ความว่า อถ โข ภควา นี้เป็นอนุสนธิแผนกหนึ่ง. จริงอยู่ พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงชำระบริษัทในที่นี้ จึงทรงขับพระอริฏฐออกเสียจากหมู่
ก็ถ้าหากว่า บรรดาบริษัททั้งหลาย ภิกษุบางรูปจะพึงคิดอย่างนี้ว่า อริฏฐะนี้
หรือจักอาจกล่าวคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัส เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
เริ่มกถา ก็รีบตรัสในท่ามกลางสงฆ์เลยหรือ ก็คำที่ตรัสอย่างนี้ พระอริฏฐะเท่า
นั้นไม่ฟัง แต่จักเป็นพระดำรัสที่ภิกษุแม้อื่นฟังกันแล้ว แม้เช่นนั้นภิกษุบางรูป
นั้นพึงคิดว่า พระศาสดาทรงนิคคหะภิกษุอริฏฐะฉันใด พึงทรงนิคคหะแม้เรา
ฉันนั้น แม้ฟังแล้วก็ต้องนิ่ง จักไม่ทำการนั้นทั้งหมด คำที่แม้เราไม่กล่าว แม้
คำที่คนอื่นฟังก็ไม่มี. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชำระลัทธิในบริษัท
ด้วยพระดำรัสว่า ตุมฺเหปิ เม ภิกฺขเว เป็นต้น พระอริฏฐะชื่อว่าเป็นอัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขับไล่จากคณะ ด้วยการชำระลัทธิในบริษัทนั่นแหละ.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงประกาศลัทธิของภิกษุอริฏฐะจึง
ตรัสคำมีอาทิว่า โส วต ภิกฺขเว ดังนี้. พึงทราบวินิจฉัยในคำเป็นต้นว่า
อญฺญตเรว กาเมหิ ในบาลีนั้น ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นใด
มีลัทธิอย่างนี้ว่า ธรรมเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายแก่ผู้เสพได้จริง ภิกษุนั้น
หนอจักเสพวัตถุกามทั้งหลาย คือจักประพฤติเมถุนสมาจาร เว้นกิเลสกามและ
สัญญาวิตกที่ประกอบด้วยกิเลสกาม ละธรรมเหล่านั้น คือเว้นจากธรรมเหล่า
นั้น. บทว่า เนตํ ฐานํ วิชฺชติ ความว่า ชื่อว่า ชื่อเหตุนี้ไม่มี คือเหตุนี้
มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส.
ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศลัทธิของพระอริฏฐะ
ว่า อริฏฐะนี้เปรียบเหมือนช่างย้อม ถือเอาผ้าที่หอมบ้าง เหม็นบ้าง เก่าบ้าง
ใหม่บ้าง สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง มาห่อรวมเป็นห่อเดียวกัน ฉันใด เธอ
ก็กระทำการบริโภคจีวรประณีตเป็นต้นที่ไม่มีฉันทราคะสำหรับภิกษุ กระทำ