หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 213 (เล่ม 18)

ชวนะถือแล้ว ภวังคจิต ซึ่งมีพร้อมกับอาวัชชนะ ชื่อว่า เป็นมโน แต่นั้น
ผัสสะเป็นต้นแม้ทั้งหมดก็เกิดพร้อมกับชวนะ ส่วนในมโนทวาร อารมณ์แม้
ทั้งหมดอันต่างโดยเป็นอดีตเป็นต้นก็ย่อมมี เพราะฉะนั้น คำนี้ว่า เป็นที่อดีต
อนาคต และปัจจุบัน เป็นอันเหมาะสมแล้ว.
บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงวัฏฏะ. จึงปรารภเทศนาว่า โส วตาวุโส
ดังนี้. บทว่า ผสฺสปญฺญตฺตึ ปญฺญเปสฺสติ ความว่า จักบัญญัติจะแสดง
ผัสสะบัญญัติอย่างนี้ว่า ธรรมอันหนึ่ง ชื่อว่า ผัสสะ ย่อมเกิดขึ้น. ในบททั้ง
ปวงก็มีในนี้. พระเถระครั้นแสดงวัฏฏะทั้งสิ้นด้วยอำนาจอายตนะสิบสองว่า ครั้น
อายตนะนี้มี อายตนะนี้ก็มี ด้วยประการฉะนั้นแล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงวิวัฏฏะ
ด้วยอำนาจปฏิเสธอายตนะสิบสอง จึงปรารภเทศนาว่า โส วตาวุโส จกฺขุสฺมึ
อสติ ดังนี้. พึงทราบอรรถโดยนัยที่กล่าวแล้วในบทนี้นั้นเทียว.
พระเถระครั้นวิสัชชนาปัญหาอย่างนี้แล้ว บัดนี้ จึงกล่าวส่งไปว่า
ปัญหาอันสาวกกล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่าเป็นผู้สงสัย พระผู้มี-
พระภาคเจ้าองค์นี้ ทรงถือการเปรียบเทียบด้วยสัพพัญญุตญาน ประทับนั่ง
แล้ว ท่านทั้งหลายเมื่อปรารถนา ก็จงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ก็จะหมดความสงสัย ดังนี้ จึงกล่าวคำว่า อากงฺขมานา จ ปน ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า อิเมหิ อากาเรหิ ความว่า ด้วยเหตุเหล่านี้ คือ ด้วยการณ์ เฉพาะ
แห่งความเกิดขึ้นเอง เครื่องเนิ่นช้า และการณ์เกี่ยวกับวัฏฏ และวิวัฏฏ. บทว่า
อิเมหิ ปเทหิ คือ ด้วยประมวลอักขรเหล่านี้. บทว่า พฺยญฺชเนหิ ได้แก่
ด้วยอักขระเฉพาะอย่าง. บทว่า ปณฺฑิโต ความว่า ประกอบพร้อมด้วยความ
เป็นบัณฑิต หรือเป็นบัณฑิตด้วยเหตุ ๔ อย่าง คือ ฉลาดในธาตุ ฉลาดใน
อายตนะ ฉลาดในปัจจยาการ ฉลาดในการณ์ และอการณ์. บทว่า มหาปญฺ-
โญ ความว่า ถึงพร้อมด้วยปัญญามาก ซึ่งสามารถที่จะกำหนดอรรถะมาก

213
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 214 (เล่ม 18)

ธรรมมาก นิรุติมาก ปฏิภาณมาก. บทว่า ยถา ตํ มหากจฺจาเนน
ความว่า กัจจานะพยากรณ์โดยประการใด ทรงหมายถึงพยากรณ์นั้น จึงตรัส
ว่า ตํ. ความว่า พยากรณ์นั้นมหากัจจานะพยากรณ์แล้วโดยประการใด แม้
เราก็พยากรณ์อย่างนั้นเหมือนกัน . บทว่า มธุปิณฺฑิกํ ได้แก่ ขนมหวาน
มาก หรือขนมสัตตุที่ปรุงแล้ว. บทว่า อเสจนกํ ได้แก่ อันพึงชื่นชูใจ
คือ รสที่ปรุงดี ซึ่งไม่ควรกล่าวว่า ในบรรดาเนยใส น้ำอ้อย น้ำผึ้ง และน้ำ
ตาล เป็นต้น ชื่อนี้น้อย สิ่งนี้มาก. บทว่า เจตโส ได้แก่ ผู้มีชาตินักคิด.
บทว่า ทพฺพชาติโก คือ มีสภาพเป็นบัณฑิต. พระเถระเป็นผู้หนักในเหตุ
ผลอย่างยิ่ง จึงคิดว่า นี้เป็นธรรมปริยาย เราจักทูลให้ทรงตั้งชื่อธรรมปริยาย
นั้น ด้วยสัพพญุตญาณของพระทศพลนั้นเทียว จึงทูลคำนี้ว่า ธรรมปริยาย
นี้ ชื่ออะไร. บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะธรรมปริยายอ่อนหวาน เหมือน
ขนมหวาน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า เธอจงทรงจำธรรม
ปริยายนี้ว่า มธุปิณฑิกปริยาย ดังนี้ เถิดคำที่เหลือในบททั้งปวง มีเนื้อความ
ง่ายทั้งนั้นแล.
จบอรรถกถามธุปิณฑิกสูตรที่ ๘

214
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 215 (เล่ม 18)

๙. เทวธาวิตักกสูตร
เรื่องวิตก
[๒๕๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อาราม
ของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุเหล่านั้น
ทูลรับ พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.
ทรงแยกวิตกเป็น ๒ ส่วน
[๒๕๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้ ก่อนแต่ตรัสรู้ทีเดียว
ได้คิดอย่างนี้ว่า ถ้ากระไร เราพึงแยกวิตกให้เป็น ๒ ส่วน ๆ ดังนี้ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เรานั้นจึงแยก กามวิตก พยาบาทวิตก และวิหิงสาวิตก นี้ออก
เป็นส่วนหนึ่ง และแยกเนกขัมมวิตก อัพยาบาทวิตก และอวิหิงสาวิตก นี้ออก
เป็นส่วนที่ ๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้น ไม่ประมาท มีความเพียรเครื่อง
เผากิเลส ส่งตนไปอยู่อย่างนี้ กามวิตกย่อมบังเกิดขึ้น เรานั้นย่อมทราบชัด
อย่างนี้ว่า กามวิตกนี้เกิดขึ้นแก่เราแล้วแล ก็แต่ว่า มันย่อมเป็นไปเพื่อ
เบียดเบียนตนบ้าง ย่อมเป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง ย่อมเป็นไปเพื่อ
เบียดเบียนตนและผู้อื่นทั้งสองบ้าง ทำให้ปัญญาดับ ก่อให้เกิดความคับแค้น
ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า มัน
เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง มันก็ถึงความดับสูญไป เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า

215
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 216 (เล่ม 18)

มันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง มันก็ถึงความดับสูญไป เมื่อเราพิจารณา
เห็นว่า มันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่นทั้งสองบ้าง มันก็ถึงความดับสูญ
ไป เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า มันทำให้ปัญญาดับ ทำให้เกิดความคับแค้น
ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน ดังนี้บ้าง มันก็ถึงความดับสูญไป. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย เรานั้นแล ละเสีย บรรเทาเสีย ซึ่งกามวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ๆ ได้ทำ
ให้มันหมดสิ้นไป. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรานั้นไม่ประมาท มีความเพียร
เครื่องเผากิเลส ส่งตนไปอยู่อย่างนี้ พยาบาทวิตกย่อมบังเกิดขึ้น ฯลฯ วิหิงสา
วิตกย่อมบังเกิดขึ้น เรานั้นย่อมทราบชัดอย่างนี้ว่า วิหิงสาวิตกนี้เกิดขึ้นแก่เรา
แล้วแล ก็แต่ว่า มันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เป็นไปเพื่อเบียดเบียน
ผู้อื่นบ้าง เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่นทั้งสองบ้าง ทำให้ปัญญาดับ ทำ
ให้เกิดความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อ
เราพิจารณาเห็นว่า มันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง มันก็ถึงความดับสูญไป
เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า มันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง มันก็ถึงความดับสูญ
ไป เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า มันเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่นทั้งสองบ้าง
มันก็ถึงความดับสูญไป เมื่อเราพิจารณาเห็นว่า มันทำให้ปัญญาดับ ทำให้
เกิดความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อพระนิพพานดังนี้บ้าง มันก็ถึงความดับสูญไป.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแลละเสีย บรรเทาเสีย ซึ่งวิหิงสาวิตกที่เกิดขึ้น
แล้ว ๆ ได้ทำให้มันหมดสิ้นไป.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยิ่งตรึก ยิ่งตรองถึงวิตกใด ๆ มาก เธอก็
มีใจน้อมไปข้างวิตกนั้น ๆ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คือ ถ้าภิกษุยิ่งตรึกยิ่งตรอง
ถึงกามวิตกมาก เธอก็ละทิ้งเนกขัมวิตกเสีย มากระทำอยู่แต่กามวิตกให้มาก
จิตของเธอนั้นก็น้อมไปเพื่อกามวิตก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุยิ่งตรึก
ยิ่งครองถึงพยาบาทวิตกมาก เธอก็ละทิ้งอัพยาบาทวิตกเสีย มากระทำอยู่แต่

216
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 217 (เล่ม 18)

พยาบาทวิตกให้มาก จิตของเธอนั้นก็น้อมไปเพื่อพยาบาทวิตก ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ถ้าภิกษุยิ่งตรึกยิ่งตรองถึงวิหิงสาวิตกมาก เธอก็ละทิ้งอวิหิงสาวิตกเสีย
มากระทำอยู่แต่วิหิงสาวิตกให้มาก จิตของเธอนั้นก็น้อมไปเพื่อวิหิงสาวิตก.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนในสารทสมัยเดือนท้ายแห่งปี คนเลี้ยงโคต้องคอย
ระวังโคทั้งหลายในที่คับคั่งด้วยข้าวกล้า เขาต้องตีต้อนโคทั้งหลายจากที่นั้น ๆ
กั้นไว้ ห้ามไว้. ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนเลี้ยงโค
มองเห็นการฆ่า การถูกจำ การเสียทรัพย์ การถูกติเตียน เพราะโคทั้งหลาย
เป็นต้นเหตุ แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แล
เห็นโทษ ความเลวทราม ความเศร้าหมอง ของอกุศลธรรมทั้งหลาย และ
เห็นอานิสงส์ในการออกจากกาม อันเป็นฝ่ายแห่งความผ่องแผ้ว ของกุศลธรรม
ทั้งหลายแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรานั้นไม่ประมาท มีความเพียรเครื่อง
เผากิเลส ส่งตนไปอยู่อย่างนี้ เนกขัมมวิตกย่อมบังเกิดขึ้น เรานั้นย่อมทราบ
ชัดอย่างนี้ว่า เนกขัมมวิตกนี้เกิดขึ้นแก่เราแล้วแล ก็แต่ว่า เนกขัมมวิตกนั้น
ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เป็นไปเพื่อ
เบียดเบียนทั้งสองฝ่าย เป็นทางทำให้ปัญญาเจริญ ไม่ทำให้เกิดความคับแค้น
เป็นไปเพื่อพระนิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าเราจะตรึกตรองถึงเนกขัมม
วิตกนั้นอยู่ตลอดคืนก็ดี เราก็ยังมองไม่เห็นภัยอันจะบังเกิดแต่เนกขัมมวิตกนั้น
ได้เลย. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถึงหากเราจะตรึกตรองถึงเนกขัมมวิตกนั้นอยู่
ตลอดวันก็ดี เราก็ยังมองไม่เห็นภัยอันจะบังเกิดขึ้นจากเนกขัมมวิตกนั้นได้เลย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากเราจะตรึกตรองถึงเนกขัมมวิตกนั้น ตลอดทั้งกลางคืน
และกลางวันก็ดี เราก็ยังไม่มองเห็นภัยอันจะบังเกิดขึ้นจากเนกกขัมมวิตกนั้น
ได้เลย. ก็แต่ว่าเมื่อเราตรึกตรองอยู่นานเกินไป ร่างกายก็เหน็ดเหนื่อย เมื่อ
ร่างกายเหน็ดเหนื่อย จิตก็ฟุ้งซ่าน เมื่อจิตฟุ้งซ่าน จิตก็ห่างจากสมาธิ ดูก่อน

217
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 218 (เล่ม 18)

ภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแลดำรงจิตไว้ในภายใน ทำให้สงบ ทำให้เกิดสมาธิ
ประคองไว้ด้วยดี ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะปรารถนาไว้ว่า จิตของเรา
อย่าฟุ้งซ่านอีกเลย ดังนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรานั้นไม่ประมาท มีความ
เพียรเครื่องเผากิเลส ส่งตนไปแล้วอยู่อย่างนี้ อัพยาบาทวิตกย่อมบังเกิดขึ้น
ฯลฯ อวิหิงสาวิตกย่อมบังเกิดขึ้น เรานั้นย่อมทราบชัดอย่างนี้ว่า อวิหิงสาวิตก
นี้บังเกิดขึ้นแก่เราแล้วแล ก็แต่ว่า อวิหิงสาวิตกนั้นไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตน
ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่าย [คือตนและ
บุคคลอื่น] เป็นทางทำให้ปัญญาเจริญ ไม่ทำให้เกิดความคับแค้น เป็นไป
เพื่อพระนิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าเราจะตรึกตรองถึงอวิหิงสาวิตกนั้น
อยู่ตลอดคืนก็ดี เราก็ยังไม่มองเห็นภัยอันจะเกิดขึ้นจากอวิหิงสาวิตกนั้นได้เลย.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถึงหากเราจะตรึกตรองถึงอวิหิงสาวิตกนั้นอยู่ตลอดวันก็ดี
เราก็ยังไม่มองเห็นภัยอันจะเกิดขึ้นจากอวิหิงสาวิตกนั้นได้เลย. ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย หากเราจะตรึกตรองถึงอวิหิงสาตกนั้น ตลอดทั้งกลางคืนและกลางวัน
ก็ดี เราก็ยังมองไม่เห็นภัยอันจะเกิดขึ้นจากอวิหิงสาวิตกนั้นได้เลย. ก็แต่ว่า
เมื่อเราตรึกตรองอยู่นานเกินไป ร่างกายก็เหน็ดเหนื่อย เมื่อร่างกายเหน็ดเหนื่อย
จิตก็ฟุ้งซ่าน เมื่อจิตฟุ้งซ่าน จิตก็ห่างจากสมาธิ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแล
ดำรงจิตไว้ในภายใน ทำให้สงบ ทำให้เกิดสมาธิ ประคองไว้ด้วยดี ข้อนั้น
เพราะเหตุอะไร เพราะหมายในใจว่าจิตของเราอย่าฟุ้งซ่านอีกเลยดังนี้.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยิ่งตรึกยิ่งตรองถึงวิตกใด ๆ มาก เธอก็มีใจ
น้อมไปข้างวิตกนั้น ๆ มาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คือ ถ้าภิกษุยิ่งตรึกยิ่งตรอง
ถึงเนกขัมมวิตกมาก เธอก็จะละกามวิตกเสียได้ ทำเนกขัมมวิตกอย่างเดียว
ให้มาก จิตของเธอนั้นก็จะน้อมไปเพื่อเนกขัมมวิตก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ถ้าภิกษุยิ่งตรึก ยิ่งตรองถึงอัพยาบาทวิตกมาก เธอก็จะละพยาบาทวิตกเสียได้

218
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 219 (เล่ม 18)

ทำอัพยาบาทวิตกอย่างเดียวให้มาก จิตของเธอนั้นก็จะน้อมไปเพื่ออัพยาบาท
วิตก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุยังตรึก ยิ่งตรองถึงอวิหิงสาวิตกมาก เธอก็
จะละวิหิงสาวิตกเสียได้ ทำอวิหิงสาวิตกอย่างเดียวให้มาก จิตของเธอนั้นก็
น้อมไปเพื่อวิหิงสาวิตก. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนในเดือนท้ายแห่งฤดูร้อน
คนเลี้ยงโคจะต้องรักษาโคทั้งหลาย ในที่ใกล้บ้านในทุกด้าน เมื่อเข้าไปคู่โคน
ต้นไม้หรือไปสู่ที่แจ้งจะต้องทำสติอยู่เสมอว่า นั้นฝูงโค [ของเรา] ดังนี้ ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราก็ฉันนั้น ต้องทำสติอยู่เสมอว่าเหล่านี้เป็นธรรม [คือ
กุศลวิตก] ดังนี้.
ว่าด้วยวิชชา ๓
[๒๕๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้ปรารภความเพียร มีความเพียร
ไม่ย่อหย่อนแล้ว มีสติมั่นคงไม่เลอะเลือนแล้ว มีกายสงบไม่กระสับกระส่าย
แล้ว มีใจตั้งมั่น มีอารมณ์เป็นอันเดียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรานั้นแล
สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติ
และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่. บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจในภายใน เป็น
ธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและ
สุขเกิดแต่สมาธิอยู่ ฯลฯ บรรลุตติยฌาน. . . บรรลุจตุตถฌาน. . . เรานั้น เมื่อจิต
เป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติ
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไป
เพื่อปุพเพนิวาสานุสติญาน ย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติ
หนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง ฯลฯ เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อม
ทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการฉะนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชชาที่หนึ่ง
นี้แล เราบรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี เรากำจัดอวิชชาเสียแล้ว วิชชาจึง

219
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 220 (เล่ม 18)

บังเกิดขึ้น กำจัดความมืดเสียแล้ว ความสว่างจึงบังเกิดขึ้น ก็เพราะเราไม่
ประมาท มีความเพียรเครื่องเผากิเลส ส่งตนไปอยู่ ฉะนั้น. เรานั้น เมื่อจิต
เป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติ
อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว เรานั้นจึงโน้มน้อม
จิตไปเพื่อรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย เรานั้นย่อมเห็นสัตว์ที่กำลังจุติ กำลัง
อุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วย
ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตาม
กรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน
พระอริยะเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป
เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายสุจริต
วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือการกระทำ
ด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ เราย่อมเห็น
หมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี
ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์
ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิชชาที่สองนี้แล
เราบรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี เรากำจัดอวิชชาเสียแล้ว วิชชาจึงบังเกิด
ขึ้น กำจัดความมืดเสียแล้ว ความสว่างจึงเกิดขึ้น ก็เพราะเราไม่ประมาท มี
ความเพียรเครื่องเผากิเลส ส่งตนไปอยู่ ฉะนั้น. เรานั้นเมื่อจิตเป็นสมาธิ
บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นธรรมชาติ อ่อน ควร
แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ จึงโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ
ย่อมรู้ชัด ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกข-
นิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสว-
นิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเรานั้นรู้เห็นอย่างนี้ จิตจึงหลุดพ้นแล้ว แม้จาก

220
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 221 (เล่ม 18)

กามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณ
หยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ
ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
วิชชาที่สามนี้แล เราบรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี เรากำจัดอวิชชาเสียแล้ว
วิชชาจึงบังเกิดขึ้น กำจัดความมืดเสียแล้ว ความสว่างจึงบังเกิดขึ้น ก็เพราะ
เราไม่ประมาท มีความเพียรเครื่องเผากิเลส ส่งตนไปอยู่ ฉะนั้น.
[๒๕๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีหมู่เนื้อเป็นอันมาก พากันเข้าไป
อาศัยบึงใหญ่ในป่าดงอยู่ ยังมีบุรุษคนหนึ่งปรารถนาความพินาศ ประสงค์ความ
ไม่เกื้อกูล ใคร่ความไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นแก่หมู่เนื้อนั้น เขาปิดทางที่ปลอดภัย
สะดวก ไปได้ตามชอบใจของหมู่เนื้อนั้นเสีย เปิดทางที่ไม่สะดวกไว้ วางเนื้อ
ต่อตัวผู้ไว้ วางนางเนื้อต่อไว้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ โดยสมัย
ต่อมา หมู่เนื้อเป็นอันมากก็พากันมาตายเสีย จนเบาบาง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
แต่ยังมีบุรุษอีกคนหนึ่งปรารถนาประโยชน์ ใคร่ความเกื้อกูล ใคร่ความปลอดภัย
แก่หมู่เนื้อเป็นอันมากนั้น เขาเปิดทางที่ปลอดภัย สะดวก ไปได้ตามชอบใจ
ให้แก่หมู่เนื้อนั้น ปิดทางที่ไม่สะดวกเสีย กำจัดเนื้อต่อ เลิกนางเนื้อต่อ ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ โดยสมัยต่อมา หมู่เนื้อเป็นอันมาก จึงถึงความ
เจริญคับคั่ง ล้นหลาม แม้ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้ออุปมานี้ก็ฉันนั้นแล
เราได้ทำขึ้นก็เพื่อจะให้พวกเธอรู้ความหมายของเนื้อความ ก็ในอุปมานั้น มี
ความหมายดังต่อไปนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่า บึงใหญ่ นี้เป็นชื่อของ
กามคุณทั้งหลาย. คำว่า หมู่เนื้อเป็นอันมาก นี้เป็นชื่อของหมู่สัตว์ทั้งหลาย.
คำว่า บุรุษผู้ปรารถนาความพินาศ ประสงค์ความไม่เกื้อกูล จำนงความไม่
ปลอดภัย นี้เป็นชื่อของตัวมารผู้มีบาป. คำว่า ทางที่ไม่สะดวก นี้เป็นชื่อของ
ทางผิด อันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ มิจฉาทิฐิ ๑ มิจฉาสังกับปะ ๑

221
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 222 (เล่ม 18)

มิจฉาวาจา ๑ มิจฉากัมมันตะ ๑ มิจฉาอาชีวะ ๑ มิจฉาวายามะ ๑ มิจฉาสติ ๑
มิจฉาสมาธิ ๑. คำว่า เนื้อต่อตัวผู้ นี้เป็นชื่อของนันทิราคะ (ความกำหนัด
ด้วยความเพลิน). คำว่า นางเนื้อต่อ นี้เป็นชื่อของอวิชชา. คำว่า บุรุษคน
ที่ปรารถนาประโยชน์ หวังความเกื้อกูล หวังความปลอดภัย (แก่เนื้อเหล่านั้น)
นี้หมายเอาตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า. คำว่า ทางอันปลอดภัยสะดวก
ไปได้ตามชอบใจ นี้เป็นชื่อของทางอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ซึ่งเป็น
ทางถูกที่แท้จริง คือสัมมาทิฐิ ๑ สัมมาสังกัปปะ ๑ สัมมาวาจา ๑ สัมมา
กัมมันตะ ๑ สัมมาอาชีวะ ๑ สัมมาวายามะ ๑ สัมมาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑.
[๒๕๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แล เป็นอัน
ว่าทางอันปลอดภัยซึ่งเป็นทางสวัสดี เป็นทางที่พวกเธอควรไปได้ด้วยความ
ปลาบปลื้ม เราได้เผยให้แล้ว ปิดทางที่ไม่สะดวกให้ด้วย เนื้อต่อก็ได้กำจัดให้
แล้วทั้งนางเนื้อต่อก็สังหารให้เสร็จ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กิจอันใดที่ศาสดาผู้
แสวงหาประโยชน์ เกื้อกูลเอ็นดู อาศัยความอนุเคราะห์ แก่เหล่าสาวกจะพึง
ทำ กิจอันนั้น เราทำแก่เธอทั้งหลายแล้ว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้
นั่นเรือนว่างเปล่า เธอทั้งหลายจงเพ่งพินิจ อย่าประมาท อย่าได้เป็นผู้มี
ความเดือดร้อนในภายหลัง. นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่เธอทั้งหลาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นมิใจ
ชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.
จบ เทวธาวิตักกสูตร ที่ ๙

222