หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 248 (เล่ม 2)

หวงแหนเห็นปานนั้น ย่อมเป็นอวหาร, พวกชนย่อมปรุงข้าวต้มและข้าวสวย
ให้สำเร็จได้แม้ด้วยน้ำใดที่เขานำมา หรือที่ขังอยู่ในชลาลัยทั้งหลาย มีสระ
โปกขรณีเป็นต้น ทั้งทำเป็นน้ำดื่มและนำใช้อย่างเดียว หาได้ทำเป็นน้ำสำหรับ
ใช้สอย อย่างเหลือเพื่อย่างอื่นไม่ เมื่อภิกษุถือเอาน้ำแม้นั้น ด้วยไถยจิต
ย่อมเป็นอวหาร ส่วนภิกษุถือเอาน้ำหนึ่งหม้อ หรือสองหม้อ จากน้ำใด ย่อม
ได้เพื่อล้างอาสนะ รดต้นโพธิ์ ทำการบูชาด้วยน้ำ (และ) เพื่อต้มนำย้อม
ควรปฏิบัติในน้ำนั้น ด้วยอำนาจแห่งข้อกติกาของสงฆ์ทีเดียว ภิกษุผู้รับเอา
น้ำมากเกินไป หรือใส่วัตถุทั้งหลาย มีดินเหนียวเป็นต้นปนลงด้วยไถยจิต
พระวินัยธรพึงให้ตีราคาสิ่งของปรับอาบัติ. ถ้าพวกภิกษุเจ้าของถิ่น ทำข้อ
กติกาวัตรไว้อย่างมั่นคง ไม่ยอมให้ภิกษุเหล่าอื่นใช้ล้างสิ่งของ หรือใช้ย้อมผ้า
แต่ตนเองถือเอาทำกิจทุกอย่าง เมื่อภิกษุเหล่าอื่นไม่เห็น พวกภิกษุอาคันตุกะ
ไม่ต้องตั้งอยู่ในข้อ กติกาของภิกษุเจ้าถิ่น แหล่านั้น พึงใช้ล้างสิ่งของมีประมาณเ
เท่ากับที่ภิกษุเจ้าของถิ่นใช้ล้าง. ถ้าสงฆ์สระโปกขรณี หรือมีบ่อันนำอยู่สอง
สามแห่งไซร้ และสงฆ์ก็ทำข้อกติกาไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย ควรสรงน้ำในสระ
โปกขรณี และบ่อน้ำนี้, ควรรับเอาน้ำดื่มจากที่นี้, ควรทำการใช้สอยกิจทุก
อย่าง ในสระโปกขรณีและบ่อน้ำนี้, พวกภิกษุอาคันตุกะควรทำกิจทั้งหมดด้วย
ข้อ กติกาวัตรนั่นแล. ในสระโบกขรณีเป็นต้นต้นใด ไม่มีข้อกติกา, การใช้สอย
กิจทุกอย่าง ในสระโปกขรณีเป็นต้นนั้น ย่อมควร ฉะนี้แล.
ในเรื่องดินเหนียว มีวินิจฉัยดังนี้:- ในที่ใด ดินเหนียวเป็นของ
หาได้ยาก หรือดินเหนียว มีสีมีประการต่าง ๆ อันพวกชนขนมากองไว้ ,
ในที่นั้นแม้ดินเหนียวนิดหน่อย ก็มีราคาถึง ๕ มาสก; เพราะเหตุนั้น จึง
เป็นไปปาราชิก. อนึ่ง เมื่อการงานของสงฆ์ และการงานในพระเจดีย์สำเร็จแล้ว

248
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 249 (เล่ม 2)

การที่ภิกษุถามสงฆ์เสียก่อน จึงถือเอาหรือขอยืมเอา ควรอยู่. ในปูนขาวก็ดี
ในจิตรกรรมและวรรณกรรมก็ดี ก็มีนัยเหมือนกัน.
ในเรื่องหญ้าทั้งหลาย มีวินิจฉัยดังนี้ :- ในหญ้าที่ภิกษุเอาไฟเผา
เป็นทุกกฏ เพราะไม่มีการให้เคลื่อนจากฐาน, แต่เป็นภัณฑไทย. สงฆ์รักษา
พื้นที่ที่ปลูกหญ้าไว้ แล้วใช้หญ้านั้นมุงที่อยู่ของสงฆ์, บางคราวสงฆ์ย่อมไม่
อาจรักษาได้อีก. ครั้งนั้น มีภิกษุอีกรูปหนึ่ง รักษาไว้ด้วยม่งวัตรเป็นใหญ่
หญ้านั่น เป็นของสงฆ์เหมือนกัน ถ้าไม่มีใครรักษา สงฆ์ควรสั่งภิกษุรูปหนึ่ง
ว่า ท่านจงช่วยรักษาให้ที, ถ้าเธอรูปนั้น ปรารถนาส่วนแบ่งไซร้, สงฆ์แม้
จะต้องเสียส่วนแบ่งให้ ก็ควรให้เธอรูปนั้นรักษา. ถ้าเธอขอเพิ่มส่วนแบ่งไซร้,
สงฆ์ควรให้โดยแท้. ภิกษุขอเพิ่ม เติมขึ้นอีก สงฆ์ควรพูดว่า ท่านจงไป รักษา
แล้ว เอาหญ้าทั้งหมด มุงเสนาสนุของตนเถิด. เพราะเหตุไร ไม่ควรให้
พร้อมทั้งพื้นที่ ที่เป็นครุภัณฑ์ ควรให้เพียงหญ้าเท่านั้น. เมื่อภิกษุรูปนั้น
รักษาไว้แล้ว ใช้มุงเสนาสนะของตน, ถ้าสงฆ์ยังจุสามารถจะรักษาได้อีก,
สงฆ์ควรจะพูดกะภิกษุรูปนั้นว่า ท่านไม่ต้องรักษา, สงฆ์จักรักษาเอง ดังนี้.
๗ เรื่อง มีเรื่องเตียงเป็นต้น ปรากฏชัดแล้วแล. ก็เมื่อภิกษุลักเสา-
หินก็ดี เสาไม้ก็ดี หรือสิ่งของอะไร ๆ อย่างอื่น แม้ที่ไม่ได้มาในพระบาลี
ซึ่งมีราคาถึงบาท เป็นปาราชิกเหมือนกัน.
ในเรือนสำหรับทำความเพียรเป็นต้น มีวินิจฉันดังนี้ :- แม้เมื่อภิกษุ
พังฝาก็ดี กำแพงก็ดี แห่งสถานที่มีบริเวณเป็นต้น ซึ่งถูกเจ้าของเขาทอดทิ้ง
เรี่ยราดไว้ แล้วลักเอาทัพสัมภาระมีอิฐเป็นต้นไป ก็มีนัยนั่นเหมือนกัน
เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า ภิกษุทั้งหลาย บางคราวย่อมอยู่ครอบครอง

249
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 250 (เล่ม 2)

เสนาสนะ ที่ชื่อว่าเป็นของสงฆ์ บางคราวก็ไม่อยู่ครอบครอง. แม้เมื่อภิกษุ
ลักเอาบริขารบางอย่าง ในสถานที่ทั้งหลาย มีวัดที่ถูกทอดทิ้งแล้วเป็นต้น ใน
เมื่อชาวชนบทอพยพหนีไป เพราะโจรภัยในชายแดน ก็มีนัยนั่นเหมือนกัน.
ส่วนภิกษุเหล่าใดนำทัพสัมภาระไปใช้ชั่วคราว จากวัดที่เขาทอดทิ้งแล้วนั้น
และในเมื่อวัดมีภิกษุกลับมาอยู่ ภิกษุทั้งหลาย สั่งภิกษุเหล่านั้นให้นำมาคืน
ควรให้คืน. แม้ถ้าเธอทั้งหลาย นำสัมภาระไม้เป็นต้น จากวัดที่เขาทอดทิ้ง
แล้วนั้น มาสร้างเป็นเสนาสนะ, สิ่งของที่พวกเธอนำมานั้น หรือเสนาสนะที่
มีราคาเท่ากับสิ่งของนั้น ควรให้คืนเหมือนกัน. เมื่อชาวชนบท ยังไม่ตัด
ความอาลัย อพยพไป ด้วยคิดว่า พวกเราจักกลับมาอยู่ ครอบครองอีก, เสนา-
สนะที่เป็นของคณะหรือเป็นของบุคคล เป็นอันเขายังถือกรรมสิทธิ์อยู่. ถ้าเขา
เหล่านั้นอนุญาตให้, ไม่มีกิจด้วยการทำคืน. ส่วนทัพสัมภาระของสงฆ์ จัด
เป็นกรุภัณฑ์ เพราะฉะนั้น ควรจัดการให้คืนเหมือนกัน เรื่องเครื่องใช้สอย
ในวิหารมีเนื้อความกระจ่างทั้งนั้น
ในพระพุทธานุญาตนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นำไป
ใช้ได้ชั่วคราว ดังนี้ มีวินิจฉัยดังนี้ ภิกษุใดยืมเตียงหรือตั่งของสงฆ์ไป
ใช้สอยโดยการใช้สอยอย่างของสงฆ์ หนึ่งเดือนบ้าง สองเดือนบ้าง ในสถาน
ที่ผาสุกของตน เมื่อภิกษุทั้งหลายผู้แก่กว่ามาแล้วก็ถวาย, ไม่นำกลับคืน. เมื่อ
เตียงและตั่งนั้น หายไปบ้าง ชำรุดไปบ้าง คนอื่นลักไปโดยความเป็นขโมย
บ้าง ย่อมไม่เป็นสินใช้แก่ภิกษุรูปนั้น. แต่เมื่อเธออยู่แล้วจะไป ควรจะเก็บ
ไว้ในที่เติม. ส่วนภิกษุใดใช้สอย โดยการใช้สอยเป็นของบุคคล ไม่ได้ถวาย
แก่ภิกษุทั้งหลายผู้แก่กวา ซึ่งมาแล้ว ๆ (เมื่อเตียงและตั่งนั้นเสียหายไปบ้าง
ชำรุดไปบ้าง คนอื่นลักไปเคยความเป็นขโมยบ้าง) ย่อมเป็นสินใช้แก่ภิกษุรูป

250
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 251 (เล่ม 2)

นั้น. ในสังเขปอรรถกถาท่านกล่าวไว้ว่า ก็ภิกษุผู้นำไปสู่อาวาสอื่นแล้วใช้สอย
ถ้าในอาวาสนั้น ภิกษุผู้แก่กว่า มาบังกับให้ภิกษุนั้นออกไปเสีย ควรพูดว่า
ผมนำเตียงและตั่งนี้ มาจากอาวาสชื่อโน้น, ผมจะไป ผมจ้าจัดเตียงและตั่ง
นั้นให้เป็นปกติ. ถ้าภิกษุผู้แก่กว่านั้น พูดว่า ข้าพเจ้าจักจัดให้เป็นปกติเอง,
แม้จะทำให้เป็นภาระของภิกษุผู้เฒ่านั้น ไปเสีย ก็ควร.
ในเรื่องเมืองจัมปา มีวินิจฉัยดังนี้ :- ข้าวยาคูที่พวกชนใส่อปรัณ-
ชาติชนิดเอก อย่างใดอย่างหนึ่ง รวมกับน้ำมันงา และข้าวสาร แล้วปรุงด้วย
วัตถุ ๓ อย่าง คือ น้ำมันงา ข้าวสาร และถั่วเขียว, หรือน้ำมันงา ข้าวสาร
และถั่ว ราชมาษ, หรือนำมันงา ข้าวสาร และเยื่อถั่วพู ชื่อว่า เตกฏุละ*
(ข้าวยาคูปรุงด้วยวัตถุ ๓ อย่าง). ได้ยินว่า พวกชนย่อมประกอบปรุงข้าวยาคู
ชื่อ เตกฏุละ นั่นด้วยวัตถุ ๓ อย่าง มีเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำตาลกรวด
เป็นต้นเหล่านี้ ในน้ำนมที่เดือดด้วยน้ำ ๔ ส่วน.
ในเรื่องเมืองราชคฤห์ มีวินิจฉัยดังนี้:- ขนมที่มีรสดียิ่ง ท่านเรียกว่า
ขนมรวงผึ้ง อาจารย์บางพวกกล่าวว่า รวงผึ้ง บ้าง. คำที่เหลือ แม้ใน
๒ เรื่องนี้ ก็พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้ว ในเรื่องแจกข้าวสุกนั่นแล้ว.
ในเรื่องพระอัชชุกะ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
บทว่า เอตทโวจ ความว่า คฤหบดีนั้นเป็นไข้ ได้สั่งไว้แล้ว.
หลายบทว่า อายสฺมา อุปาลิ อายสฺนโต อชฺชุกสฺส ปกฺโข
ความว่า ท่านพระอุบาลี หาใช่เป็นฝักฝ่าย (ของท่านพระอัชชกะนั้น) ด้วย
อำนาจถึงความลำเอียงไม่ โดยที่แท้ บัณฑิตพึงทราบว่า พระเถระเป็นฝักฝ่าย
(ของท่านพระอัชชุกะนั้น) ด้วยความอนุเคราะห์ผู้เป็นลัชชี และอนุเคราะห์
* บาลีเดิมเป็น เตกฏุลฺล.

251
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 252 (เล่ม 2)

พระวินัย เพราะรู้ว่าท่านไม่เป็นอาบัติ. คำที่เหลือในเรื่องพระอัชชุกะนี้ มี
เนื้อความตื้นทั้งนั้น.
ในเรื่องเมืองพาราณสี มีวินิจฉัยดังนี้:-.
สองบทว่า โจเรหิ อุปฺปทฺทุตํ ความว่า ถูกพวกโจรปล้น แล้ว.
หลายบทว่า อิทฺธิยา อาเนตฺวา ปาสาเท ฐเปสิ ความว่า ได้
ยินว่า พระเถระได้เห็นสกุลนั้น เพียบพร้อมอยู่ด้วยลูกศรคือความโศก วนเวียน
กลับไปกลับมาอยู่ จึงได้อธิษฐานปราสาทของตนเหล่านั้นแล ด้วยฤทธิ์ของ
ตนว่า จงปรากฏมีในที่ใกล้เด็กทั้งหลาย โดยความอนุเคราะห์ธรรม เพื่อความ
กรุณา เพื่อประโยชน์แก่การตามรักษาความเลื่อมใสแห่งสกุลนั้น. เด็กทั้ง ๒
ก็จำได้ว่า ปราสาทของพวกเรา จึงได้ขึ้นไป. ลำดับนั้นพระเถระได้คลายฤทธิ์
แล้ว. แม้ปราสาทก็ได้ตั้งอยู่ในที่ของตนตามเดิม. แต่พระธรรมสังคาหกาจารย์
ทั้งหลาย กล่าวไว้ด้วยอำนาจโวหารว่า พรเถระนำเด็ก ๒ นั้นมาด้วยฤทธิ์
แล้วพักไว้ในปราสาท.
บทว่า อิทฺธิวิสเย คือ ไม่เป็นอาบัติ เพราะอธิษฐานฤทธิ์เช่นนี้.
ส่วนฤทธิ์ คือการแผลต่าง ๆ ย่อมไม่ควร ฉะนี้และ. ๒ เรื่องในที่สุด มีเนื้อ
ความตื้นทั้งนั้นแล.
จบทุติยปาราชิกวรรณนา ในวินัยสังวรรณนา
ชื่อสมันตปาสาทิกา
[คาถาสรูปทุติยปาราชิกสิกขาบท]
ในทุติยปาราชิกสิกขาบทนี้ มีอนุศาสนี ดังต่อไปนี้
ทุติยปาราชิกสิกขาบทนี้ใด อันพระ
ชินเจ้าผู้ไม่เป็นที่ ๒ มีกิเลสอันพ่ายแพ้แล้ว

252
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 253 (เล่ม 2)

ทรงประกาศแล้วในพระศาสนานี้, สิกขาบท
อื่นไร ๆ ที่มีนัยอันซับซ้อนมากมาย มีเนื้อ
ความและวินิจฉัยลึกซึ่ง เสมอด้วยทุติย-
ปาราชิกสิกขาบทนั้น ย่อมไม่มี. เพราะเหตุ
นั้น เมื่อเรื่องหยั่งลงแล้ว ภิกษุผู้รู้ทั่วถึง
พระวินัย จะทำการวินิจฉัยในเรื่องที่หยั่งลง
แล้วนี้ ด้วยความอนุเคราะห์พระวินัย พึง
พิจารณาพระบาลีและอรรถกถาพร้อมทั้ง
อธิบาย โดยถ้วนถี่ อย่าเป็นผู้ประมาท ทำ
การวินิจฉัยเถิด. ในกาลไหน ๆ ไม่พึงทำ
ความอาจหาญในการซื้ออาบัติ, ควรใส่ใจว่า
เราจักเห็นอนาบัติ. อนึ่ง แม้เห็นอาบัติแล้ว
อย่าเพ่อพูดเพรื่อไปก่อน พึงใคร่ครวญและ
หารือกับท่านผู้รู้ทั้งหลายแล้ว จึงปรับอาบัติ
นั้น. อีกประการหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายผู้เป็น
ปุถุชนในศาสนานี้ ย่อมเคลื่อนจากคุณ คือ
ความเป็นสมณะ ด้วยอำนาจแห่งจิต ที่มัก
กลับกลอกเร็ว ในเพราะเรื่องแม้ที่ควร.
เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้เฉลียวฉลาด เมื่อเล็ง
เห็นบริขารของผู้อื่น เป็นเหมือนงูมีพิษร้าย
และเหมือนไฟ พึงจับต้องเถิด.

253
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 254 (เล่ม 2)

ตติยปาราชิกกัณฑ์
นิทานปฐมบัญญัติ เรื่องภิกษุหลายรูป
[๑๗๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคาร-
ศาลา ป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี ครั้งนั้นพระองค์ทรงแสดงอสุภกถา
ทรงพรรณนาคุณแห่งอสุภกรรมฐาน ทรงสรรเสริญคุณแห่งการเจริญอสุภ-
กรรมฐาน ทรงพรรณนาคุณอสุภสมาบัติเนือง ๆ โดยอเนกปริยายแก่ภิกษุ-
ทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราปรารถนาจะ
หลีกออกเร้นอยู่ตลอดกึ่งเดือน ใคร ๆ อย่าเข้าไปหาเรา นอกจากภิกษุผู้นำ
บิณฑบาตเข้าไปให้รูปเดียว ภิกษุเหล่านั้นรับ ๆ สั่งแล้ว ไม่มีใครกล้าเข้าไป
เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าเลย นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียว
ภิกษุเหล่านั้นสนทนากันว่า พระผู้พระภาคเจ้าทรงแสดงอสุภกถา ทรง
พรรณนาคุณแห่งอสุภกรรมฐาน ทรงสรรเสริญคุณแห่งการเจริญอสุภกรรมฐาน
ทรงพรรณนาคุณแห่งอสุภสมาบัติเนือง ๆ โดยอเนกปริยายดังนี้ แล้วพากัน
ประกอบความเพียรในการเจริญอสุภกรรมฐาน หลายอย่างหลายกระบวนอยู่
ภิกษุเหล่านั้น อึดอัด ระอา เกลียดชังร่างกายของตน ดุจสตรีรุ่นสาวหรือ
บุรุษรุ่นหนุ่ม พอใจในการกแต่งกาย อาบน้ำสระเกล้า มีซากศพงู ซากศพ
สุนัข หรือซากศพมนุษย์มาคล้องอยู่ที่คอ พึงอึดอัด สะอิดสะเอียน เกลียดชัง
ฉะนั้น จึงปลงชีวิตตนเองบ้าง วานกันและกันให้ปลงชีวิตบ้าง บางเหล่าก็
เข้าไปหามิคลัณฑิกสมณกุตตก์* กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อคุณ ขอท่านได้ปลงชีวิต
พวกฉันที บาตรจีวรนี้จักเป็นของท่าน ครั้งนั้นมิคลัณฑิกสมณกุตตก์ อันภิกษุ
* คนโกนผมไว้จุก นุ่งผ้ากาสาระผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง ทำนองเป็นตาเถน.

254
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 255 (เล่ม 2)

ทั้งหลายจางด้วยบาตรจีวร จึงปลงชีวิตภิกษุเป็นอันมากแล้ว ถือดาบเปื้อนเลือด
เดินไปทางแม่น้ำวัคคุมุทา ขณะเมื่อมิคลัณฑิกสมณกุตตก์ กำลังล้างดาบที่
เปื้อนเลือดนั้น อยู่ ได้มีความรำคาญ ความเดือดร้อนว่า ไม่ใช่ลาภของเราหนอ
ลาภของเราไม่มีหนอ เราได้ชั่วแล้วหนอ เราไม่ได้ดีแล้วหนอ เราสร้างบาป
ไว้มากจริงหนอ เพราะเราได้ปลงชีวิตภิกษุทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณ-
ธรรม ขณะนั้นเทพดาคนหนึ่งผู้นับเนืองในหมู่มาร เดินมาบนน้ำมิได้แตก
ได้กล่าวคำนี้กะเขาว่า ดีแล้ว ดีแล้ว ท่านสัตบุรุษ เป็นลาภท่าน ๆ ได้ดีแล้ว
ท่านได้สร้างสมบุญไว้มาก เพราะท่านได้ช่วยส่งคนที่ยังข้ามไม่พ้น ให้ข้ามพ้นได้
ครั้นมิคลัณฑิกสมณกุตตก์ ได้ทราบว่าเป็นลาภของเรา เราได้ดีแล้ว เราได้
สร้างสมบุญไว้มาก เพราะเราได้ช่วยส่งคนที่ยังข้ามไม่พ้น ให้ข้ามพ้น ได้ ดังนี้
จึงถือดาบอั้นคม จากวิหารเข้าไปสู่วิหาร จากบริเวณเข้าไปสู่บริเวณ แล้ว
กล่าวอย่างนี้ว่า ใครยังข้ามไม่พ้น ข้าพเจ้าจะช่วยส่งให้ข้ามพ้น บรรดาภิกษุ
เหล่านั้น ภิกษุเหล่าใด ยังไม่ปราศจากราคะ ความกลัว ความหวาดเสียว
ความสยอง ย่อมมีแก่ภิกษุเหล่านั้นในเวลานั้น ส่วนภิกษุเหล่าใดปราศจากราคะ
แล้ว ความกลัว ความหวาดเสียว ความสยอง ย่อมไม่มีแก่ภิกษุเหล่านั้นใน
เวลานั้น ครั้งนั้นมิคลัณฑิกสมณกุตตก์ ปลงชีวิตภิกษุเสียวันละ ๑ รูปบ้าง
๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ๔ รูปบ้าง ๕ รูปบ้าง ๖ รูปบ้าง ๗ รูปบ้าง ๘ รูปบ้าง
๙ รูปบ้าง ๑๐ รูปบ้าง ๒๐ รูปบ้าง ๓๐ รูปบ้าง ๔๐ รูปบ้าง ๕๐ รูปบ้าง
๖๐ รูปบ้าง.
รับสั่งให้เผดียงสงฆ์
[๑๗๗] ครั้นล่วงกึ่งเดือนนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่
ประทับเร้นแล้ว รับสั่งถามท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เหตุไฉนหนอ
ภิกษุสงฆ์จึงดูเหมือนน้อยไป.

255
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 256 (เล่ม 2)

ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า เพราะ
พระองค์ทรงแสดงอสุภกถา ทรงพรรณนาคุณแห่งอสุภกรรมฐาน ทรงสรรเสริญ
คุณแห่งการเจริญอสุภกรรมฐาน ทรงพรรณนาคุณแห่งอสุภสมาบัติเนือง ๆ
โดยอเนกปริยายแก่ภิกษุทั้งหลาย พระพุทธเจ้าข้า และภิกษุเหล่านั้นก็พากัน
พูดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอสุภกถา ทรงพรรณนาคุณแห่งอสุภ-
กรรมฐาน ทรงสรรเสริญคุณแห่งการเจริญอสุภกรรมฐาน ทรงพรรณนาคุณ
แห่งอสุภสมาบัติเนือง ๆ โดยอเนกปริยาย จึงพากันประกอบความเพียรในการ
เจริญอสุภกรรมฐาน หลายอย่างหลายกระบวนอยู่ เธอเหล่านั้น อึดอัด ระอา
เกลียดชังร่างกายของตน ดุจสตรีรุ่นสาวหรือบุรุษรุ่นหนุ่ม พอใจในการ
ตกแต่งกาย อาบน้ำ สระเกล้า มีซากศพงู ซากศพสุนัขหรือซากศพมนุษย์
มาคล้องอยู่ที่คอ จะพึงอึดอัด สะอิดสะเอียน เกลียดชัง ฉะนั้น จึงปลงชีวิต
ตนเองบ้าง วานกันและกันให้ปลงชีวิตบ้าง บางเหล่าก็เข้าไปหามิคลัณฑิก-
สมณกุตตก์ กล่าวอย่างนี้ว่า พ่อคุณ ขอท่านได้ช่วยปลงชีวิตพวกฉันที บาตร
จีวรนี้จะเป็นของท่าน พระพุทธเจ้าข้า ครั้นมิคลัณฑิกสมณกุตตก์ได้บาตรจีวร
เป็นค่าจ้างแล้ว จึงปลงชีวิตภิกษุเสียวันละ ๑ รูปบ้าง ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง
๔ รูปบ้าง ๕ รูปบ้าง ๖ รูปบ้าง ๗ รูปบ้าง ๘ รูปบ้าง ๙ รูปบ้าง ๑๐ รูปบ้าง
๒๐ รูปบ้าง ๓๐ รูปบ้าง ๔๐ รูปบ้าง ๕๐ รูปบ้าง ๖๐ รูปบ้าง ข้าพระพุทธเจ้า
ขอประทานพระวโรกาส ภิกษุสงฆ์นี้จะพึงดำรงอยู่ในพระอรหัตผลด้วยปริยาย
ใด ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงตรัสบอกปริยายอื่นนั้นเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงเผดียง
ภิกษุที่อาศัยพระนครเวสาลีอยู่ทั้งหมด ให้ประชุมกันที่อุปัฏฐานศาลา.
เป็นดังรับสั่งพระพุทธเจ้าข้า ท่านพระอานนท์รับสนองพระพุทธพจน์
แล้ว จึงเผดียงภิกษุสงฆ์ที่อาศัยพระนครเวสาลีอยู่ทั้งสิ้น ให้ประชุมที่อุปัฏฐาน-

256
หมวด/เล่ม
พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 257 (เล่ม 2)

ศาลาแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุสงฆ์
ประชุมพร้อมกันแล้ว ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดทราบกาลอันควร ใน
บัดนี้เถิด พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงแสดงอานาปานสติสมาธิกถา
[๑๗๘] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าสู่อุปัฏฐานศาลา
ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่จัดไว้ถวาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย แม้สมาธิในอานาปานสตินี้แล อันภิกษุอบรมทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นคุณสงบ ประณีต เยือกเย็น อยู่เป็นสุข และยังบาปอกุศลธรรมที่
เกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานสงบไปโดยฉับพลัน ดุจละอองและฝุ่นที่ฟุ้งขึ้น
ในเดือนท้ายฤดูร้อน ฝนใหญ่ที่ตกในสมัยมิใช่ฤดูกาล ย่อมยังละอองและฝุ่น
นั้น ๆ ให้อันตรธานสงบไปได้ โดยฉับพลัน ฉะนั้น.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติสมาธิ อันภิกษุอบรมอย่างไร
ทำให้มากอย่างไร จึงเป็นคุณสงบ ประณีต เยือกเย็น อยู่เป็นสุข และยังบาป
อกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ๆ ให้อันตรธานสงบไปโดยฉับพลัน.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ตาม อยู่ ณ
โคนไม้ก็ตาม อยู่ในสถานที่สงัดก็ตาม นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติบ่ายหน้า
สู่กรรมฐาน ภิกษุนั้น ย่อมมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก เมื่อหายใจเข้ายาว
ก็รู้สึกว่าหายใจเข้ายาว หรือเมื่อหายใจออกยาว ก็รู้สึกว่าหายใจออกยาว เมื่อ
หายใจเข้าสั้น ก็รู้สึกว่าหายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้สึกว่าหายใจ
ออกสั้น ย่อมสำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวงหายใจเข้า ย่อม
สำเหนียกว่า เราจักรู้แจ้งซึ่งกองลมทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า เราจัก
ระงับกายสังขารหายใจเข้า ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขารหายใจออก

257