หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 263 (เล่ม 18)

อ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์หรือไม่
ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าวก็ตาม
แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจัก
ไม่เปล่งวาจาที่ชั่ว เราจักอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์ เราจักมีเมตตาจิต ไม่มีโทสะ
ในภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และเราจักแผ่เมตตาจิตอันเสมอ
ด้วยแม่น้ำคงคาไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท
ไปตลอดโลกทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายพึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แล.
[๒๗๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนกระสอบหนังแนวที่นาย
ช่างหนังฟอกดีเรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่มดังปุยนุ่นและสำลี เป็นกระสอบที่ดีได้
ไม่ดังก้อง ถ้ามีบุรุษถือเอาไม้หรือกระเบื้องมาพูดขึ้นอย่างนี้ว่า เราจักทำกระสอบ
หนังแมว ที่เขาฟอกไว้ดีเรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่มดังปุยนุ่นและสำสี ที่ตีได้ไม่ดัง
ก้องนี้ให้เป็นของมีเสียงดังก้อง ด้วยไม้หรือกระเบื้องดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะทำกระสอบหนังแมวที่เขา
ฟอกไว้ดีเรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่มดังปุยนุ่นและสำลี ที่ตีได้ไม่ดังก้องนี้
ให้กลับมีเสียงดังก้องขึ้น ด้วยไม้หรือกระเบื้องได้หรือไม่. ไม่ได้
พระเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุไร. เพราะเหตุว่า กระสอบหนังแมวนี้
เขาฟอกดีเรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่มดังปุยนุ่นและสำลี ซึ่งเป็นของที่ตีได้ไม่
ดังก้อง เขาจะทำกระสอบหนังแมวนั้น ให้กลับเป็นของมีเสียงดังก้องขึ้นด้วย
ไม้หรือกระเบื้องไม่ได้ง่ายเลย บุรุษคนนั้น จะต้องเหน็ดเหนื่อยลำบาก
เสียเปล่าเป็นแน่แท้ ดังนี้ แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคล
อื่นจะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการคือ กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร
๑ กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑ กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือหยาบคาย ๑
กล่าวด้วยคำมีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ ๑ มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายใน

263
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 264 (เล่ม 18)

กล่าว ๑ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคนอื่นจะกล่าวโดยกาลอัน
สมควร หรือไม่สมควรก็ตาม จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าว
ด้วยถ้อยคำอ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม จะกล่าวด้วยถ้อยคำมีประโยชน์หรือ
ไร้ประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะะในภายในกล่าวก็ตาม แม้ในข้อนั้น
พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่าจิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาที่ชั่ว
เราจักอนุเคราะห์ผู้อื่นด้วยประโยชน์ เราจักมีเมตตาจิต ไม่มีโทสะในภายใน
เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และเราจักแผ่เมตตาจิตอันเสมอด้วยกระสอบ
หนังแมว ไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไป
ตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายพึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แล.
[๒๗๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติ
ต่ำช้า เอาเลื่อยที่มีด้ามสองข้าง เลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ในเหตุนั้น
ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใดมีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้น
ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น ภิกษุ
ทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่
แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาที่ชั่ว เราจักอนุเคราะห์ผู้อื่นด้วยประโยชน์
เราจักมีเมตตาจิตไม่มีโทสะในภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึ่งบุคคลนั้น และ
เราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท
ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้ ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอพึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แล.
[๒๗๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็พวกเธอควรใส่ใจถึงโอวาทอันเปรียบ
ด้วยเลื่อยนี้เนืองนิตย์เถิด พวกเธอจะไม่มองเห็นทางแห่งถ้อยคำที่มีโทษน้อย
หรือโทษมาก ที่พวกเธอจะอดกลั้นไม่ได้ หรือยังจะมีอยู่บ้าง. ไม่มีพระเจ้าข้า.

264
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 265 (เล่ม 18)

เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงใส่ใจถึงโอวาทอันเปรียบได้ ด้วย
เลื่อยนี้เนืองนิตย์เถิด ข้อนั้นจักเป็นประโยชน์และความสุขแก่พวกเธอสิ้นกาล
นาน ดังนี้แล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมีใจ
ชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.
จบ กกจูปมสูตรที่ ๑

265
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 266 (เล่ม 18)

โอปัมมวรรค
อรรถกถากกจูปมสูตร
กกจูปมสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้.
พึงทราบวินิจฉัยใน กกจูปมสูตรนั้น ดังต่อไปนี้. คำว่า โมลิย-
ผัคคุนะ นี้ มวยผม ท่านเรียกว่า โมลี. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า
เฉตฺวาน โมลี วรคนฺธวาสิตํ
เวหาสยํ อุกฺขิปิ สากฺยปุงฺคโว
รตนจงฺโกฏวเรน วาสโว
สหสฺสเนตฺโต สิรสา ปฏิคฺคหิ.
จอมศากยะผู้ประเสริฐสุด ทรงตัดพระเมาลี
(คือมวยผม) อันอบด้วยของหอมอย่างดีแล้ว
โยนขึ้นไปในอากาศ ท้าววาสวะสหัสสเนตรทรง
เอาผอบแก้ว อันประเสริฐ ทูนพระเศียร รับไว้
ดังนี้.
ในเวลาที่ท่านเป็นคฤหัสถ์มีมวยผมใหญ่ เพราะเหตุนั้น เขาจึงเรียกท่านว่า
โมลิยผัคคุนะ. แม้บวชแล้วชนทั้งหลายก็ยังจำชื่อนั้นได้.
บทว่า อติเวลํ แปลว่า เกินขอบเขต. ในบทว่า อตํเวลํ นั้น
เวลามี ๓ คือ
๑. กาลเวลา ขอบเขตคือเวลา
๒. สีมเวลา ขอบเขตคือเขตแดน
๓. สีลเวลา ขอบเขตคือศีล

266
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 267 (เล่ม 18)

จริงอยู่ ในคำว่า ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้น ดังนี้ เวลานี้ชื่อว่า
กาลเวลา. ในคำว่า ภิกษุผู้มีธรรมอันตั้งอยู่แล้วจะไม่ก้าวล่วงแดน ดังนี้
เวลานี้ ชื่อว่า ลีมเวลา. ในคำว่า การไม่ล่วงละเมิดเวลา คือที่ชื่อเสตุฆาต-
วิรัติ อริยมรรคผู้ฆ่า ซึ่งบาปธรรมอันเป็นนับเนื่องแล้วในพระอริยมรรค ชื่อว่า
เสตุ และในคำว่า ชื่อว่า เวลา เพราะอรรถว่าการไม่ล่วงละเมิดนี้ ดังนี้
เวลานี้ชื่อว่า สีลเวลา.
พระโมลิยผัคคุนะนั้นย่อมก้าวล่วงขอบเขตตามที่กล่าวแล้วนั้นทั้ง ๓
ทีเดียว. จริงอยู่ กาลเวลาสำหรับการให้โอวาทภิกษุณีทั้งหลาย มีอยู่. เมื่อ
พระอาทิตย์อัศดงคตตกแล้ว พระโมลียผัคคุนะนั้นก็ยังกล่าวสอนอยู่ จึงชื่อว่า
เกินกาลเวลาแม้นั้น. ชื่อว่า ประมาณ (การกำหนด) ในการกล่าวสอนภิกษุณี
ทั้งหลาย มีอยู่ ชื่อว่า สีมมริยาทา แปลว่า เขตแดน พระโมลิยปัคคุนะนั้น
กล่าวสอนเกินกว่าห้าหกคำขึ้นไป จึงชื่อว่า เกินสีมเวลาแม้นั้น. ก็พระโมลิย-
ผัคคุนะเมื่อกล่าวธรรมอยู่. ก็กระทำเป็นเล่น (มีการพูดตลกเป็นต้น) ย่อม
กล่าวคำมากเพียงพอที่จะเป็นอาบัติหยาบได้. ด้วยอาการอย่างนี้ ชื่อว่า เกิน
แม้ซึ่งสีลเวลา.
บทว่า สํสฏฺโฐ คือว่าเป็นผู้ปะปนกัน ร่วมสุขทุกข์กัน. บทว่า สมฺมุขา
คือ ข้างหน้า. บทว่า อวณฺณํ ภาสติ ความว่า ภิกษุรูปไร ๆ เห็นพวก
ภิกษุณีเหล่านั้นทำกิจ มีการตำข้าวเป็นต้น ก็จะกล่าวสิ่งที่ไม่เป็นเป็นคุณว่า
ภิกษุณีพวกนี้พระพฤติไม่ดี ว่ายาก เป็นผู้คะนอง คงไม่ต้องอาบัติ ดังนี้.
บทว่า อธิกรณํปิ กโรติ ความว่า พระโมลิยผัคคุนะ ย่อมชัดอธิกรณ์
(เรื่องราว) แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ว่า จำเดิมแต่เห็นภิกษุณีทั้งหลายเหล่านี้แล้ว
ขัดลูกตา การบูชาด้วยดอกไม้ในวิหารนี้ หรือว่า การกระต่าง ๆ มีการชำระ
ล้างอาสนะ. และการประพรมเป็นต้น ย่อมดำเนินโดยภิกษุณีเหล่านี้ ภิกษุณีเหล่านี้
เป็นกุลธิดา เป็นผู้มีความละอาย พวกท่านกล่าวอย่างนี้ ๆ แก่ภิกษุณีเหล่านั้น

267
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 268 (เล่ม 18)

พวกท่านเป็นอาบัติชื่อนี้ พวกท่านจงมาสำนักพระวินัยธร แล้วให้วินิจฉัย
แก่เรา. บทว่า โมลิยผคฺคุนสฺส อวณฺณํ ภาสติ ความว่า ภิกษุไร ๆ
ย่อมกล่าวสิ่งอันมิใช่คุณว่า ชื่อว่า อาบัติ ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนี้ ที่บริเวณของ
พระโมลิยผัคคุนะนี้ ไม่ว่างภิกษุณีตลอดกาลเป็นนิตย์ ดังนี้. บทว่า อธิกรณํปิ
กโรนฺติ ความว่า ย่อมชักอธิกรณ์แก่ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ว่า จำเดิมแก่เรา
เห็นพระโมลิยผัคคุนะเถระแล้ว ย่อมขัดลูกตา ใคร ๆ ไม่อาจแม้แต่จะแลดูที่อยู่
ของพวกภิกษุอื่นในวิหารนี้ได้ พวกภิกษุณีที่มาสู่วิหารนี้ ได้อาศัยพระเถระ
(พระโมลิยผัคคุนะ) รูปเดียวแท้ ๆ จึงได้โอวาทบ้าง การต้อนรับบ้าง
บทอุทเทสบ้าง ท่านเป็นบุตรของผู้มีตระกูล มีความละอาย มีความรำคาญ
พวกท่านจงกล่าวถ้อยคำอย่างนี้ ๆ เห็นปานนี้ พวกท่านจงมา ให้พระวินัยธร
วินิจฉัยแก่เรา ดังนี้. ข้อว่า โส ภิกฺขุ ภควนฺตํ เอตทโวจ ความว่า ได้
กราบทูลเพื่อต้องการจะให้เป็นที่รักก็หาไม่ หรือด้วยประสงค์เพื่อให้เขาแตกกัน
ก็หาไม่ ที่แท้เพื่อมุ่งประโยชน์เท่านั้น.
ได้ยินว่า ภิกษุนั้นคิดว่า เมื่อภิกษุ (โมลิยผัคคุนะ) นี้คลุกคลีอยู่
อย่างนี้ ความเสื่อมยศ จักเกิดขึ้น สิ่งที่มิใช่ยศนั้นเป็นโทษแม้แก่พระศาสนา
ก็พระโมลิยผัคคุนะนี้ถูกภิกษุอื่นตักเตือนแล้วก็จักไม่ยอมงดเว้น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงแสดงธรรมให้โอวาทแล้วก็จักงดเว้น ดังนี้. เพราะภิกษุนั้นเป็น
ผู้มุ่งประโยชน์ จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อายสฺมา ภนฺเต
เป็นต้น แปลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระโมลิยผัคคุนะ คลุกคลีอยู่
กับพวกภิกษุณีเกินขอบเขต เป็นต้น. บทว่า อามนฺเตหิ คือว่า จงให้ทราบ.
บทว่า อามนฺเตติ แปลว่า ตรัสเรียก. บทว่า สทฺธา แปลว่า ด้วยศรัทธา
บทว่า ตสฺมา ความว่า ก็เพราะเหตุที่เธอเป็นบุตรผู้มีตระกูล เป็นผู้บวช
ด้วยศรัทธา หรือเหตุที่เธอคลุกคลีอยู่กับภิกษุณีทั้งหลายอย่างนั้น คนพวกใด

268
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 269 (เล่ม 18)

ด่าภิกษุณีหรือประหารภิกษุณี เกิดความโทมนัสขัดใจในคนพวกนั้น เมื่อเธอ
ละความคลุกคลีได้แล้ว ความโทมนัสก็จักไม่เกิด ดังนี้. บทว่า ตตฺร คือว่า
ในการติเตียนนั้น. บทว่า เคหสิตา คือว่า อาศัยเบ็ญจกามคุณ. บทว่า ฉนฺทา
คือว่า พอใจด้วยตัณหาบ้าง พอใจด้วยปฏิฆะบ้าง. บทว่า วิปริณตํ ความว่า
จิตกำหนัดด้วยอำนาจตัณหาก็แปรปรวน ทั้งจิตที่โกรธ ทั้งจิตที่หลง ก็แปร-
ปรวนเป็นอื่น. แต่ในที่นี้ จิตที่กำหนัดโดยความพอใจด้วยอำนาจตัณหา ก็ควร
แม้จิตที่โกรธโดยความพอใจ ด้วยอำนาจปฏิฆะก็ควร. บทว่า หิตานุกมฺปิ
ได้แก่อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล คือว่าแผ่ออกไปด้วยประโยชน์เกื้อกูล.
บทว่า น โทสนฺตโร คือว่า เราจักไม่เป็นผู้มีโทสจิต.
เพราะเหตุไร ท่านจึงเริ่มคำว่า อถ โข ภควา เป็นต้น. ได้ยินว่า
แม้ความคิดว่า เราให้โอวาทเพียงนี้แล้ว จักงดเว้นจากการคลุกคลีกับภิกษุณี
ทั้งหลาย ดังนี้ ของพระโมลิยผัคคุนะมิได้เกิด. ก็พระโมลิยผัคคุนะนั้นเป็นผู้
ขัดแย้งกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ราวกะว่าเป็นลิ่มสลัก ผ้าสะดึง. ในครั้งนั้น
เพราะทรงเห็นภิกษุผู้ว่ายากรูปนี้ ภาพเหล่าภิกษุผู้ว่าง่าย ครั้งปฐมโพธิกาลก็มา
ปราฎแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนบุคคลผู้หิว ปรารถนาอาหาร ผู้กระหาย
น้ำปรารถนาน้ำดื่ม ผู้กระทบความหนาว ปรารถนาความอุ่น ผู้ประสบทุกข์
ปรารถนาสุขฉะนั้น. ลำดับนั้น ทรงประสงค์จะสรรเสริญพวกภิกษุผู้ว่าง่าย
เหล่านั้น จึงเริ่มเทศนานี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาราธยึสุ เเปลว่า
ให้ยินดีคือให้ถือเอา. บทว่า เอกํ สมยํ แปลว่า สมัยหนึ่ง. บทว่า เอกา
สนโภชนํ ได้แก่ การฉันอาหารในเวลาปุเรภัตครั้งเดียว. จริงอยู่ ตั้งแต่
พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงเวลาเที่ยงวัน แม้ภิกษุจะฉันอาหาร ๑๐ ครั้ง ท่านก็
ประสงค์เอาในข้อว่า ฉันอาหารหนเดียวนี้. บทว่า อปฺปาพาธตํ คือ ปราศ-
จากอาพาธ. บทว่า อปฺปาตงฺกตํ คือปราศจากทุกข์. บทว่า ลหุฏฺฐานํ

269
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 270 (เล่ม 18)

ได้แก่ มีร่างกายคล่องแคล่ว. บทว่า พลํ แปลว่า มีกำลังกาย. บทว่า
ผาสุวิหารํ คือ ร่างกายอยู่เป็นสุข.
ถามว่า ทำไม พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ด้วยสูตรนี้.
ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงกาลให้ละการฉันอาหารในเวลา
วิกาลในเวลากลางวันในสูตรนี้ แต่ในภัททาลิสูตรตรัสถึงกาลให้ละการฉันอาหาร
ในเวลาวิกาลในเวลากลางคืน. พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงให้ภิกษุละการฉัน
อาหารในเวลาวิกาลทั้งสองนี้พร้อมกัน.
ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า ก็เพราะอาหารในเวลาวิกาลทั้งสองนี้ สัตว์ทั้งหลายประพฤติ
มาจนชินในวัฏฏะแล้ว กุลบุตรผู้สุขุมาล (ผู้ละเอียดอ่อน) มีอยู่ กุลบุตรเหล่านั้น
ถ้าละอาหารในเวลาวิกาลทั้งสองพร้อมกัน ย่อมลำบาก เพราะฉะนั้น จึงไม่ทรง
ให้ละพร้อมกัน คือให้ละการฉันอาหารนั้นคนละคราว คือให้ละอาหารในเวลา
วิกาลในเวลากลางวันคราวหนึ่ง และให้ละอาหารในเวลาวิกาลในเวลากลางคืน
คราวหนึ่ง.
ในสองคราวนั้น ในสูตรนี้ ตรัสให้ละการฉันอาหารในเวลาวิกาล
ในเวลากลางวัน. พระพุทธเจ้าทั้งหลายมิใช่ทรงชี้ภัย ให้ละการฉันอาหารใน
เวลาวิกาลเท่านั้น แต่ทรงแสดงอานิสงส์แล้วจึงให้ละ ด้วยเหตุนั้นแหละ สัตว์
ทั้งหลาย จึงละได้โดยง่าย เพราะฉะนั้น เมื่อจะแสดงอานิสงส์ จึงตรัสคุณ
ประโยชน์ ๕ เหล่านี้ (คือ มีอาพาธน้อย มีความลำบากน้อยเป็นต้น ).
บทว่า อนุสาสนี กรณียา ความว่า ต้องพร่าสอนบ่อย ๆ ว่า
พวกเธอ จงทำสิ่งนี้ อย่าทำสิ่งนี้ คือ มีแต่กิจทำให้เกิดสติเท่านั้น และตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งปฐมโพธิกาล ด้วยเหตุเพียงเท่านั้น ภิกษุเหล่านั้น
ได้ทำสิ่งที่ควรทำ ได้ละสิ่งที่ควรละ ภิกษุทั้งหลาย เป็นผู้ว่าง่าย เชื่อฟัง
รับสนองโอวาท.

270
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 271 (เล่ม 18)

บัดนี้ เมื่อจะทรงนำอุปมาอันสอนถึงความที่ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ว่าง่าย
จึงตรัสคำว่า เสยฺยถาปิ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุภูมิยํ
ได้แก่ พื้นที่ดีเรียบ เหมือนในประโยคที่ว่า บุคคลพึงหว่านพืชในพื้นที่ดี
ในนาดีอันปราศจากตอไม้เป็นต้น และคำที่มาในประโยคว่า พื้นที่สะอาด
เป็นพื้นที่ดี เป็นต้น. บทว่า จตุมหาปเถ ได้แก่ ในที่ทางใหญ่สองสาย
ตัดผ่านกันไป. บทว่า อาชญฺญรโถ ได้แก่ รถที่เทียมด้วยม้าที่ฝึกดีแล้ว.
บทว่า โอธสฺตปโตโท ความว่า นายสารถีผู้ฉลาดก้าวขึ้นบนรถเเล้ว.
สามารถเพื่อจะถือแซ่ที่วางไว้ทางขวางแล้วห้อยลง. บทว่า โยคฺคาจริโย
ได้แก่ นายสารถี. ผู้ใดย่อมฝึกม้า ผู้นั้น ชื่อว่า อสฺสทมฺมสารถิ.
บทว่า เยนิจฺฉกํ คือ ย่อมปรารถนาไปทางใด. บทว่า ยทิจฺฉกํ คือ ย่อม
ต้องการออกไปที่ใด. บทว่า สาเรยฺย คือ พึงไปทางทรงข้างหน้า. บทว่า
ปจฺฉา สาเรยฺย คือให้กลับ. บทว่า เอวเมว โข ความว่า เหมือนอย่างว่า
นายสารถีนั้น ย่อมปรารถนาจะไปทางใด ๆ ม้าก็จะขึ้นทางนั้น ๆ ย่อมปรารถนา
โดยคติใด ๆ ก็ถือเอาคตินั้น ๆ นั่นแหละไป ม้าลากรถไป ก็ไม่ห้ามไม่เฆี่ยน
แต่ม้าวางกีบไปในพื้นอันเรียบอย่างดีเท่านั้น. คำที่เราพึงกล่าวซ้ำซากในภิกษุ
ทั้งหลายเหล่านั้นมิได้มีแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้ ว่าจงทำการนี้ อย่าทำการนี้
มีกิจที่ควรกระทำก็เพียงเตือนสติเท่านั้น ดังนี้ กิจที่ควรทำก็เป็นอันภิกษุแม้
เหล่านั้น ทำมาก่อนแล้วทั้งนั้น กิจไม่ควรทำเธอก็ละเสียแล้ว. บทว่า ตสฺมา
ความว่า เหล่าภิกษุผู้ว่าง่าย เปรียบเทียบด้วยยานที่เทียมด้วยม้าอาชาไนย ก็ละ
อกุศลธรรมได้ด้วยเพียงให้เกิดสติเท่านั้น เพราะฉะนั้น แม้พวกเธอจงละอกุศล
ธรรมเสีย. บทว่า เอลณฺเฑหิ ได้ยินว่า ต้นละหุ่งทั้งหลายย่อมประทุษ
ร้ายต้นสาละ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสแล้วอย่างนั้น. บทว่า
วิโสเธยฺย คือ พึงตัดต้นละหุ่งทั้งหลาย และเถาวัลย์อื่นเสีย แล้วก็ทำความ

271
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 272 (เล่ม 18)

สะอาดโดยนำไปทิ้งภายนอก. บทว่า สุชาตา ได้แก่ ตั้งอยู่ด้วยดี. บทว่า
สมฺมา ปริหเรยฺย คือว่า พึงกั้นเขตทำให้เจริญ เลี้ยงดูให้ถูกต้อง โดยการ
รดน้ำบ้าง พรวนดินที่ใกล้โคนตามเวลาอันควรบ้าง ตัดเครือเถาวัลย์และ
กอไม้เป็นต้นบ้าง นำรังมดดำออกไปบ้าง เอาใยแมลงมุมและท่อนไม้แห้งออก
ไปบ้าง. ความเจริญ เป็นต้น มีเนื้อความกล่าวไว้แล้วทั้งนั้น.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงโทษแห่งความไม่อดทน
จึงตรัสคำว่า ภูตปุพฺพํ เป็นอาทิ. บรรดาคำเหล่านั้น บทว่า เวเทหิกา นี้
เป็นชื่อ กุลธิดา ผู้อาศัยอยู่ในเวเทหรัฐ. อีกอย่างหนึ่ง ท่านเรียกปัญญาว่า
เวทะ. ผู้ใดย่อมไป ย่อมดำเนินไปด้วยปัญญา เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่า เวเทหิกา
อธิบายว่า บัณฑิต. บทว่า คหปตานิ คือ หญิงเจ้าเรือน. บทว่า กิตฺติ
สทฺโท คือ เกียรติก้อง. บทว่า โสรตา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความสงบเสงี่ยม.
บทว่า นิวาตา คือ ประพฤติถ่อมตน. บทว่า อุปสนฺตา คือ เป็นผู้
เยือกเย็น. บทว่า ทกฺขา ได้แก่ เป็นผู้ฉลาดในการงานทั้งหลาย มีการหุงข้าว
ปูที่นอนและตามไฟ เป็นต้น. บทว่า อนลสา คือ เป็นผู้ลุกขึ้น (ขยัน).
บทว่า สุสํวิหิตกมฺมนฺตา คือ มีการงานอันจัดไว้แล้วอย่างดี. ท่านแสดงว่า
ทาสีคนหนึ่งไม่เกียจคร้าน แต่จับภาชนะใด ๆ ก็ทำให้ภาชนะนั้น ๆ แตกหรือ
บิ่น ทาสีผู้นี้ไม่เป็นเช่นนั้น. บทว่า ทิวา อุฏฐาสิ ความว่า ลุกขึ้นในเวลา
ที่พระอาทิตย์ขึ้นโด่งแล้ว ไม่กระทำการงานแม้การรีดนมโคเป็นต้น ที่ควร
กระทำแต่เช้าตรู่. บทว่า เห เช กาฬิ ความว่า เฮ้ยอีกาลี เพราะเหตุไร
เจ้าจึงลุกขึ้นสาย เจ้าไม่สบายเป็นอะไรหรือ. บทว่า โน วต เร กิญฺจิ
ความว่า ความไม่ผาสุกอะไร ๆ มีการปวดหัวปวดหลังเป็นต้น มิได้มี เมื่อ
เป็นเช่นนั้น นางนั้น จึงได้กล่าวว่า แนะอีชาติชั่ว เพราะเหตุไร เจ้าจึงลุก
ขึ้นสาย ดังนี้ แล้วโกรธ ขัดใจ หน้านิ่วคิ้วขมวด. บทว่า ทิวาตรํ อุฏฺฐาสิ

272