้นอาศัยปริยัติที่เล่าเรียนดีแล้ว ทำมรรคให้เกิด
ทำผลให้แจ้ง และเสวยประโยชน์นั้นของธรรมนั้น. แม้ไม่สามารถจะยกโทษ
ในวาทะของผู้อื่นก็ดีไม่สามารถจะถือเอาฐานะที่ตนปรารถนาแล้วปรารถนาอีก
เปลื้องโทษที่เขายกในวาทะของตนก็ดี ชื่อว่า เสวยประโยชน์เหมือนกัน. บทว่า
ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย สํวตฺตนฺติ ความว่า เมื่อบำเพ็ญศีลเป็นต้นใน

306
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 307 (เล่ม 18)

ฐานะแห่งศีลเป็นต้นมาแล้วก็ดี ยกโทษในวาทะของผู้อื่นโดยชอบธรรมก็ดี
เปลื้องโทษจากวาทะของตนก็ดี บรรลุอรหัตต์แล้วแสดงธรรม ในท่ามกลาง
บริษัท บริโภคปัจจัย ๔ ที่คนผู้เลื่อมใสในพระธรรมเทศนาน้อมเข้าไปถวายก็ดี
ธรรมเหล่านั้นย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน.
ครั้นทรงแสดงอานิสงส์ในพระพุทธวจนะที่เรียนดีอย่างนี้แล้ว บัดนี้
เมื่อจะทรงประกอบบริษัทไว้ในพุทธวจนะนั้นนั่นแล จึงตรัสคำอาทิว่า ตสฺมา
ติห ภิกฺขเว ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา ความว่า
เพราะเหตุที่ปริยัติที่เรียนมาไม่ดี ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์
ตลอดกาลนาน เหมือนงูพิษที่จับไม่ดีฉะนั้น ส่วนปริยัติที่เรียนมาดี ย่อมเป็น
ไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดกาลนาน เหมือนงูพิษที่จับไว้ดี
ฉะนั้น. บทว่า ตถา นํ ธาเรยฺยาถ ความว่า พึงทรงปริยัตินั้นไว้อย่าง
นั้นนั่นแล คือทรงไว้โดยอรรถนั้นนั่นแล. บทว่า เย วา ปนสฺสุ พฺยตฺตา
ภิกฺขู ความว่า ก็หรือว่าพึงสอบถามเหล่าภิกษุผู้ฉลาดผู้บัณฑิตมีพระสารีบุตร
พระโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ และพระมหากัจจานะเป็นต้น แต่ภิกษุ
ไม่พึงเป็นเหมือนอริฏฐภิกษุใส่เปือกตมหรือหยากใย่ลงในศาสนาของเรา. บทว่า
กุลฺลูปมํ แปลว่า เหมือนทุ่น. บทว่า นิตฺถรณตฺถาย ได้แก่ เพื่อประโยชน์
แก่การข้ามโอฆะ ๔. บทว่า อุทกณฺณวํ ความว่า ก็น้ำใดลึกแต่ไม่กว้าง
หรือ กว้างแต่ไม่ลึก น้ำนั้นท่านไม่เรียกว่า อัณณพ ส่วนน้ำใดทั้งลึกทั้งกว้าง
น้ำนั้นท่านเรียกว่า อัณณพ เพราะฉะนั้น อรรถในบทว่า มหนฺตํ
อุทกณฺณวํ นี้จึงมีความดังนี้ว่า น้ำใหญ่คือกว้าง ลึก. ที่ใดมีโอกาสที่โจรอยู่
ยืน นั่ง นอน ปรากฏอยู่ ที่นั้น ชื่อว่า สาลังกะ น่าสงสัย. ที่ใดมีเหล่ามนุษย์ถูก
พวกโจรมาปล้น ตีชิง ปรากฏอยู่ ที่นั้น ชื่อว่าสัปปฏิภยะมีภัยปรากฏเฉพาะหน้า.
สะพานที่เขาผูกไว้เบื้องบนห้วงน้ำ ชื่อว่า อุตตรเสตุ แปลว่า สะพานข้าม. บทว่า

307
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 308 (เล่ม 18)

กุลฺลํ พนฺธิตฺวา ความว่า กอไม้เป็นต้น ที่เขามัดเป็นกำเพื่อประโยชน์แก่
ข้ามน้ำ ชื่อว่า ทุ่น ส่วนกอไม้เป็นต้นที่เขามัดแผ่ ๆ ท่านเรียกว่า แพ. บทว่า
อุสฺสาเปตฺวา แปลว่า ตั้งไว้. บทว่า กิจฺจการี ความว่า ทำกิจที่ถึงแล้ว
ทำกิจที่ควร ทำกิจที่เหมาะ. ในคำว่า ธมฺมาปิ โว ปทาตพฺพา นี้ ธรรม
ทั้งหลาย ชื่อว่า สมถะ และวิปัสสนา. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้
ละฉันทราคะ ทั้งในสมถะ ทั้งในวิปัสสนา. ทรงให้ละฉันทราคะในสมถะไว้
ในที่ไหน. ทรงให้ละฉันทราคะไว้ในสมถะ ในที่นี้ว่า ดูก่อนอุทายี
เพราะเหตุนี้แล เรากล่าวการละแม้เนวสัญญานาสัญายตนะ ดูก่อนอุทายี
เธอไม่เห็นสังโยชน์ อันละเอียดหรือหยาบ ที่เรามิได้กล่าวการละไว้. ทรงให้ละ
ฉันทราคะไว้ในวิปัสสนา ในที่นี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากพวกเธอไม่เกาะ
ไม่ยึด ไม่ถือทิฏฐินี้ ที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนี้. แต่ในที่นี้พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อทรงให้ละฉันทราคะในสมถะ และวิปัสสนาทั้ง ๒ จึงตรัสว่า แม้ธรรม
ทั้งหลายพวกเธอพึงละ จะป่วยกล่าวไปไย ถึงอธรรมทั้งหลาย. ในข้อนั้นมีอธิ-
บายดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการละฉันทราคะในธรรมทั้งหลาย
อันสงบ และประณีตเห็นปานนี้ ก็จะป่วยกล่าวไปไยในอัสสัทธรรมนี้ ซึ่งเป็น
ของชาวบ้าน เป็นของถ่อย เป็นธรรมชั่วหยาบ เป็นธรรมเหลวไหล ซึ่ง
อริฏฐะ โมฆบุรุษนี้ สำคัญว่าไม่มีโทษ กล่าวฉันทราคะในกามคุณทั้ง ๕ ว่า
เป็นธรรมไม่อาจทำอันตรายได้ พวกเธอไม่พึงเป็นเหมือนอริฏฐภิกษุ ใส่
โคลนหรือหยากเยื่อลงในศาสนาของเรา.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนิคคหะอริฏฐภิกษุผู้เดียว ด้วยโอวาทแม้นี้ ด้วย
ประการฉะนี้ บัดนี้เมื่อทรงแสดงว่า ผู้ใดยึดว่าเรา ของเรา ด้วยอำนาจการยึดถือ
สามอย่างในขันธ์ ๕ ผู้นั้นชื่อว่าใส่โคลนหรือหยากเยื่อ ลงในศาสนาของเรา
เหมือนอริฏฐภิกษุนี้ จึงตรัสว่า ฉยิมานิ ภิกฺขเว เป็นต้น. บรรดาบท

308
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 309 (เล่ม 18)

เหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐิฏฺฐานานิ ความว่า แม้ทิฏฐิ ก็ชื่อว่า ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ
ทั้งอารมณ์ของทิฏฐิ ทั้งปัจจัยของทิฏฐิ ก็ชื่อว่า ที่ตั้งของทิฏฐิ ในบทว่า
รูปํ เอตํ มม เป็นต้น การถือว่า นั่นของเรา เป็นตัณหาคาหะ การถือ
ว่าเราเป็นนั่นเป็นมานคาหะ การถือว่า นั่นเป็นตัวของเราเป็นทิฏฐิคาหะ เป็น
อันตรัส ตัณหา มานะ และทิฏฐิ ซึ่งมีรูปเป็นอารมณ์ด้วยประการฉะนี้
ส่วนรูปไม่ควรกล่าวว่าเป็นอัตต. เเม้ในเวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
รูปายตนะ ชื่อว่า ทิฏฐะ สัททายตนะ ชื่อว่า สุตะ คันธายตนะ รสายตนะ
และโผฏฐัพพายตนะ ชื่อว่า มุตะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ
นั้น ท่านกล่าวว่า มุตะ เพราะพบแล้วยึดไว้. อายตนะ ๗ ที่เหลือชื่อว่า
วิญญาตะ. บทว่า ปตฺตํ ได้แก่ ที่แสวงหาก็ดี ไม่แสวงหาก็ดี พบแล้ว.
บทว่า ปริเยสิตํ ได้แก่ที่พบหรือไม่พบก็แสวงหาแล้ว. บทว่า อนุวิจริตํ
มนสา ได้แก่ ติดตามด้วยจิต. จริงอยู่ ในโลกของที่แสวงหาแล้วพบก็มี
แสวงหาแล้วไม่พบก็มี ไม่แสวงหาแล้วพบก็มี ไม่แสวงหาแล้วไม่พบก็มี. ใน
ที่ตั้งแห่งความเห็นนั้น ของที่แสวงหาแล้วพบ ชื่อว่า ปัตตะ ของที่แสวงหา
แล้วไม่พบชื่อว่า ปริเยสิตะ ของที่ไม่แสวงหาแล้วพบ และของที่ไม่แสวงหา
แล้วไม่พบ ชื่อว่า มนสานุจริต. อีกนัยหนึ่ง ของที่แสวงหาแล้วพบก็ดี ของ
ที่ไม่แสวงหาไม่พบก็ดี ชื่อว่า ปัตตะ เพราะอรรถว่าพบแล้ว. ของที่แสวงหาไม่พบ
อย่างเดียว ชื่อว่า ปริเยสิตะ ของที่ไม่แสวงหาแล้วพบ และของที่ไม่แสวงหาแล้ว
ไม่พบ ชื่อว่า มนสานุจริตะ หรือว่า ของนั้นทั้งหมด ชื่อว่า มนสานุจริตะ เพราะ
เป็นของติดตามด้วยใจ ตัณหา มานะ ทิฏฐิที่มีวิญญาณเป็นอารมณ์ ตรัสด้วยบทนี้
วิญญาณ ตรัสด้วยอ่านาจทิฏฐิเป็นต้นเป็นอารมณ์ ในหนหลังด้วยอำนาจการ
ยักย้ายแห่งเทศนา.
บทว่า ยํปิ ตํ ทิฏฺฐิฏฺฐานํ ได้แก่ ที่ตั้งแห่งทิฏฐิ ที่เป็นไปโดยนัยมี
อาทิว่า ยํปิ ตํ เอตํ โส โลโก. บทว่า โส โลโก โส อตฺตา ความว่า

309
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 310 (เล่ม 18)

ทิฏฐิที่เป็นไปโดยนัยเป็นต้นว่า ผู้นั้นเห็นรูปโดยเป็นอัตตา ย่อมยึดถือว่า เป็น
โลก เป็นอัตตา ท่านหมายเอาทิฏฐินั้นจึงกล่าวไว้ดังนี้. บทว่า โส เปจฺจ ภวิ-
สฺสามิ ความว่า เรานั้นไปปรโลกแล้ว จักอยู่เป็นนิจ ยั่งยืนเที่ยง มีความ
ไม่แปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เสมอด้วยความยั่นยืน ดุจภูเขาสิเนรุ
มหาปฐพีและมหาสมุทรเป็นต้นฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า ตํปิ เอตํ มม
ความว่า ย่อมตามเห็นว่าทัสสนะแม้นั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นอัตตา
ของเรา. ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ที่มีทิฏฐิเป็นอารมณ์ ตรัสด้วยบทนี้. เวลา
ถือทิฏฐิครั้งแรก มีได้ด้วยทิฏฐิครั้งหลังอย่างนี้ เหมือนเวลากับเห็นแจ้งด้วย
วิปัสสนา. ในสุกกปักข์ ฝ่ายขาว ทรงคัดค้าน การยึดถือด้วยตัณหา มานะ
และทิฏฐิในรูปว่า นั่นไม่ใช่รูปของเราเป็นต้น. แม้ในเวทนาเป็นต้นก็นัยนี้
เหมือนกัน. ก็บทนี้ว่า สมนุปสฺสติ ความว่า สมนุปัสสนามี ๔ คือ ตัณหา
สมนุปัสสนา มานสมนุปัสสนา ทิฏฐิสมนุปัสสนา ญาณสมนุปัสสนา. เนื้อ
ความแห่งสมนุปัสสนาเหล่านั้น พึงทราบด้วยอำนาจ สมนุปัสสนา ๓ อยู่ใน
กัณหปักข์ ญาณสมนุปัสสนา อยู่ในสุกกปักข์. บทว่า อสติ น ปริตสฺสติ
ความว่า เมื่อความยึดถือไม่มี เธอย่อมไม่สะดุ้ง ด้วยความสะดุ้งด้วยภัย หรือด้วย
ความสะดุ้งด้วยตัณหา. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงแสดงถึงพระขีณาสพผู้ไม่
สะดุ้ง เพราะความพินาศแห่งขันธ์ภายใน จึงทรงจบเทศนาด้วยบทนี้.
บทว่า เอวํ วุตฺเต อญฺญตโร ภิกฺขุ ความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาค-
เจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุผู้ฉลาดในอนุสนธิรูปหนึ่งคิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ครั้นทรงแสดงถึงพระขีณาสพผู้ไม่สะดุ้ง เพราะความพินาศแห่งขันธ์ภายใน ทรง
จบเทศนาก็เมื่อพระขีณาสพไม่สะดุ้งภายในอยู่ ภิกษุผู้สะดุ้งภายใน ภิกษุผู้สะดุ้ง
ภายนอก ภิกษุผู้สะดุ้งเพราะความพินาศในบริขาร และแม้ผู้ไม่สะดุ้ง พึงมี
เราจะถามปัญหานี้ ด้วยเหตุ ๔ ประการ ดังกล่าวมา แล้วจึงทำจีวรเฉวียงบ่า

310
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 311 (เล่ม 18)

ประคองอัญชลีกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้. บทว่า พหิทฺธา อสติ ได้แก่
ในภายนอก คือเพราะความพินาศแห่งบริขาร. บทว่า อหุ วต เม ความว่า
สิ่งของ ยาน พาหนะ เงิน ทอง ของเรา ได้มีแล้วหนอ. บทว่า ตํ วต เม นตฺถิ
ความว่า บัดนี้ สิ่งของนั้นหนอของเราไม่มี คือ ถูกพระราชาริบเอาเสียบ้าง
พวกโจรลักไปบ้าง ไฟใหม้บ้าง ถูกน้ำพัดไปเสียบ้าง คร่ำคร่าเพราะใช้สอยบ้าง.
บทว่า สิยา วต เม ความว่า ยาน พาหนะ เงิน ทอง ข้าวสาลี ข้าวเปลือก
ข้าวเหนียว ข้าวละมานของเรามีหนอ. บทว่า ตํ วตาหํ น ลภามิ ความว่า
เศร้าโศกว่า เราเมื่อไม่ได้ของนั้น บัดนี้เราก็ไม่ได้เพราะไม่ทำงานที่สมควร
แก่ทรัพย์นั้นนั่นเอง นี้ชื่อว่า ความเศร้าโศกของผู้ครองเรือน (คฤหัสถ์). ความ
เศร้าโศกของผู้ไม่ครองเรือน (บรรพชิต) พึงทราบด้วยอำนาจบาตรจีวรเป็นต้น.
พึงทราบในอปริตัสสนาวาร ดังต่อไปนี้ บทว่า น เอวํ โหติ ความ
ว่า ความสะดุ้งพึงมีอย่างนี้ เพราะกิเลสเหล่าใด ย่อมไม่มีอย่างนี้ เพราะกิเลส
เหล่านั้นได้ละแล้ว. บทว่า ทิฏฺฐิฏฺฐานาธิฏฺฐานปริยุฏฺฐานาภินิเวสานุ-
สยานํ ความว่า ซึ่งทิฏฐิ ที่ตั้งทิฏฐิ ที่ตั้งมั่นแห่งทิฏฐิ ที่กลุ้มรุมแห่งทิฏฐิ
และที่นอนเนื่องแห่งความถือมั่น. บทว่า สพฺพสงฺขารสมถาย ได้แก่ เพื่อ
ประโยชน์แก่ความดับ. จริงอยู่ ความหวั่น ความไหว ความผันแปรแห่งสังขาร
ทั้งปวง มาถึงพระนิพพานย่อมสงบระงับไป เพราะฉะนั้น พระนิพพานนั้นท่าน
จึงเรียกว่า เป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง. อนึ่ง อุปธิเหล่านี้ คือ อุปธิ คือ ขันธ์
อุปธิ คือ กิเลส อุปธิคืออภิสังขาร อุปธิคือกามคุณ ๕ มาถึงพระนิพพานนั้น
นั่นแล ก็สลัดคืนไป ตัณหา ก็สิ้น ก็คลาย ก็ดับ เพราะฉะนั้น พระนิพพานนั้น
ท่านจึงเรียกว่า สัพพูปธิปฏินิสสัคคะ. เป็นที่สลัดคืนอุปธิทั้งปวง ตัณหักขยะ
เป็นที่สิ้นตัณหา วิราคะ คายราคะ นิโรธดับ. ศัพท์ว่า นิพฺพานาย นี้เป็น
นิเทสสรุปแห่งพระนิพพานนั้น. ดังนั้น ท่านแสดงความนี้ว่า เมื่อทรงแสดง

311
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 312 (เล่ม 18)

ธรรมเพื่อประโยชน์แก่การกระทำให้แจ้งพระนิพพาน ด้วยบทเหล่านั้นทั้งหมด
ทีเดียว. บทว่า ตสฺเสวํ โหติ ความว่า ภิกษุผ้มีทิฏฐินั้นย่อมมีความคิด
อย่างนี้ว่า เราจักขาดสูญ เราจักพินาศ เราจักไม่มี. จริงอยู่ ภิกษุผู้มีทิฏฐิ
ฟังธรรมที่ทรงยกขึ้นสู่ไตรลักษณ์แสดงให้เกี่ยวด้วยสุญญตาอยู่ เกิดความสะดุ้ง.
สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ไม่สดับ
ย่อมมีความสะดุ้งอย่างนี้ว่า มีเราและไม่มีเรา.
ด้วยถ้อยคำมีประมาณเท่านี้ ตรัสสุญญตา มี ๔ เงื่อนด้วยสามารถ
แห่งภิกษุเหล่านี้คือภิกษุผู้สะดุ้ง และผู้ไม่สะดุ้งเพราะความพินาศแห่งปริขารภาย
นอก คู่ ๑ และภิกษุผู้สะดุ้งและผู้ไม่สะดุ้งเพราะความพินาศแห่งขันธ์ภายในคู่ ๑.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงสุญญตา ๓ เงื่อน คือ จัดปริกขารภายนอก
ให้ชื่อว่า ทิฏฐิปริคคหะ จัดสักกายทิฏฐิที่มีวัตถุ ๒๐ ให้ชื่อว่า อัตตวาทุปาทาน
จัดทิฏฐิ ๖๒ ซึ่งมีสักกายทิฏฐิเป็นหัวหน้าให้ชื่อว่า ทิฏฐินิสสยะ จึงตรัสว่า
ภิกฺขเว ปริคฺคหํ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริคฺคหํ ได้แก่
ปริกขารภายนอก. บทว่า ปริคฺคณฺเหยฺย ความว่า มนุษย์วิญญูชน พึง
กำหนดยึดถือ. ด้วยบทว่า อหํปิ โข ตํ ภิกฺขเว ทรงแสดงว่า ดูก่อนภิกษุ
แม้พวกเธอก็ไม่เห็น แม้เราก็ไม่เห็น ดังนั้น ความกำหนดเห็นปานนั้น ก็ไม่มี.
พึงทราบความในบททั้งปวงด้วยประการฉะนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงสุญญตา ๓ เงื่อนอย่างนี้แล้ว บัดนี้
เมื่อจะทรงแสดง ๒ เงื่อน คือ อัตตา ในขันธ์ภายใน และที่เนื่องด้วยตนใน
ปริขารภายนอก จึงตรัสคำอาทิว่า อตฺตนิ วา ภิกฺขเว สติ เป็นต้น. ในคำ
นั้นมีความสังเขปดังนี้ว่า เมื่อตนมีอยู่ บริขารของเรานี้ก็เนื่องในตนหรือว่า
เมื่อปริขารที่เนื่องกับตนมีอยู่ อัตตาของเรานี้ก็เป็นเจ้าของบริขารนี้ เราก็
เหมือนกัน พึงประกอบคำว่า เมื่อวัตถุมีอยู่ ของ ๆ เราก็มี เราก็มี ดังนี้.

312