No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 176 (เล่ม 17)

๔ ดวง ซึ่งเกิดร่วมกับทิฏฐาสวะนั้น พระโยคาวจรย่อมละได้เช่นเดียวกัน.
ส่วนภวาสวะซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยสามารถแห่งความสำเร็จความปรารถนาของ
นาคและครุฑเป็นต้น ในจิตซึ่งเป็นทิฏฐิวิปปยุต ๔ ดวงชื่อว่าธรรม ที่
มีความหมายอย่างเดียวกันด้วยการละ อาสวะทั้ง ๓ ที่เหลืออย่างนี้ คือ
อวิชชาสวะที่สัมปยุตด้วยภวาสวะนี้ก็ดี อวิชชาสวะอันเป็นตัวทำให้บังเกิด
อกุศลกรรมมีปาณาติบาตเป็นต้นในโทมนัสจิต ๒ ดวงก็ดี อวิชชาสวะ
ซึ่งสัมปยุตด้วยวิจิกิจฉาจิตเช่นเดียวกันก็ดี พระโยคารจรย่อมละได้โดย
ประการทั้งปวง. เพราะฉะนั้น ท่านจึงทำนิทเทศเป็นพหุวจนะไว้ฉะนี้แล.
ในที่นี้เนื้อความพึงทราบดังว่ามานี้. คำอธิบายของท่านพระโบราณาจารย์
ก็เช่นนี้.
บทว่า ทสฺสนา ปหาตพฺพา ความว่า โสดาปัตติมรรค ชื่อว่า
ทัสสนะ อธิบายว่า อาสวะเหล่านั้น อันทัสสนะนั้นพึงละ.
ถามว่า เพราะเหตุไร โสดาปัตติมรรคจึงชื่อว่า ทัสสนะ ?
ตอบว่า เพราะเห็นพระนิพพานครั้งแรก.
ถามว่า โคตรภูญาณย่อมเห็นก่อนกว่ามิใช่หรือ ?
ตอบว่า โคตรภูญาณย่อมไม่เห็นเลยก็ไม่ใช่. แต่ว่า โคตรภูญาณนั้น
ครั้นเห็นแล้วจะทำกิจที่ควรกระทำไม่ได้ เพราะละสังโยชน์ไม่ได้ ฉะนั้น
จึงไม่ควรกล่าวว่า ย่อมเห็น ดังนี้. ก็ในเรื่องนี้มีบุรุษชาวบ้านแม้ได้เห็น
พระราชาในที่บางแห่งแล้วถวายเครื่องบรรณาการกล่าวอยู่ว่า แม้ในวันนี้
เราก็ไม่ได้พบพระราชา เพราะความสำเร็จกิจตนมองไม่เห็นเป็นตัวอย่าง.

176
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 177 (เล่ม 17)

(๒) อาสวะที่ละได้เพราะสังวร
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงอาสวะอันจะพึงได้ด้วยทัสสนะ
อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงอาสวะอันพระโยคาวจรพึงละด้วยสังวรซึ่ง
ทรงแสดงไขไว้ในลำดับต่อไป จึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็อาสวะเหล่าไหนที่
พระโยคาวจรพึงละด้วยสังวร ดังนี้. ในบททั้งปวงพึงทราบการสัมพันธ์
กันอย่างนี้. ก็เบื้องหน้าแต่นี้ ข้าพเจ้าจักพรรณนาเพียงเนื้อความเท่านั้น.
ถามว่า ก็ขึ้นชื่อว่า อาสวะที่พระโยคาวจรพึงละไม่ได้ด้วยกิจ ๒
อย่างเหล่านี้คือ ด้วยทัสสนะและด้วยภาวนาไม่มีมิใช่หรือ ? เมื่อเป็นเช่น
นั้น เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงอาสวะที่พระโยคาวจร
พึงละด้วยกิจมีสังวรเป็นต้นไว้แผนกหนึ่งเล่า.
ตอบว่า เพราะอาสวะทั้งหลายที่พระโยคาวจรข่มไว้ได้ในส่วน
เบื้องต้นด้วยกิจมีการสังวรเป็นต้น ย่อมถึงการเพิกถอนด้วยมรรค ๔
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงการละอาสวะเหล่านี้ในส่วน
เบื้องต้นแห่งมรรคเหล่านั้นด้วยการข่มไว้ด้วยอาการ ๕ อย่าง จึงตรัส
อย่างนี้. ฉะนั้น โสดาปัตติมรรคข้อแรกที่พระองค์ตรัสไว้แล้วนี้ใด
และมรรค ๓ ซึ่งพระองค์จักตรัสโดยชื่อว่าภาวนาในบัดนี้ กถาว่าด้วย
อาสวะที่พึงละเพราะสังวรเป็นต้นนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นบุพพภาค-
ปฏิปทาของโสดาปัตติมรรค และของมรรคทั้ง ๓ เหล่านั้นแม้ทั้งหมด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิธ คือ ในศาสนานี้. บทว่า ปฏิสงฺขา
แปลว่า พิจารณาแล้ว. สงฺขา ศัพท์ ในบทว่า ปฏิสงฺขา นั้น ย่อมใช้
ในญาณ โกฏฐาสะ บัญญัติและการนับ. อธิบายว่า สงฺขา ศัพท์ ใช้
ในญาณ (ดุจ) ในประโยคเป็นต้นว่า พิจารณาแล้วจึงเสพปัจจัยอย่าง

177
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 178 (เล่ม 17)

หนึ่ง ใช้ในโกฏฐาสะ (ดุจ) ในประโยคเป็นต้นว่า ส่วนแห่งธรรมเครื่อง
เนิ่นช้ามีสัญญาเป็นเหตุ ย่อมฟุ้งไป. ใช้ในบัญญัติ (ดุจ ) ในประโยค
เป็นต้นว่า การบัญญัติเป็นชื่อของธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ๆ. ใช้ในการ
นับ (ดุจ) ในประโยคเป็นต้นว่า การนับไม่ใช่ทำได้โดยง่ายเลย. ส่วน
ในที่นี้พึงเห็นความหมายว่าใช้ในญาณ.
ความจริง บทว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส ความว่า พิจารณา คือ
ทราบ ได้แก่เห็นเฉพาะ โดยอุบาย คือโดยถูกทาง. ก็ในที่นี้ การพิจารณา
โทษในอสังวร พึงทราบว่า การพิจารณาโดยแยบคาย. ก็การพิจารณา
โทษในอสังวรนี้นั้น พึงทราบโดยนัยแห่งอาทิตตปริยายสูตรเป็นต้นว่า
ภิกษุทั้งหลาย จักขุนทรีย์ที่ภิกษุทะลวงแล้วด้วยหลาวเหล็กอันร้อนโชน
รุ่งโรจน์โชติช่วง ยังประเสริฐกว่า ส่วนการถือเอานิมิตโดยอนุพยัญชนะ
ในรูปที่จะพึงรู้ด้วยจักษุไม่ประเสริฐเลย.
ในบทว่า จกฺขุนฺทริยสํวรสํวุโต วิหรติ นี้ มีอธิบายว่า อินทรีย์
คือจักษุ ชื่อจักขุนทรีย์ ที่ชื่อว่า สังวร เพราะกั้นไว้ อธิบายว่า เพราะ
ปิด คือกั้นไว้ได้. คำว่า สังวรนี้ เป็นชื่อของสติ. การสำรวมในอินทรีย์
คือจักษุ ชื่อว่าการสำรวมจักขุนทรีย์ ดุจประโยคเป็นต้นว่า กาที่ท่าน้ำ
เต่าในบ่อน้ำ กระบือในป่า.
ในบทว่า จกฺขุนฺทฺริยสํวรสํวุโต วิหรติ นั้น การสำรวมหรือการไม่
สำรวมในจักขุนทรีย์ ย่อมไม่มีแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น สติ หรือความหลง
ลืมสติ ย่อมไม่เกิดขึ้นเพราะอาศัยจักขุประสาท. อีกอย่างหนึ่ง ในกาลใด
รูปารมณ์มาสู่คลองจักษุ ในกาลนั้น เมื่อภวังคจิตเกิดขึ้น ๒ ครั้งแล้วดับไป
มโนธาตุฝ่ายกิริยาเกิดขึ้นให้กิจแห่งอาวัชชนะสำเร็จแล้วดับไป ต่อแต่นั้น

178
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 179 (เล่ม 17)

จักขุวิญญาณเกิดขึ้นให้ทัสสนกิจสำเร็จแล้วดับไป ต่อแต่นั้น มโนธาตุฝ่าย
วิบากเกิดขึ้นให้สัมปฎิฉันนกิจสำเร็จแล้วดับไป ต่อแต่นั้น มโนวิญญาณ-
ธาตุอันเป็นอเหตุกวิบากเกิดขึ้นให้สันตีรณกิจสำเร็จแล้วดับไป ต่อแต่นั้น
มโนวิญญาณธาตุอันเป็นอเหตุกฝ่ายกิริยาเกิดขึ้นให้โวฏฐัพพนกิจสำเร็จแล้ว
ดับไป. ในลำดับนั้น ชวนจิตย่อมแล่นไป. อนึ่ง ในบทว่า จกฺขุนฺทฺริย-
สํวรสํวุโต วิหรติ นั้น การสำรวมหรือการไม่สำรวมย่อมไม่มีในสมัยแห่ง
ภวังคจิต ทั้งในสมัยแห่งอาวัชชนจิต เป็นต้น สมัยใดสมัยหนึ่ง การสำรวม
หรือการไม่สำรวมย่อมไม่มีเช่นเดียวกัน. แต่ในขณะแห่งชวนจิต ถ้าโทษ
เครื่องทุศีล ความเป็นผู้มีสติหลงลืม ความไม่รู้ ความไม่อดทน หรือความ
เกียจคร้านเกิดขึ้นไซร้ นี้เป็นการไม่สังวร. ความไม่สำรวมนั้น แม้เป็น
อย่างนี้ ท่านก็เรียกว่าความไม่สำรวมในจักขุนทรีย์.
ถามว่า เพราะเหตุไร?
ตอบว่า เพราะเมื่อมีการไม่สำรวมในจักขุนทรีย์นั้น. ทวารก็ดี
ภวังคจิตก็ดี วิถีจิตมีอาวัชชนะเป็นต้นก็ดี ย่อมเป็นอันพระโยคาวจรไม่คุ้ม
ครองแล้ว.
เปรียบเหมือนอะไร ?
เปรียบเหมือนเมื่อประตูทั้ง ๔ ด้านในพระนครอันบุคคลไม่คุ้มครอง
แล้ว ภายในเรือนซุ้มประตูและห้องเป็นต้นอันบุคคลคุ้มครองดีแล้วแม้ก็จริง
ถึงอย่างนั้น สิ่งของทุกอย่างในพระนครเป็นอันไม่ได้รักษาไม่ได้คุ้มครองเลย.
เพราะโจรทั้งหลายเข้าไปทางประตูพระนครพึงลักสิ่งที่ตนปรารถนาได้ฉันใด
เมื่อโทษเครื่องทุศีลบังเกิดขึ้นในชวนจิต เมื่อมีการไม่สำรวมในชวนจิตนั้น
ทวารก็ดี ภวังคจิตก็ดี วิถีจิตมีอาวัชชนจิตเป็นต้นก็ดี เป็นอันภิกษุไม่
คุ้มครองฉันนั้นนั่นแล.

179
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 180 (เล่ม 17)

แต่เมื่อศีลเป็นต้นเกิดขึ้นในชวนจิตนั้น ทวารก็ดี ภวังคจิตก็ดี วิถีจิต
มีอาวัชชนจิตเป็นต้นก็ดี ย่อมเป็นอันภิกษุคุ้มครองดีแล้ว. เปรียบเหมือน
อะไร ? เปรียบเหมือนเมื่อประตูพระนครอันบุคคลคุ้มครองดีแล้ว ภายใน
เรือนเป็นต้น อันบุคคลคุ้มครองไม่ดีแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น สิ่งของทุกอย่าง
ภายในพระนครเป็นอันบุคคลรักษาดีแล้ว. เพราะเมื่อปิดประตูพระนครแล้ว
โจรทั้งหลายก็เข้าไปไม่ได้ฉันใด เมื่อศีลเป็นต้นบังเกิดขึ้นในชวนจิต
ทวารก็ดี ภวังคจิตก็ดี วิถีจิตมีอาวัชชนจิตเป็นต้นก็ดี เป็นอันภิกษุคุ้มครอง
ดีแล้วฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะฉะนั้น สังวรแม้ที่เกิดขึ้นในขณะแห่งชวน-
จิต ท่านเรียกว่า การสำรวมในจักขุนทรีย์. ก็ในที่นี้ สติสังวรนี้พึงทราบ
ว่า พระองค์ทรงประสงค์เอาแล้ว. บุคคลผู้สำรวมแล้วด้วยการสำรวม
จักขุนทรีย์ ชื่อว่า จกฺขุนฺทฺริยสํวรสํวุโต ผู้เข้าถึงแล้วด้วยการสำรวมจักขุน-
ทรีย์. จริงอย่างนั้น คำใดที่ท่านกล่าวไว้ในวิภังค์แห่งบทว่า ปาฏิโมกฺขสํร-
สํวุโต นี้ว่า ภิกษุผู้เข้าถึง ฯลฯ ประกอบแล้วด้วยการสำรวมปาฏิโมกข์
นี้ คำนั้นบัณฑิตพึงรวมเข้าเป็นอันเดียวกันแล้วทราบโดยเนื้อความอย่างนี้
ว่า ภิกษุเป็นผู้สำรวมด้วยการสำรวมจักขุนทรีย์. อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า
ผู้สำรวมแล้ว เพราะอรรถว่า สังวรระวัง อธิบายว่า กั้น คือปิด. ภิกษุผู้
สังวรระวังในจักขึ้นทรีย์ คือผู้มีจักขึ้นทรีย์อันระวังรักษาแล้ว อธิบายว่า
กั้น คือปิด บานประตูคือสติที่รู้กันว่าการสำรวมทางจักขุนทรีย์ในจักษุ
ทวาร เหมือนคนปิดบานประตูที่ประตูเรือนฉะนั้น. ก็ในข้อนี้ เนื้อความนี้
เท่านั้นดีกว่า. จริงอย่างนั้น เนื้อความนี้นั้นแลย่อมปรากฏใน ๒ บทนี้ว่า
ผู้ไม่สำรวมระวังจักขุนทรีย์อยู่ และว่า ผู้สำรวมระวังจักขุนทรีย์อยู่ ดังนี้แล.
บทว่า วิหรติ ความว่า ผู้สำรวมระวังทางจักขุนทรีย์อย่างนี้อยู่
ด้วยการอยู่ด้วยอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่ง.

180
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 181 (เล่ม 17)

ในบทว่า ยญฺหิสฺส เป็นต้น พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า เมื่อ
ภิกษุนั้นไม่สำรวมระวังจักขุนทรีย์ใด คือไม่กั้นไม่ปิดการระวังทางจักขุน-
ทรีย์อยู่. อีกอย่างหนึ่งอาเทศ เย อักษร เป็น ยํ ก็ได้ ส่วน หิ อักษร
เป็นปทปูรณะ ความว่า เย อสฺส.
บทว่า อุปฺปชฺเชยฺยุํ  แปลว่า พึงบังเกิดขึ้น.
บทว่า อาสวา วิฆาฏปริฬาหา ได้แก่อาสวะ ๔ และความเร่าร้อน
เพราะกิเลสหรือความเร่าร้อนเพราะวิบากอันทำความคับแค้นเหล่าอื่น.
ความจริงกามาสวะย่อมบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ชอบใจเพลิดเพลินใจซึ่งอิฏฐา-
รมณ์อันมาปรากฏในจักษุทวารด้วยอำนาจความชอบใจในกาม ภวาสวะ
ย่อมบังเกิด แก่ภิกษุผู้ยินดีด้วยความปรารถนาในภพว่า เราจักได้สมบัติ
เช่นนี้ในสุคติภพแม้อื่น ทิฏฐาสวะย่อมบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ยึดถือว่าเป็น
สัตว์หรือว่าของสัตว์ ความไม่รู้ซึ่งบังเกิดพร้อมกับอาสวะทั้งหมดนั้นแหละ
ชื่อว่าอวิชชาสวะ อาสวะ ๔ ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างว่ามานี้. แม้กิเลสทั้งหลาย
เหล่าอื่นซึ่งสัมปยุตด้วยอาสวะเหล่านั้น ความเร่าร้อนอัน กระทำความคับแค้น
หรือวิบากในภพต่อไปของกิเลสเหล่านั้นเหล่าใด แท้จริง กิเลสเป็นต้น
แม้เหล่านั้น ท่านกล่าวว่า พึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้ไม่สำรวมอยู่เหมือนกัน.
บทว่า เอวํส เต ความว่า ด้วยอุบายนี้ อาสวะเหล่านั้นนั่นแหละ
หามีแก่ภิกษุนั้นผู้สำรวมอยู่อย่างนี้ไม่ อธิบายว่า ไม่ใช่มีโดยประการอื่น.
ในบทเป็นต้นว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส โสตินฺทฺริยสํวรสํวุโต ก็นัย
(เดียวกัน) นี้. ข้อว่า อิเม วุจฺจนฺติ อาสวา สํวรา ปหาตพฺพา
ความว่า อาสวะเหล่านั้นเพราะแยกในทวารทั้ง ๖ เป็นทวารละ ๔ อาสวะ
จึงรวมเป็นอาสวะ ๒๔ เรากล่าวว่า พระโยคาวจรควรละเสียด้วยสังวร.
ก็ในที่นี้ สติสังวรนั้นแล พึงทราบว่า สังวรในทุก ๆ บทนั่นแล.

181
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 182 (เล่ม 17)

(๓) อาสวะที่ละได้เพราะการพิจารณา
[๑๔] คำที่จะพึงกล่าว ในบทว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส จีวรํ
เป็นต้น ทั้งหมด ท่านกล่าวไว้แล้วในสีลกถา ในปกรณ์วิเศษชื่อวิสุทธิมรรค
นั้นแล.
บทว่า ยญฺหิสฺส ความว่า อาสวะและความเร่าร้อนอันทำความ
คับแค้นใจ ( พึงเกิดขึ้น) แก่ภิกษุ ( ผู้ไม่พิจารณาแล้วเสพ ) ปัจจัย
หรือบรรดาจีวรบิณฑบาตเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง.
บทว่า อปฏิเสวโต ความว่า ผู้ไม่ ( พิจารณา) โดยแยบคาย
แล้วเสพอย่างนี้. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล ก็ในที่นี้ พึงทราบการ
บังเกิดขึ้นแห่งกามาสวะของภิกษุผู้ปรารถนาจีวรเป็นต้นที่คนไม่ได้ หรือผู้
ยินดีจีวรเป็นต้นที่ตนได้แล้วอย่างเดียว. พึงทราบการบังเกิดขึ้นแห่งภวาสวะ
ของภิกษุผู้ยินดีด้วยความปรารถนาในภพว่า เราจักได้สมบัติเช่นนี้ ใน
สัมปัตติภพ คือสุคติภพแม้อื่น พึงทราบการบังเกิดขึ้นแห่งทิฏฐาสวะของ
ภิกษุผู้ตั้งความสำคัญในคนว่า เราจะได้ ดังนี้ หรือว่า สิ่งนี้จักเป็นของเรา
ดังนี้ . ก่อวิชชาสวะเกิดพร้อมกับอาสวะทั้งปวง พึงทราบการบังเกิดขึ้นแห่ง
อาสวะทั้ง ๔ อย่างดังว่ามานี้แล. ส่วนความเร่าร้อนเพราะวิบาก พึงทราบ
แม้โดยการบังเกิดขึ้นแห่งเวทนาใหม่. ข้อว่า อิเม วุจฺจนฺติ ภิกฺขเว
อาสวา ปฏิเสวนา ปหาตพฺพา ความว่า อาสวะเหล่านี้มี ๑๖ อย่าง
เพราะแยกอาสวะในปัจจัยแต่ละปัจจัย ( มีจีวรเป็นต้น) เป็นปัจจัยละ
๔ อาสวะ. อาสวะเหล่านี้เรากล่าวว่า พระโยคาวจรพึงละได้ด้วยการ
พิจารณาแล้วเสพ กล่าวคือการสำรวมด้วยญาณนี้ ฉะนี้แล.

182
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 183 (เล่ม 17)

(๔) อาสวะที่ละได้ด้วยความอดกลั้น
[๑๕] ข้อว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส ขโม โหติ สีตสฺส ความว่า
ภิกษุพิจารณาโดยอุบายถูกทางแล้วย่อมเป็นผู้ทนต่อความหนาว คือ
ย่อมอดทนอดกลั้นความหนาว จะสั่นสะท้านเพราะความหนาวแม้เพียงเล็ก
น้อย เหมือนบุรุษผู้ไม่มีความกล้าหาญก็หาไม่ ท่านไม่ยอมละทิ้งกัมมัฏ-
ฐาน. อีกอย่างหนึ่งแล ท่านถูกความหนาวจัดสัมผัสก็ไม่สั่นสะท้าน ย่อม-
ใส่ใจเฉพาะกัมมัฏฐานเหมือนพระโลมสนาคเถระฉะนั้น. ได้ยินว่า พระ
เถระอยู่ในเรือนบำเพ็ญเพียรในถ้ำปิยังคุ ณ เจติยบรรพต พิจารณาโลกัน-
ตริยนรกที่ตั้งอยู่ในระหว่าง (ทวีป) ในสมัยหิมะตก ไม่ยอมละทิ้ง
กัมมัฏฐานเลย ให้เวลาผ่านไปในกลางแจ้ง. แม้ในฤดูร้อนเป็นต้น ก็พึง
ทราบการอธิบายขยายความอย่างนี้. ความจริง ภิกษุใดย่อมอดกลั้นความ
ร้อนแม้มีประมาณยิ่งได้อย่างเดียว ภิกษุนั้นบัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้อดทน
ต่อความร้อนได้เหมือนพระเถระนั้นนั่นแล. ได้ยินว่า ในเวลาหลังภัตตา-
หารในฤดูคินหันต์ พระเถระนั่งอยู่ภายนอกที่จงกรม. เมื่อท่านใส่ใจถึง
กัมมัฏฐานเหงื่อก็ไหลออกจากรักแร้. ทีนั้น อันเตวาสิกจึงเรียนท่านว่า
ท่านผู้เจริญ นิมนต์ท่านนั่งในที่นี้เถิด โอกาสนี้เย็นสบาย. พระเถระกล่าว
ว่า เราจะไม่นั่งในที่นั้นหรอกเพราะกลัวความร้อน ผู้มีอายุ ดังนี้ แล้วนั่ง
พิจารณาอเวจีมหานรก. ก็ในที่นี้ความเร่าร้อนเพราะไฟพึงทราบว่า อุณฺหํ.
ก็เรื่องนั้นท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจความเร่าร้อนอันเกิดจากพระอาทิตย์. ก็
ภิกษุใดแม้เมื่อไม่ได้ภัตหรือน้ำดื่มเพียง ๒-๓ มื้อแล้ว พิจารณาการเกิด
ขึ้นในเปตวิสัยของตนในสงสารอันมีที่สุดเบื้องต้นที่ตามไปไม่รู้แล้ว ไม่

183
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 184 (เล่ม 17)

หวั่นไหว ไม่ละทิ้งกัมมัฏฐานและถูกสัมผัสแห่งเหลือบยุงและแดดแม้มี
ประมาณยิ่งถูกต้อง ก็พิจารณาการเข้าถึงกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานไม่หวั่นไหว
ไม่ละทิ้งกัมมัฏฐานเลย และแม้จะถูกสัมผัสแห่งสัตว์เลื้อยคลานถูกต้อง
ก็พิจารณาถึงอัตภาพในกาลก่อน ซึ่งกลิ้งเกลือกอยู่หลายวาระที่ปากของ
ราชสีห์และเสือโคร่งเป็นต้น ในสงสารที่มีที่สุดเบื้องต้นที่ตามไปไม่รู้แล้ว
ไม่หวั่นไหวไม่ละทิ้งกัมมัฏฐานเหมือนพระปธานิยเถระ ภิกษุนั้นพึง
ทราบว่าเป็นผู้อดทนต่อความหิว ฯลฯ สัมผัสแห่งสัตว์เลื้อยคลานเป็นต้น.
ได้ยินว่า งูพิษตัวหนึ่งได้กัดพระเถระผู้กำลังฟังอริยวังสสูตร ในเรือน
ทำความเพียรชื่อกรรณิการ์ในมหาวิหารชื่อขัณฑเวละ. พระเถระแม้รู้
แล้วมีจิตเลื่อมใสนั่งฟังธรรมตามปกติ. กำลังพิษได้แรงกล้าขึ้น (ตาม
ลำดับ). พระเถระได้พิจารณาถึงศีลเริ่มต้นแต่มณฑลอุปสมบทแล้วเกิด
ปีติขึ้นว่า เรามีศีลบริสุทธิ์. พร้อมกับการบังเกิดขึ้นแห่งปีติ พิษได้แล่น
กลับเข้าแผ่นดินไป. พระเถระได้เอกัคคตาจิตในที่นั้นนั่นเองเจริญวิปัสสนา
แล้วบรรลุพระอรหัต. ก็ภิกษุใดฟังคำพูดหยาบคาย และคำพูดอันสหรคต
ด้วยอันเติมวัตถุ ซึ่งมาจากที่ไกลเพราะเป็นคำพูดที่หยาบคายแล้ว พิจารณา
ถึงคุณของขันติ ไม่หวั่นไหวด้วยอำนาจการด่าตอบเหมือนพระทีฆภาณก-
อภัยเถระ. ภิกษุนี้นั้นบัณฑิตพึงทราบว่า เป็นผู้อดทนต่อถ้อยคำหยาบ
ซึ่งมาแต่ไกลได้. ได้ยินว่า พระเถระกล่าวมหาอริยวังสปฏิปทาเพื่อความ
เป็นผู้ยินดีในการเจริญสันโดษด้วยปัจจัย. ชาวบ้านทั้งหมดต่างพากันมา.
มหาสักการะจึงได้เกิดมีแก่พระเถระ พระมหาเถระบางรูปอดกลั้นสักการะ
นั้นไม่ได้จึงด่าโดยนัยเป็นต้นว่า พระทีฆภาณกะก่อความวุ่นวายขึ้นตลอด
คืน ด้วยกล่าวว่าเราจะกล่าวอริยวงศ์. ก็พระเถระทั้ง ๒ รูป (เวลาเดิน

184
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 185 (เล่ม 17)

ทาง) กลับไปสู่วิหารของตน ๆ และได้เดินร่วมทางเดียวกันไปสิ้นหนทาง
ประมาณคาวุตหนึ่ง. พระเถระนั้นก็ได้ด่าพระทีฆภาณกเถระแม้ทุก ๆ
คาวุต. ครั้นแล้ว พระทีฆภาณกเถระยืนอยู่ในที่ที่หนทางของวิหารทั้ง ๒
แยกกัน ไหว้พระเถระนั้นแล้วกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ นี้เป็นทางของท่าน
ดังนี้. พระเถระนั้นเดินจากไปทำเหมือนไม่ได้ยิน. ฝ่ายพระทีฆภาณกเถระ
ไปถึงวิหารล้างเท้าแล้วนั่งลง. อันเตวาสิกจึงได้กล่าวกะท่านว่า
ท่านผู้เจริญ อะไรกัน ทำไมท่านจึงไม่กล่าวอะไร ๆ กะพระเถระ
นั้นซึ่งด่าบริภาษท่านทุก ๆ คาวุต. พระเถระตอบว่า
อาวุโส ความอดทนเป็นหน้าที่ของเรา ความไม่อดทนหาใช่เป็น
หน้าที่ของเราไม่ เราเองไม่ ( เคย ) เห็นการพลาดจากกัมมัฏฐาน ( ของ
เรา) แม้ในเพราะการยกเท้าข้างหนึ่ง. ในที่นี้ควรทราบว่า ถ้อยคำนั้น
แหละชื่อว่าถูกต้องตามทำนองคลองธรรม.
เวทนาร่างกาย ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้ถึงทุกข์
ชื่อว่าหนา เพราะอรรถว่า หนา๑แน่น ชื่อว่าแข็ง เพราะอรรถว่า หยาบ
ชื่อว่ากล้า เพราะอรรถว่า คม ชื่อว่าไม่น่ายินดี เพราะเว้นจากความยินดี
ชื่อว่าไม่น่าชอบใจ เพราะอรรถว่า ไม่เป็นที่เจริญใจ ชื่อว่าเป็นเครื่องคร่า
ชีวิตได้ ภิกษุใดอดกลั้นเวทนานั้นได้ คือไม่หวั่นไหว ได้แก่ดำรงอยู่
ตามปกติ เหมือนพระปธานิยเถระผู้อยู่ที่จิตลดาบรรพต ภิกษุนี้พึงทราบว่า
เป็นผู้มีปกติอดกลั้นสิ่งต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้น ฯลฯ.
ได้ยินว่า เมื่อพระเถระยืนบำเพ็ญเพียรอยู่ตลอดคืน ลมในต้องก็เกิด
ขึ้น. ท่านไม่สามารถจะอดกลั้นลมนั้นได้จึงได้บิดไปบิดมา. พระเถระผู้
๑. ปาฐะว่า ทุกฺขาวหนฏฺเฐน พม่าเป็น พหลตฺเถน เห็นว่าเหมาะจึงแปลแบบพม่า.

185