ชวนะถือแล้ว ภวังคจิต ซึ่งมีพร้อมกับอาวัชชนะ ชื่อว่า เป็นมโน แต่นั้น
ผัสสะเป็นต้นแม้ทั้งหมดก็เกิดพร้อมกับชวนะ ส่วนในมโนทวาร อารมณ์แม้
ทั้งหมดอันต่างโดยเป็นอดีตเป็นต้นก็ย่อมมี เพราะฉะนั้น คำนี้ว่า เป็นที่อดีต
อนาคต และปัจจุบัน เป็นอันเหมาะสมแล้ว.
บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงวัฏฏะ. จึงปรารภเทศนาว่า โส วตาวุโส
ดังนี้. บทว่า ผสฺสปญฺญตฺตึ ปญฺญเปสฺสติ ความว่า จักบัญญัติจะแสดง
ผัสสะบัญญัติอย่างนี้ว่า ธรรมอันหนึ่ง ชื่อว่า ผัสสะ ย่อมเกิดขึ้น. ในบททั้ง
ปวงก็มีในนี้. พระเถระครั้นแสดงวัฏฏะทั้งสิ้นด้วยอำนาจอายตนะสิบสองว่า ครั้น
อายตนะนี้มี อายตนะนี้ก็มี ด้วยประการฉะนั้นแล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงวิวัฏฏะ
ด้วยอำนาจปฏิเสธอายตนะสิบสอง จึงปรารภเทศนาว่า โส วตาวุโส จกฺขุสฺมึ
อสติ ดังนี้. พึงทราบอรรถโดยนัยที่กล่าวแล้วในบทนี้นั้นเทียว.
พระเถระครั้นวิสัชชนาปัญหาอย่างนี้แล้ว บัดนี้ จึงกล่าวส่งไปว่า
ปัญหาอันสาวกกล่าวแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายอย่าเป็นผู้สงสัย พระผู้มี-
พระภาคเจ้าองค์นี้ ทรงถือการเปรียบเทียบด้วยสัพพัญญุตญาน ประทับนั่ง
แล้ว ท่านทั้งหลายเมื่อปรารถนา ก็จงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ก็จะหมดความสงสัย ดังนี้ จึงกล่าวคำว่า อากงฺขมานา จ ปน ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า อิเมหิ อากาเรหิ ความว่า ด้วยเหตุเหล่านี้ คือ ด้วยการณ์ เฉพาะ
แห่งความเกิดขึ้นเอง เครื่องเนิ่นช้า และการณ์เกี่ยวกับวัฏฏ และวิวัฏฏ. บทว่า
อิเมหิ ปเทหิ คือ ด้วยประมวลอักขรเหล่านี้. บทว่า พฺยญฺชเนหิ ได้แก่
ด้วยอักขระเฉพาะอย่าง. บทว่า ปณฺฑิโต ความว่า ประกอบพร้อมด้วยความ
เป็นบัณฑิต หรือเป็นบัณฑิตด้วยเหตุ ๔ อย่าง คือ ฉลาดในธาตุ ฉลาดใน
อายตนะ ฉลาดในปัจจยาการ ฉลาดในการณ์ และอการณ์. บทว่า มหาปญฺ-
โญ ความว่า ถึงพร้อมด้วยปัญญามาก ซึ่งสามารถที่จะกำหนดอรรถะมาก