หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 203 (เล่ม 18)

๖. ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่อใจไม่มี ธรรมารมณ์ไม่มีและ
มโนวิญญาณไม่มี เขาจักบัญญัติว่าผัสสะ ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการ
บัญญัติผัสสะไม่มี เขาจักบัญญัติว่าเวทนา ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติ
เวทนาไม่มี เขาจักบัญญัติว่าสัญญา ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เมื่อการบัญญัติ
สัญญาไม่มี เขาจักบัญญัติว่าวิตกข้อนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้เมื่อการบัญญัติวิตกไม่มี
เขาจักบัญญัติว่าการครอบงำ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ข้อนี้มิใช่ฐานะที่จะ
มีได้.
ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศนี้ไว้
โดยย่อว่า ดูก่อนภิกษุ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงำบุรุษเพราะ
เหตุใด ถ้าการที่บุคคลจะเพลิดเพลิน ยึดถือกล้ำกลืนไม่มีในเหตุนั้น อันนี้
เทียวเป็นที่สุดแห่งราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งปฎิฆานุสัย เป็นที่สุดแห่งทิฏฐานุสัย
เป็นที่สุดแห่งวิจิกิจฉานุสัย เป็นที่สุดแห่งมานานุสัย เป็นที่สุดแห่งภวราคานุสัย
เป็นที่สุดแห่งอวิชชานุสัย เป็นที่สุดแห่งการจับท่อนไม้ การจับศาสตรา การ
ทะเลาะ การถือผิด การโต้เถียงกัน การด่าว่ากัน การส่อเสียดยุยงและการ
กล่าวเท็จ อกุศลธรรมอันลามกเหล่านี้ ย่อมดับไปโดยไม่เหลือในเพราะเหตุ
นั้น แล้วไม่ทรงชี้แจงเนื้อความให้พิสดาร เสด็จลุกจากอาสนะเข้าที่ประทับ
เสีย ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ผมรู้ถึงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระภาค-
เจ้าทรงแสดงไว้โดยย่อนี้ ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความไว้โดยพิสดารให้พิสดารได้
อย่างนี้ ก็แลเมื่อท่านทั้งหลายปรารถนา ก็พึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว
ทูลถามเนื้อความนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ประการใด ท่านทั้ง
หลายพึงทรงจำข้อนั้นไว้โดยประการนั้นเถิด.

203
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 204 (เล่ม 18)

สอบถามเนื้อความที่พระมหากัจจานะชี้แจง
[๒๔๙] ลำดับนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นชื่นชมยินดีภาษิตของท่านมหา-
กัจจานะ แล้วลุกจากอาสนะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวาย
บังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอุเทศไว้โดยย่อว่า
ดูก่อนภิกษุ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้าย่อมครอบงำบุรุษเพราะเหตุใด
ถ้าการที่บุคคลจะเพลิดเพลิน ยึดถือ กล้ำกลืน ไม่มีในเหตุนั้น อันนี้เทียว
เป็นที่สุดแห่งราคานุสัย เป็นที่สุดแห่งปฏิฆานุสัย เป็นที่สุดแห่งทิฏฐานุสัย เป็น
ที่สุดแห่งวิจิกิจฉานุสัย เป็นที่สุดแห่งมานานุสัย เป็นที่สุดแห่งภวราคานุสัย
เป็นที่สุดแห่งอวิชชานุสัย เป็นที่สุดแห่งการจับท่อนไม้ การจับศาสตรา การ
ทะเลาะ การถือผิด การโต้เถียงกัน การด่าว่ากัน การส่อเสียดยุยงและการ
กล่าวเท็จ อกุศลธรรมอันลามกเหล่านั้นย่อมดับไปโดยไม่เหลือ ในเพราะเหตุ
นั้น ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความให้พิสดาร แล้วเสด็จลุกจากอาสนะเข้าที่ประทับเสีย
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าหลีกไบ่ไม่นาน พวกข้าพระองค์
ได้บังเกิดความสงสัยว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
แสดงอุเทศนี้ไว้โดยย่อ. . . ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความให้พิสดารแล้ว เสด็จลุกจาก
อาสนะเข้าที่ประทับเสียย่อ ใครหนอจะชี้แจงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงแสดงไว้โดยย่อนี้ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความไว้โดยพิสดาร ให้พิสดาร
ได้. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ก็บังเกิดความคิดขึ้นว่า ท่านพระ-
มหากัจจานะนี้อันพระศาสดาทรงยกย่องแล้ว และเพื่อนพรหมจรรย์ผู้รู้สรรเสริญ
แล้ว และท่านพระมหากัจจานะก็สามารถจะชี้แจงเนื้อความแห่งอุเทศที่พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้โดยย่อ ไม่ทรงชี้แจงเนื้อความไว้โดยพิสดาร ให้
พิสดารได้ ผิฉะนั้น เราทั้งหลายจะพากันเข้าไปหาท่านมหากัจจานะยังที่อยู่

204
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 205 (เล่ม 18)

แล้วสอบถามเนื้อความนี้กะท่านพระมหากัจจานะดู. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ลำดับนั้นเอง ข้าพระองค์ทั้งหลายได้พากันเข้าไปหาท่านมหากัจจานะถึงที่อยู่
แล้วสอบถามเนื้อความนี้กะท่านพระมหากัจจานะะ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่าน
พระมหากัจจานะได้ชี้แจงเนื้อความด้วยอาการเหล่านี้ ด้วยบทเหล่านั้น ด้วย
พยัญชนะเหล่านี้ แก่พวกข้าพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระมหากัจจานะ
เป็นบัณฑิต เป็นผู้มีปัญญามาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้พวกเธอจะถามเนื้อ
ความนี้กะเรา แม้เราก็จะพึงพยากรณ์เนื้อความนั้นเหมือนกับที่พระมหากัจจานะ
พยากรณ์แล้วนั้น นี่แหละเป็นเนื้อความแห่งข้อนั้น เธอทั้งหลายจงจำทรงข้อนั้น
ไว้เถิด.
[๒๕๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึง
กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนบุรุษผู้ถูก
ความหิวความเหนื่อยอ่อนครอบงำ ได้ขนมหวาน แล้วกินในเวลาใด ก็พึง
ได้รับรสอันอร่อยหวานชื่นชูใจในเวลานั้น ฉันใด ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุ
นักคิด ชาติบัณฑิตพึงใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมบรรยายนี้ด้วยปัญญาใน
เวลาใด ก็พึงได้ความพอใจและได้ความเลื่อมใสแห่งใจในเวลานั้น ฉันนั้น ข้า
แต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมบรรยายนี้ชื่ออะไร.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนอานนท์ เหตุดังนั้น เธอจง
ทรงจำธรรมบรรยายนี้ว่า มธุปิณฑิกปริยาย ดังนี้เถิด.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์มีใจ
ชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วแล.
จบ มธุปิณฑิกสูตร ที่ ๘

205
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 206 (เล่ม 18)

อรรถกถามธุปิณฑิกสูตร
มธุปิณฑิกสูตร มีคำเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ :-
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหาวนํ ได้แก่ ป่าที่เกิดขึ้นเองโดยไม่มี
ใครปลูก ต่อเนื่องเป็นอันเดียวกันกับป่าหิมพานต์ ไม่เหมือนป่าเกี่ยวกับป่าที่
ปลูกแล้ว และยังไม่ได้ปลูกในเมืองเวสาลี. บทว่า ทิวาวิหาราย ได้แก่
เพื่อประโยชน์แก่การทรงพักผ่อนในเวลากลางวัน. บทว่า เวลุวลฏฺฐิกาย
ได้แก่ ต้นมะตูมหนุ่ม. บทว่า ทณฺฑปาณิ คือ ทรงถือไม้เท้าเพราะความ
เป็นผู้ทุรพลด้วยชราก็หาไม่. เพราะทัณฑปาณิศากยะนี้ ยังเป็นหนุ่มเทียว
ดำรงอยู่ในปฐมวัย แต่ทรงถือไม้เท้าทองคำ เพราะความที่มีจิตในไม้เท้าเทียวไป
เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า ทัณฑปาณิ. บทว่า ชงฺฆาวิหารํ ได้แก่ เดินเล่น
เพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยของแข้ง. บทว่า อนุจงฺกมมาโน คือกำลังเสด็จ
เที่ยวข้างโน้น และข้างนี้ เพื่อประโยชน์แก่การทรงชมสวน ชมป่า และชม
ภูเขา เป็นต้น. ได้ยินว่า ทัณฑปาณิศากยะนั้น เมื่อจะเสด็จออกไป
ก็เสด็จออกในบางเวลาเท่านั้น เที่ยวไป. บทว่า ทณฺฑโมลุพฺภา
ความว่า ทรงยันไม้เท้า คือวางไม้เท้าข้างหน้า เหมือนเด็กเลี้ยงโค วางพระ
หัตถ์ทั้งสองไว้บนปลายไม้เท้า ทรงแนบหลังพระฝ่าพระหัตถ์ ไว้กับพระหณุ
แล้ว ประทับยืน ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. บทว่า กึวาที ได้แก่ ทรงมีความเห็น
อย่างไร. บทว่า กิมกฺขายิ คือ ตรัสบอกอย่างไร. พระราชานี้ไม่ทรงไหว้
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำสักว่า ปฏิสันถานเท่านั้น แล้วทูลถามปัญหา
แต่ก็ทูลถามโดยความจำใจ เพราะความที่ไม่ประสงค์จะรู้. นัยว่าพระราชานี้
ทรงเป็นพวกของพระเทวทัต เพราะเหตุไร. เพราะพระเทวทัตแตกในพระ-

206
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 207 (เล่ม 18)

ตถาคตผู้เสด็จมาสู่สำนักของพระองค์. ได้ยินว่า พระเทวทัตนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า
พระสมณโคดมมีเวรกับตระกูลพวกเรา ไม่หวังความเจริญแก่ตระกูลพวกเรา
แม้พระภคินีของเรา สมควรเสวยสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ พระนางละสมบัติ
นั้นย่อมเสื่อมเสีย เพราะฉะนั้น สมณโคดมจึงเสด็จออกทรงผนวชทรงรู้ว่า
แม้พระภาคิไนยของเรา จักเป็นหน่อพระเจ้าจักรพรรดิ ก็ไม่ทรงยินดีกับความ
เจริญของตระกูลพวกเรา ทรงคิดว่า นั้นย่อมเสื่อมเสีย จึงทรงยังให้พระ-
ภาคิไนยแม้นั้นให้บรรพชาในเวลายังเป็นเด็กนั้นเทียว ส่วนเราเว้นจากภาคิไนย
นั่น ก็ไม่อาจจะเป็นไป จึงได้ออกบวชตาม ตั้งแต่วันบวช ก็ไม่ทรงมองดู
เราแม้ผู้บวชอย่างนี้ ด้วยดวงพระเนตรตรง ๆ และแม้เมื่อตรัสในท่ามกลางบริษัท
ก็เหมือนประหารด้วยคำเท็จมากหลาย เช่นตรัสว่า เทวทัตเป็นสัตว์อบายดังนี้
เป็นต้น. พระราชาแม้นี้ ถูกพระเทวทัตยุยงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงทรง
กระทำดังนั้น. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะตรัสคำที่สมควรแก่พระ-
ราชานั้น. ด้วยพระดำริว่า เราจักตรัสบอกแก่พระราชานั้น โดยประการที่
พระราชานี้ไม่อาจเพื่อจะตรัสว่า พระสมณโคดมจะไม่ตรัสบอกปัญหาที่เราทูล
ถามและโดยประการที่ไม่รู้เนื้อความแห่งภาษิต จึงตรัสว่า ยถาวาที โข
เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น เกนจิ โลเก วิคฺคยฺห ติฏฺฐติ
ความว่า ไม่ทำคำโต้เถียง คือไม่ทะเลาะกันผู้ใดผู้หนึ่งในโลก. จริงอยู่
พระตถาคตย่อมไม่ทรงทะเลาะกับชาวโลก แต่ชาวโลก ครั้นตรัสว่า ไม่เที่ยง
ก็กล่าวว่า เที่ยง เมื่อตรัสว่า ทุกข์ อนัตตา ไม่งาม ก็กล่าวว่า งาม ชื่อว่า
ทะเลาะกับพระตถาคต ดังนี้. ด้วยเหตุนั้นเที่ยว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราไม่ทะเลาะกับชาวโลก แต่ชาวโลกทะเลาะกับเรา ธรรมวาทีย่อมไม่ทะเลาะ
กับใคร ๆ เช่นกัน แต่อธรรมวาทีย่อมทะเลาะ ดังนี้. บทว่า ยถา ได้แก่
โดยการณ์ใด. บทว่า กาเมหิ คือ วัตถุกามบ้าง กิเลสกามบ้าง. บทว่า

207
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 208 (เล่ม 18)

ตํ พฺราหฺมณํ ได้แก่ พราหมณ์ผู้ขีณาสพนั้น. บทว่า อกถํกถึ ได้แก่
ปราศจากความสงสัย. บทว่า ฉินฺนกุกฺกุจฺจํ คือ ชื่อว่า ตัดความคะนอง
ได้แล้ว เพราะความที่ความคะนองเกี่ยวกับความเดือดร้อน และความคะนอง
มือและเท้าตัดขาดแล้ว. บทว่า ภวาภเว ได้แก่ ในภพแล้วภพอีก หรือภพ
เลวประณีต. จริงอยู่ ภพอันประณีตถึงแล้วซึ่งความเจริญเรียกว่า อภพ.
บทว่า สญฺญา ได้แก่ กิเลสสัญญา. กิเลสทั้งหลายนั้นเทียว ท่านกล่าวแล้ว
โดยชื่อว่า สัญญาในที่นี้ เพราะฉะนั้น จึงมีอธิบายในบทนี้อย่างนี้ว่า กิเลส-
สัญญาทั้งหลายจะไม่ครอบงำพราหมณ์ผู้อยู่ปราศจากกามทั้งหลายนั้น ผู้มีปกติ
กล่าวความดับจากโลกทั้งหลายโดยการณ์ใด และเราย่อมกล่าวการณ์นั้น ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่พระองค์เป็นพระขีณาสพด้วยประการฉะนี้.
บทว่า นิลฺลาเฬตฺวา คือ นำลิ้นออกเล่น. บทว่า ติวิสาขํ ได้แก่ ๓ รอย.
บทว่า นลาฏิกํ ความว่า หน้าผากย่น ทรงแสดงรอยย่น ๓ สายในหน้าผาก
ทำหน้าผากย่น. บทว่า ทณฺฑโมลุพฺภา ได้แก่ ยันไม้เท้า. บทว่า
ทณฺฑมาลุพฺภ ดังนี้ก็มี อธิบายว่า ถือแล้วหลีกไป. บทว่า อญฺญตโร
ได้แก่ ภิกษุรูปหนึ่ง ไม่ปรากฏชื่อ.
ได้ยินว่า ภิกษุนั้นฉลาดในการเชื่อมเนื้อเรื่อง ครั้นเมื่อพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าตรัสว่า เจ้าทัณฑปาณิไม่ทรงรู้โดยประการใด เราจะแสดงโดยประการ
นั้น จึงถืออนุสนธิว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสปัญหาที่ไม่พึงรู้ว่าเป็นอย่างไร
หนอแล จึงทูลขอพระทศพลด้วยคิดว่า เราจักทำปัญหานี้ให้ปรากฏแก่พระ-
ภิกษุสงฆ์ ลุกจากอาสนะทำอุตตรสงค์เฉลี่ยงบ่า ประคองอัญชลีที่รุ่งเรืองด้วย
นิ้วทั้งสิบ จึงกราบทูลว่า ข้อแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้ามีปกติ
ตรัสอย่างไรเป็นต้น. บทว่า ยโตนิทานํ นั้นเป็นภาวนปุงสกลิงค์ อธิบายว่า
ครั้น เมื่อการณ์ใดมีอยู่ด้วยการณ์ใด. บทว่า สํขา ในบทว่า ปปญฺจสญฺญา-

208
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 209 (เล่ม 18)

สํขา นั้น ได้แก่ส่วน. บทว่า ปปฺจสญฺญา ได้แก่ สัญญาอันประกอบ
ด้วยเครื่องเนิ่นช้า คือ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ. อนึ่ง เครื่องเนิ่นช้านั้น
เทียว ตรัสด้วยชื่อว่า สัญญา เพราะฉะนั้น ในบทนี้จึงมีอธิบายอย่างนี้ว่า
ส่วนแห่งเครื่องเนิ่นช้า. บทว่า สมุทาจรนฺติ คือ ย่อมเป็นไป. บทว่า
เอตฺถ เจ นตฺถิ อภินนฺทิตพฺพํ ความว่า ครั้นการณ์กล่าวคืออายตนะสิบสอง
ใดมีอยู่ ส่วนแห่งสัญญาเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงำ ถ้าแม้อายตนะหนึ่ง อัน
บุคคลพึงเพลิดเพลิน พึงยึดถือ พึงกล้ำกลืน ไม่มีในการณ์นั้น. บรรดาบท
เหล่านั้น บทว่า อภินนฺทิตพฺพํ ความว่า พิงเพลิดเพลิน ว่าเรา ของเรา.
บทว่า อภิวทิตพฺพํ ได้เเก่ พึงกล่าวว่า เรา ของเรา. บทว่า อชฺโฌสิตพฺพํ
ได้แก่ ประกอบการที่กล้ำกลืน กลืนแล้ว ให้จบสิ้นแล้ว พึงถือเอา. ทรง-
แสดงความไม่เป็นไปแห่งตัณหาเป็นต้น นั้นเที่ยวในที่นี้ ด้วยบทนั้น. บทว่า
เอเสวนฺโต คือ ความที่การเพลิดเพลินเป็นต้นไม่มีนี้เทียว เป็นที่สุดแห่ง
อนุสัยทั้งหลาย มีราคานุสัย เป็นต้น. ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ก็ใน
ทัณฑาทานเป็นต้น บุคคลจับท่อนไม้ด้วยเจตนาใด เจตนานั้นชื่อว่า ทณฺฑา-
ทานํ แปลว่า การจับท่อนไม้ บุคคลจับศาสตราด้วยเจตนาใด เจตนานั้น ชื่อว่า
สตฺถาทานํ แปลว่า เจตนาถือศาสตรา การถือผิด การทะเลาะอันถึงที่สุด
การโต้เถียงอันถึงการถือต่าง ๆ การวิวาทอันถึงวาทะต่าง ๆ. บทว่า ตุวํ ตุวํ
ได้แก่ แม้วาจาว่า มึง มึง อันเป็นไปแล้วอย่างนี้. การทำความส่อเสียด ชื่อว่า
เปสุญฺญํ แปลว่า การส่อเสียด. วาจาที่กระทำการพูดเท็จที่มีสภาวะไม่เป็นความ
จริงนั้น พึงทราบว่า มุสาวาท. บทว่า เอตฺเถเต ความว่า อกุศลธรรม
อันลามกเหล่านี้ในเพราะอายตนะสิบสองนั้น. จริงอยู่ กิเลสทั้งหลายแม้เมื่อจะ
เกิดขึ้น ย่อมเกิดเพราะอาศัยอายตนะสิบสอง แม้เมื่อจะดับก็ย่อมดับในเพราะ
อายตนะสิบสองเช่นเดียวกัน. กิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นในที่ใด ก็ย่อมดับใน

209
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 210 (เล่ม 18)

ที่นั้น ด้วยประการฉะนี้. เนื้อความนี้นั้น พึงแสดงด้วยสมุทยสัจจปัญหา.
จริงอยู่ ท่านกล่าวว่า ก็ตัณหานี้นั้นแล เมื่อเกิด ย่อมเกิดในที่ไหน เมื่อ
ดับ ย่อมดับในที่ไหน ดังนี้แล้ว จึงกล่าวความเกิดขึ้น และความ
ดับแห่งตัณหานั้น ในเพราะอายตนะสิบสอง โดยนัยมีอาทิว่าปียรูป สาตรูป
ในโลกใด ตัณหานั่นเมื่อเกิด ย่อมเกิดในปียรูป สาตรูปนั้น เมื่อดับ
ย่อมดับในปียรูป สาตรูปนั้น ปียรูป สาตรูป ในโลกคืออะไร
คือ จักษุเป็นปียรูป สาตรูปในโลก ดังนี้ ตัณหาเกิดขึ้นแล้วในอายตนะ
สิบสอง อาศัยนิพพานก็ดับไป แต่เพราะไม่มีความครอบงำในอายตนะทั้งหลาย
ท่านกล่าวว่า ดับแล้วในเพราะอายตนะทั้งหลายนั้นเทียวฉัน ใด อกุศลธรรม
อันลามกแม้เหล่านี้ พึงทราบว่า ย่อมดับในเพราะอายตนะทั้งหลาย ฉันนั้น
อนึ่ง ความไม่มีแห่งความเพลิดเพลินเป็นต้นนี้ใด ท่านกล่าวว่าเป็นที่สุดแห่ง
อนุสัยทั้งหลายมีราคานุสัยเป็นต้น อกุศลธรรมอันลามกทั้งหลายย่อมดับโดย
ไม่เหลือในนิพพานอันมีโวหารที่ได้แล้วว่า เอตฺเถเต ราคานุสยาทีนํ อนุ-
โต ก็สิ่งใดไม่มีในนิพพานใด สิ่งนั้นเป็นอันชื่อว่าดับแล้วในนิพพานนั้น. เนื้อ
ความนี้นั้น พึงแสดงด้วยนิโรธปัญหา. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวแล้วเป็นอาทิ
ว่า วิตกวิจาร วจีสังขารของภิกษุนั้นผู้เข้าถึงทุติยฌาน ย่อมสงบระงับ. บทว่า
สตฺถุเจว สํวณฺณิโต คือ ผู้อันพระศาสดาเทียว ทรงสรรเสริญแล้ว. แม้
คำนี้ว่า วิญฺญูนํ เป็นสัตตมีวิภัตติ์ลงในอรรถตติยวิภัตติ์ อธิบายว่า ผู้อัน
สพรหมจารีทั้งหลายผู้บัณฑิตสรรเสริญแล้ว. บทว่า ปโหติ คือ ย่อมอาจ.
บทว่า อติกฺกมฺเมว มูลํ อติกฺกมฺม ขนฺธํ ความว่าธรรมดาแก่นไม้พึงมี
ในลำต้นหรือโคนต้น ล่วงเลยโคนต้นและลำต้นแม้นั้น. บทว่า เอวํ สมฺปทํ
ความว่า ข้ออุปไมยนี้ก็ฉันนั้น อธิบายว่า เป็นเช่นนี้. บทว่า อติสิตฺวา ได้
แก่ ก้าวล่วงแล้ว. บทว่า ชานํ ชานาติ ได้แก่ รู้สิ่งที่พึงรู้นั้นเทียว. บทว่า

210
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 211 (เล่ม 18)

ปสฺสํ ปสฺสติ ได้แก่ เห็นสิ่งที่ควรเห็น นั้นเทียว. อนึ่ง บุคคลบางคนถือ
ควานวิปริต แม้เมื่อรู้ก็ว่าไม่รู้ แม้เมื่อเห็นก็ว่าไม่เห็นฉันใด ส่วนพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าไม่เช่นนั้น เมื่อทรงรู้ก็ว่ารู้ เมื่อทรงเห็นก็ว่าเห็น อย่างเดียว. พระผู้-
มีพระภาคเจ้านี้นั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีพระจักษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้นำในทัสสนะ
ชื่อว่าเป็นผู้มีพระญาณ เพราะอรรถว่ากระทำสิ่งที่ทรงรู้แล้ว ชื่อว่ามีธรรม
เพราะอรรถว่ามีสภาวะอัน ไม่วิปริต หรือเพราะทรงมีพระธรรมวินัยที่ทรงคิด
ด้วยพระหฤทัย ทรงเปล่งด้วยพระวาจาเพราะเป็นไปในปริยัติธรรม ชื่อว่า
เป็นพรหม เพราะอรรถว่าประเสริฐที่สุด. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เป็นผู้มีพระ-
จักษุ เพราะเป็นผู้มีดุจจักษุ เเม้ในบทเหล่านั้น ก็มีเนื้อความอย่างนี้ พระผู้มี-
พระภาคเจ้านี้นั้น เป็นผู้เผยแผ่ เพราะทรงเผยแผ่พระธรรม เป็นผู้ประกาศ
เพราะทรงประกาศพระธรรม เป็นผู้ขยายเนื้อความ เพราะความที่พระองค์ทรง
สามารถในการนำแล้วนำอีกซึ่งเนื้อความมาทรงแสดง เป็นผู้ให้อมตธรรม
เพราะพระองค์ทรงบรรลุอมตธรรมแล้วทรงให้ปฏิบัติ. บทว่า อครุกริตฺวา
มีอธิบายว่า ก็พระมหากัจจานะ เมื่อถูกร้องขอบ่อย ๆ ชื่อว่า ทำความหนักใจ
แม้ดำรงอยู่ในสาวกบารมีญาณของตนแสดงทำให้รู้ได้ยาก ดุจขนทรายจากเชิง
เขาพระสิเนรุ ชื่อว่า ความหนักใจเหมือนกัน ขอท่านอย่าทำอย่างนั้น โปรด
ให้พวกกระผมร้องขอบ่อย ๆ แล้วแสดงธรรมให้แม้รู้ได้โดยง่ายแก่พวกกระผม
เถิด ในบทนี้ว่า ยํ โข โน อาวุโส พระมหากัจจานะควรกล่าวว่า ยํ
โข โว แม้ก็จริง ถึงกระนั้น เมื่อจะสงเคราะห์ภิกษุเหล่านั้นพร้อมกับตน
จึงกล่าวว่า ยํ โข โน ดังนี้. หรือเพราะอุทเทสได้แสดงแล้วแก่ภิกษุเหล่านั้น
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดงแก่พระเถระบ้าง แก่ภิกษุเหล่านั้น ๆ บ้าง
เพราะฉะนั้น ท่านหมายถึงบทนี้ว่า ภควา จึงกล่าวอย่างนั้น อธิบายว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา ทรงแสดงอุเทศโดยย่อใดแลแก่พวกท่าน ดังนี้

211
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ – หน้าที่ 212 (เล่ม 18)

ในบทนี้ว่า จกฺขุญฺจาวุโส เป็นต้น มีอธิบายอย่างนี้ ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย
ก็ธรรมดาจักษุวิญญาณย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัยจักขุปสาทโดยความเป็นนิสสัย
และรูปอันประกอบด้วยสมุฏฐาน ๔ อย่าง โดยความเป็นอารมณ์. บทว่า
ติญฺณํ สงฺคติ ผสฺโส ความว่า เพราะประชุมธรรม ๓ ประการนั้นจึงเกิด
ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย ด้วยอำนาจเกิดขึ้นพร้อมแล้วเป็นต้น เพราะ
อาศัยผัสสะนั้นจึงเกิดเวทนา และด้วยเวทนานั้น บุคคลเสวยอารมณ์อันใด
สัญญาก็จำอารมณ์นั้น สัญญาจำอารมณ์ใด วิตกก็ตรึกถึงอารมณ์นั้นเทียว วิตก
ตรึกถึงอารมณ์ใด เครื่องเนิ่นช้าก็เนิ่นช้าถึงอารมณ์นั้นเทียว. บทว่า ตโตนิ-
ทานํ ได้แก่ เพราะการณ์มีจักขุรูปเป็นต้นนั้น. บทว่า ปุริสํ ปปญฺจสญฺญา-
สงฺขา สมุทาจรนฺติ ความว่า ส่วนแห่งเครื่องเนิ่นช้า ย่อมครอบงำบุรุษผู้
ไม่รอบรู้การณ์นั้น อธิบายย่อมเป็นไปแก่บุรุษนั้น. ในข้อนั้น ผัสสะ เวทนา
และสัญญา เป็นอันเกิดขึ้นพร้อมด้วยจักขุวิญญาณ พึงเห็นวิตกในจิตที่มีวิตก
มีในลำดับแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น. ถามว่า ส่วนแห่งเครื่องเนิ่นช้าเกิดพร้อม
กับชวนะ ถ้าเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร จะทำการถืออดีตและอนาคตเล่า.
ตอบว่าเพราะเกิดขึ้นอย่างนั้น. เหมือนอย่างว่า เครื่องเนิ่นช้าอันเป็นไปทาง
จักขุทวารเกิดขึ้นแล้ว ในบัดนี้ เพราะอาศัยจักขุ รูป และสัมผัส เวทนา
สัญญา วิตก ฉันใด ท่านพระมหากัจจานะเมื่อจะแสดงความเกิดขึ้นของเครื่อง
เนิ่นช้านั่น ในรูปทั้งหลายอันพึงรู้ด้วยจักษุแม้ที่เป็นอดีตและอนาคตจึงกล่าว
อย่างนั้น ฉันนั้นเหมือนกัน. ในบทแม้เป็นต้นว่า โสตญฺจาวุโส มีนัยเช่น
เดียวกัน. ก็พึงทราบวินิจฉัยในฉัฏฐทวาร บทว่า มนํ ได้แก่ ภวังคจิต.
บทว่า ธมฺเม ได้แก่ ธรรมารมณ์อันเป็นไปในภูมิสาม. บทว่า มโนวิญฺญาณํ
ได้แก่ อาวัชชนะ หรือ ชวนะ. ครั้นอาวัชชนะถือแล้ว ผัสสะ เวทนาสัญญา
และวิตก ย่อมเกิดพร้อมกับอาวัชชนะ เครื่องเนิ่นช้าเกิดพร้อมกับชวนะ ครั้น

212