No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 146 (เล่ม 17)

อดกลั้น ย่อมละ ย่อมบรรเทาพยาบาทวิตกที่เกิดขึ้นแล้ว ทำให้สิ้นสูญ
ให้ถึงความไม่มี ย่อมอดกลั้น ย่อมละ ย่อมบรรเทาวิหิงสาวิตกที่เกิด
ขึ้นแล้ว ทำให้สิ้นสูญ ให้ถึงความไม่มี ย่อมอดกลั้น ย่อมละ ย่อมบรรเทา
ธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่บังเกิดขึ้นแล้ว ทำให้สิ้นสูญ ให้ถึงความไม่มี.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อาสวะและความเร่าร้อน อันกระทำความคับแค้น
เหล่าใด พึงบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ผู้ไม่บรรเทาธรรมอันใดอันหนึ่ง
อาสวะและความเร่าร้อน อันกระทำความคับแค้นเหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่
ภิกษุผู้บรรเทาอยู่อย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านั้น เราตถาคต
กล่าวว่า จะพึงละได้เพราะความบรรเทา.
(๗) อาสวะที่ละได้เพราะการอบรม
[๑๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อาสวะเหล่าไหน ที่จะพึงละได้
เพราะอบรม ? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณา
โดยแยบคายแล้ว เจริญสติสัมโพชณงค์ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ
อาศัยนิโรธ น้อมไปในความสลัดออก เจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์...
เจริญวิริยสัมโพชฌงค์. . .เจริญปีติสัมโพชฌงค์ . . .เจริญปัสสัทธิสัม-
โพชฌงค์. . .เจริญสมาธิสัมโพชณงค์.. .เจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์
อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในความสลัดออก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อาสวะและความเร่าร้อน อันกระทำความคับแค้น
เหล่าใด พึงเกิดขึ้นแก่ภิกษุนั้น ผู้ไม่อบรมธรรมอันใดอันหนึ่ง อาสวะ
และความเร่าร้อน อันกระทำความคับแค้นเหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น
ผู้อบรมอยู่อย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะเหล่านี้ เราตถาคตกล่าวว่า

146
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 147 (เล่ม 17)

จะพึงละได้เพราะอบรม.
[๑๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุว่า อาสวะเหล่าใด อัน
ภิกษุใดจะพึงละได้เพราะการเห็น อาสวะเหล่านั้น เป็นอันภิกษุนั้นละได้
แล้วเพราะการเห็น อาสวะเหล่าใด อันภิกษุใดจะพึงละได้เพราะการสังวร
อาสวะเหล่านั้น เป็นอันภิกษุนั้นละได้แล้วเพราะการสังวร อาสวะเหล่าใด
อันภิกษุจะพึงละได้เพราะการพิจารณาเสพ อาสวะเหล่านั้น เป็นอันภิกษุ
นั้นละได้แล้วเพราะการพิจารณาเสพ อาสวะเหล่าใด อันภิกษุใดจะพึง
ละได้เพราะความอดกลั้น อาสวะเหล่านั้น เป็นอันภิกษุนั้นละได้แล้วเพราะ
ความอดกลั้น อาสวะเหล่าใด อันภิกษุใดจะพึงละได้เพราะความเว้นรอบ
อาสวะเหล่านั้น เป็นอันภิกษุนั้นละได้แล้วเพราะความเว้นรอบ อาสวะ
เหล่าใด อันภิกษุใดจะพึงละได้เพราะความบรรเทา อาสวะเหล่านั้น
เป็นอันภิกษุนั้นละได้แล้วเพราะความบรรเทา อาสวะเหล่าใด อันภิกษุ
ใดจะพึงละได้เพราะการอบรม อาสวะเหล่านั้น เป็นอันภิกษุนั้นละได้แล้ว
เพราะการอบรม. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้สำรวม
ด้วยความสังวรในอาสวะทั้งปวงอยู่ ตัดตัณหาได้แล้ว ยังสังโยชน์ให้ปราศ
ไปแล้ว ได้ทำที่สุดทุกข์เพราะความตรัสรู้ ด้วยการเห็นและการละมานะ
โดยชอบ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสังวรปริยายนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นชื่นชม
ยินดีภาษิตของพระผู้มีภาคพระเจ้า ฉะนี้แล.
จบ สัพพาสวสังวรสูตรที่ ๒

147
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 148 (เล่ม 17)

อรรถกถาสัพพาสวสังวรสูตร
อธิบายที่มาของคำว่า สาวัตถี
[๑๐] สัพพาเสวสูตรเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
ฯลฯ กรุงสาวัตถี.
ในสัพพาสวสังวรสูตรนั้น มีอรรถกถาแก้ตามลำดับบท ดังต่อไปนี้.
นักอักษรศาสตร์วิจารณ์กันไว้อย่างนี้ก่อนว่า คำว่า สาวตฺถี คือพระนคร
อันเป็นสถานที่อยู่ของฤาษี ชื่อ สวัตละ เหมือนคำว่า กากนฺที มากนฺที
ฉะนั้น. ส่วนพระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า วัตถุเครื่องอุปโภค
และบริโภคของมนุษย์ทุกอย่างมีอยู่ในเมืองนี้ ฉะนั้น เมืองนี้จึงชื่อว่า
สาวัตถี. ในเมื่อเอาคำว่า "สุตฺถ" มารวมไว้ด้วย จึงชื่อว่า สาวัตถี
เพราะอาศัยเหตุที่ว่า เมื่อถูกเขาถามว่า มีของอะไรอยู่บ้าง ก็ตอบว่า มี
ครบทุกอย่าง.
เครื่องอุปโภคบริโภคทุกอย่างมารวมกัน อยู่ในเมือง
สาวัตถีตลอดเวลา ฉะนั้น ท่านมุ่งเอาความสมบูรณ์
ด้วยเครื่องอุปโภคบริโภคทุกอย่างจึงเรียก (เมืองนั้น)
ว่า สาวัตถี. นี้เป็นเมืองของชาวโกศล น่าชื่นชม
น่ารินรมย์ น่าเพลิดเพลินเจริญใจ อึกทึกไปด้วย
เสียง ๑๐ ประการ เป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ. เป็นเมือง
ถึงความเจริญไพบูลย์ มั่งคั่ง กว้างขวาง น่าชื่นชม
และอุดมสมบูรณ์ เหมือนเทพบุรีชื่อ อาลกมันทา.

148
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 149 (เล่ม 17)

ในเมืองสาวัตถีนั้น.
ในบทว่า เชตวเน อธิบายว่า พระราชกุมารทรงพระนามว่า
"เชตะ" เพราะทรงรบชนะข้าศึกของพระองค์ หรือเพราะประสูตูใน
เวลาที่พระชนกทรงมีชัยต่อข้าศึกของพระองค์. อีกอย่างหนึ่ง ทรงพระ
นามว่า "เชตะ" เพราะพระนามอย่างนี้ พระชนกชนนีทรงตั้งให้เพื่อ
ความเป็นสิริมงคล. พระอุทยานของพระราชกุมารพระนามว่า เชตะ
ชื่อว่า เชตวัน. เพราะพระอุทยานเชตวันนั้น อันพระราชกุมารทรง
พระนามว่า "เชตะ" นั้น ทรงปลูกสร้างทะนุบำรุงให้เจริญงอกงาม
ทั้งพระองค์ก็ทรงเป็นเจ้าของพระอุทยานั้นด้วย ฉะนั้นจึงเรียกว่า เชต-
วัน. ในพระวิหารเชตวันนั้น.
ในบทว่า อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม นี้ มีอธิบายว่า คฤหบดีนั้น
ชื่อว่า "สุทัตตะ" โดยเป็นชื่อที่บิดามารดาตั้งให้ แต่มาได้ชื่อว่า
อนาถปิณฑิกะ โดยเหตุที่ได้ให้อาหารแก่คนอนาถาทั้งหลายเป็นประจำ
เพราะเป็นผู้มั่งคั่งด้วยสมบัติทุกอย่าง และเพราะปราศจากความตระหนี่
ทั้งเพียบพร้อมด้วยคุณธรรมมีความกรุณาเป็นต้น. สัตว์ทั้งหลายโดยเฉพาะ
บรรพชิตย่อมยินดีในสวนนี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อาราม. อธิบายว่า
สัตว์ทั้งหลายมาแต่ที่ต่าง ๆ กัน ย่อมยินดี เพลิดเพลิน อยู่อย่างสบาย
เพราะสวนนั้นงามไปด้วยไม้ดอกไม้ผล เป็นต้น สมบูรณ์ไปด้วยองค์ประ-
กอบแห่งเสนาสนะ ๕ ประการมีไม่ไกลไม่ใกล้ ( โคจรคาม) เกินไปนัก.
อีกประการหนึ่ง ชื่อว่า อาราม เพราะดึงดูดสัตว์ผู้ไปถึงสถานที่นั้นไว้
ภายในบริเวณของตนนั้นเอง แล้วให้เพลิดเพลินไปด้วยสมบัติมีประการ
ดังกล่าวแล้ว. ความจริง อารามนั้น อนาถปิณฑิกคฤหบดีได้มอบถวาย

149
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 150 (เล่ม 17)

สงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยการบริจาคทรัพย์ถึง ๕๔ โกฏิ คือ
บริจาคซื้อที่ดินจากพระหัตถ์ของพระราชกุมารทรงพระนามว่า "เชตะ"
ด้วยการเอาเงิน ๑๘ โกฏิ ปู ( เต็มบริเวณพื้นที่) บริจาคเป็นค่าก่อสร้าง
เสนาสนะต่าง ๆ ๑๘ โกฏิ บริจาคเป็นค่าทำการฉลองพระวิหารอีก ๑๘ โกฏิ
ฉะนั้นจึงได้ชื่อว่า อารามของอนาถปิณฑิกะ. ในอารามของอนาปิณ-
ฑิกคฤหบดีนั้น คำว่า เชตวเน ในคำว่า เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส
อาราเม นั้น เป็นคำระบุถึงเจ้าของคนแรก. คำว่า อนาถปิณฺฑิกสฺส
อาราเม เป็นคำระบุถึงเจ้าของคนหลัง.
ถามว่า จะมีประโยชน์อะไรในการระบุถึงเจ้าของทั้ง ๒ นั้น
ตอบว่า มีประโยชน์คือจะทำให้เป็นเยี่ยงอย่างของผู้ต้องการบุญ
จริงอยู่ ในข้อนั้น ท่านพระอานนท์เมื่อจะแสดงว่า ผู้ต้องการบุญ
ทั้งหลายย่อมทำบุญเพราะกิตติศัพท์ของท่านทั้ง ๒ นั้นว่า พระราชกุมาร
พระนามว่าเชตะนั้นทรงบริจาคทรัพย์ ๑๘ โกฏิ ที่พระองค์ได้มาด้วยการ
ขายสถานที่ในการสร้างซุ้มประตูและปราสาท และทรงบริจาคต้นไม้ซึ่ง
มีค่าหลายโกฏิ (ส่วน) อนาถปิณฑิกคฤหบดีได้บริจาคทรัพย์ ๕๔ โกฏิ
ดังนี้แล้ว ชักชวนชนผู้ต้องการบุญเหล่าอื่นให้ถือชนทั้ง ๒ นั้นเป็นแบบ
อย่าง.
อธิบายคำว่า อาสวะ
ถามว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระสูตรนี้ว่า
สพฺพาสวสํวรปริยายํ โว ภิกฺขเว ดังนี้ ?
ตอบว่า เพื่อทรงแสดงถึงข้อปฏิบัติเพื่อความสิ้นอาสวะ เริ่มต้น

150
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 151 (เล่ม 17)

ตั้งแต่การชำระอุปกิเลสแก่ภิกษุเหล่านั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพาสวสํวรปริยายํ ความว่า เป็น
เหตุสำรวม คือว่า เป็นเหตุให้ระมัดระวังอาสวะทุกอย่าง อธิบายว่า
เป็นเหตุให้อาสวะเหล่านี้ที่ภิกษุระวังปกปิดแล้ว ย่อมถึงความสิ้นไป กล่าว
คือ ความดับไปโดยไม่เกิดขึ้น (อีก) คือ อันภิกษุย่อมละได้ ได้แก่ย่อม
ไม่เป็นไป. ในบทว่า อาสวานํ นั้น ที่ชื่อว่า อาสวะ เพราะอรรถว่า
ไหลไป ท่านอธิบายว่า อาสวะเหล่านั้นย่อมไหลไป คือไหลออกทางจักษุบ้าง
ฯลฯ ทางใจบ้าง ดังนี้ . อีกอย่างหนึ่ง อาสวะเหล่านั้น เมื่อว่าโดยธรรม
ย่อมไหลไปจนถึงโคตรภู. เมื่อว่าโดยโอกาสโลก ย่อมไหลไปจนถึงภวัคค-
พรหม. เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อาสวะ. อธิบายว่า อาสวะเหล่านั้นทำ
ธรรมเหล่านั้นและโอกาสนั้นไว้ภายใน (อำนาจ) แล้วเป็นไป. จริงอยู่
อา อักษรนี้มีความหมายว่า ทำไว้ในภายใน. ที่ชื่อว่า อาสวะ. เพราะ
เป็นเหมือนของหมักดอง มีน้ำเมาเป็นต้น โดยความหมายว่า หมักอยู่นาน
ดังนี้บ้าง. ความจริง ในทางโลก น้ำเมาที่หมักไว้นาน เขาก็เรียกว่า
อาสวะ ดังนี้. ก็ถ้าน้ำเมาเป็นต้นเรียกว่า อาสวะ ได้ เพราะความหมายว่า
หมักไว้นานไซร้ กิเลสเหล่านี้ก็ควรจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน. สมจริงดัง
ที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เงื่อนต้นของอวิชชา ไม่ปรากฏ (คือไม่
ปรากฏว่า) ในกาลก่อนแต่นี้ มิได้มีอวิชชา ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า
อาสวะ เพราะอรรถว่า ไหลไป คือไหลออกไปสู่สังสารทุกข์ ต่อไป
ดังนี้บ้าง. ก็คำอธิบาย คำแรก ๆ ในรูปวิเคราะห์เหล่านี้ ย่อมใช้ในที่ที่
กิเลสทั้งหลายมาโดยชื่อว่า อาสวะ (ส่วน) คำอธิบายคำหลังใช้ในกรรม
ก็ได้. ก็ไม่ใช่เพียงแต่กรรมกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น ที่เป็นอาสวะ โดยที่

151
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 152 (เล่ม 17)

แท้แล แม้อุปัทวะนานัปการ ก็ชื่อว่า อาสวะได้ ( เหมือนกัน). ความจริง
ในพระสูตรทั้งหลาย กิเลสทั้งหลายซึ่งเป็นมูลเหตุให้ก่อการทะเลาะวิวาทก็
มาโดยชื่อว่า อาสวะ ในคำนี้ว่า จุนทะ เราไม่แสดงธรรมเพื่อการสังวร
ระวังเหล่าอาสวะอันเป็นไปในทิฏฐธรรมเท่านั้น ดังนี้ . กรรมอันเป็นไป
ในภูมิ ๓ และเหล่าอกุศลธรรมที่เหลือทั้งหลาย ก็ชื่อว่าอาสวะในคำนี้ว่า
อาสวะทั้งหลายของเราที่เป็นเหตุให้เข้าถึงความเป็น
เทพหรือคนธรรพ์ ที่เหาะเหินได้ และเป็นเหตุให้เรา
พึงไปสู่ความเป็นยักษ์ ความเป็นมนุษย์ และพึงไป
สู่อัณฑชกำเนิด สิ้นไปแล้ว อันเราขจัดแล้ว ทำให้
พินาศแล้ว ดังนี้.
การเข้าไปว่าร้ายผู้อื่น ความเดือนร้อน การฆ่า และการจองจำ
เป็นต้น และอุปัทวะนานัปการที่เป็นเหตุให้สัตว์เสวยทุกข์ในอบาย ก็ชื่อ
ว่า อาสวะ. (เช่น ) ในประโยคนี้ว่า ( เราตถาคตจะแสดงธรรม ) เพื่อ
ระมัดระวังอาสวะอันเป็นไปในทิฏฐธรรม (และ) เพื่อบำบัดอาสวะอัน
เป็นไปในสัมปรายภพ ดังนี้. ก็ในที่ใดอาสวะเหล่านี้นั้นมาโดยประการใด
ในที่นั้นก็พึงทราบโดยประการนั้น. ก็ในพระวินัย อาสวะทั้งหลายเหล่านี้
มีมาแล้ว ๒ อย่าง เช่นในประโยคว่า ( เราตถาคตจะแสดงธรรม) เพื่อ
ป้องกันอาสวะอันเป็นไปในทิฏฐธรรม เพื่อบำบัดอาสวะอันเป็นไปใน
สัมปรายภพ ดังนี้ก่อน. ในสฬายตนวรรค มีมาแล้ว ๓ อย่าง ( เช่นใน
ประโยค) ว่า ผู้มีอายุ อาสวะเหล่านี้มี ๓ อย่าง คือกามาสวะ ภวาสวะ
อวิชชาสวะ ดังนี้. ในสุตตันตปิฎกแห่งอื่น และพระอภิธรรมปิฎก อาสวะ
๓ เหล่านั้นนั่นแล รวมกับทิฏฐาสวะเข้าด้วยมีมาแล้วเป็น ๔ อย่าง

152
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 153 (เล่ม 17)

ว่าโดยบรรยายที่จำแนกอาสวะทั้งหลายมีมา ๕ อย่าง คือ ภิกษุทั้งหลาย
อาสวะซึ่งเป็นเหตุยังสัตว์ให้เข้าถึงนรกก็มีอยู่ อาสวะซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ไป
สู่กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานก็มีอยู่ อาสวะซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่วิสัยแห่งเปรต
ก็มีอยู่ อาสวะซึ่งเป็นเหตุให้สัตว์ไปสู่มนุษยโลกก็มีอยู่ และอาสวะอันเป็น
เหตุยังสัตว์ให้ไปสู่เทวโลกก็มี. ในฉักกนิบาต อาสวะมีมา ๖ อย่าง โดยนัย
เป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย อาสวะที่ต้องละด้วยสังวรมีอยู่. ส่วนในสูตรนี้
อาสวะ ๖ เหล่านั้นนั่นแล พร้อมด้วยอาสวะที่ต้องละด้วยทัสสนะ มีมา
(รวม) เป็น ๗ อรรถพจน์ และประเภท (แห่งอาสวะ) ในบทว่า
อาสวะ มีเพียงเท่านี้ก่อน.
อธิบายสังวร
ส่วนในบทว่า สังวร มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- ที่ชื่อว่า สังวร
เพราะอรรถว่า สังวร อธิบายว่า ปิด คือห้าม ได้แก่ไม่ให้เป็นไป. สมจริง
ดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคต
อนุญาตให้ภิกษุผู้ต้องการพักผ่อนในกลางวัน ต้องปิดประตูเสียก่อนแล้วจึง
พักผ่อนดังนี้. พระอาจารย์กล่าว สังวร ด้วยอรรถว่า ปิดในคำเป็นต้นว่า
ตถาคต เรากล่าวสติว่าเป็นเครื่องห้ามกระแส กระแส
เหล่านั้นบุคคลย่อมปิดกั้นได้ด้วยปัญญา ดังนี้.
สังวรนั้นมี ๕ อย่างคือ สีลสังวร สติสังวร ญาณสังวร ขันติ-
สังวร วิริยสังวร. บรรดาสังวรเหล่านั้น สังวรที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุประกอบ
ด้วยปาฏิโมกขสังวรนี้ นี้ชื่อว่าสีลสังวร. ความจริงปาฏิโมกขศีลท่าน

153
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 154 (เล่ม 17)

กล่าวว่า สังวร ในที่นี้. สังวรในคำเป็นต้นว่า ภิกษุย่อมถึงความสำรวม
ในจักขุนทรีย์ ชื่อว่า สติสังวร. ก็สติ ท่านกล่าวว่า สังวร ในที่นี้.
สังวรที่ตรัสไว้ว่า เราตถาคตกล่าวญาณว่าเป็นเครื่องกั้นกระแส
กระแสเหล่านั้นบุคคลย่อมปิดกั้นได้ด้วยปัญญา นี้ชื่อว่าญาณสังวร. ก็ใน
ที่นี้ท่านกล่าวญาณว่า สังวร ด้วยอรรถว่าปิดไว้ได้ ด้วยบทว่า ปิถียเร.
ขันติสังวรและวิริยสังวรมาในสูตรนี้โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุเป็นผู้อดทน
ต่อความหนาว ฯลฯ ไม่ยอมให้วิตกซึ่งเกิดขึ้นครอบงำได้ ดังนี้. ก็พึง
ทราบความที่ขันติและวิริยะ ชื่อว่า สังวร เพราะท่านสงเคราะห์ด้วยอุเทศ
นี้ว่า สพฺพาสวสํวรปริยายํ นี้.
อีกอย่างหนึ่ง สังวรแม้ทั้ง ๕ อย่างนี้ ก็มาในสูตรนี้เหมือนกัน.
บรรดาสังวรทั้ง ๕ อย่างนั้น ขันติสังวรและวิริยสังวรท่านกล่าวไว้ก่อน
แล้วทีเดียว. ก็สังวรที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุนั้นพิจารณาที่อันมิใช่อาสนะนั้นและ
อโคจรนั้นโดยแยบตายแล้ว นี้ชื่อว่าสีลสังวรในที่นี้. สังวรที่ตรัสไว้ว่า
ภิกษุพิจารณาโดยแยบคายแล้ว สำรวมระวังจักขุนทรีย์ดังนี้ นี้ชื่อว่าสติ
สังวร. การพิจารณาด้วยญาณในธรรมทั้งปวง ชื่อว่า ญาณสังวร. ส่วน
การเห็น การส้องเสพ การเจริญ ก็ชื่อว่า ญาณสังวร ด้วยศัพท์ที่ท่านมิได้
ถือเอา. ที่ชื่อว่าปริยาย เพราะเป็นเหตุเครื่องกำหนดแห่งธรรมทั้งหลาย
อธิบายว่า ธรรมทั้งหลายย่อมถึงการเกิดขึ้นหรือดับไป. คำใดที่ควรกล่าว
ในคำนี้ว่า สพฺพาสวสํวรปริยายํ คำนั้นท่านกล่าวอธิบายไว้ด้วยคำมี
ประมาณเพียงเท่านี้.

154
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 155 (เล่ม 17)

อธิบายญาณทัสสนะ
[๑๑] บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ชานโต อหํ เป็นต้นดังต่อ
ไปนี้. บทว่า ชานโต คือรู้อยู่. บทว่า ปสฺสโต คือเห็นอยู่. บทแม้
ทั้งสองมีเนื้อความอย่างเดียวกัน พยัญชนะเท่านั้นที่ต่างกัน. เมื่อเป็นเช่น
นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงถึงบุคคล โดยมุ่งถึงลักษณะของญาณด้วย
บทว่า ชานโต. ความจริง ญาณมีความรู้เป็นลักษณะ. ทรงแสดงบุคคล
โดยมุ่งถึงอำนาจของญาณด้วยบทว่า ปสฺสโต. ความจริง ญาณมีอำนาจ
ในการเห็น. บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยญาณ ย่อมเห็นธรรมที่พระพุทธเจ้า
ทรงเปิดเผยไว้ด้วยญาณนั้นแล เปรียบเหมือนคนตาดีมองเห็นรูปด้วยจักษุ
ฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง เพื่อให้โยนิโสมนสิการเกิดขึ้น อโยนิโสมนสิการ
จะไม่เกิดขึ้นแก่ผู้เห็นอยู่ เหมือนจะไม่เกิดขึ้นแก่ผู้รู้อยู่ฉะนั้น สารสำคัญ
ในคำทั้ง ๒ นี้มีเพียงเท่านี้. ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวเยิ่นเย้อไว้มาก.
ข้อความเหล่านั้นไม่เหมาะในอรรถนี้.
บทว่า อาสวานํ ขยํ ความว่า การละอาสวะ คือการเกิดความสิ้น
ไปโดยไม่มีเหลือ ได้แก่อาการคือการสิ้นไป หมายความว่าภาวะคือการ
ไม่มีแห่งอาสวะทั้งหลาย. ขยะ ศัพท์นี้แล มีความหมายว่าสิ้นอาสวะ
ทั้งในสูตรนี้ และทั้งในประโยคเป็นต้นว่า อาสวานํ ขยา อนาสวญฺเจโต-
วิมุตฺตึ. ส่วนในสูตรอื่น แม้มรรค-ผล-นิพพาน ท่านเรียกว่าธรรมเป็น
ที่สิ้นไปแห่งอาสวะ. จริงอย่างนั้น มรรคท่านเรียกว่า ธรรมเป็นที่สิ้น
อาสวะ (เช่น) ในประโยคเป็นต้นว่า

155