No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 86 (เล่ม 17)

เท่านั้น) ดุจที่ประทับแรมมีไว้สำหรับพระราชาฉะนั้น และด้วยเหตุ
นั้นนั่นแหละ ภูมินั้น ท่านจึงมิได้จัดเป็นวิญญาณฐิติ ทั้งมิได้จัดเป็น
สัตตาวาส แต่ความสำคัญเหล่านี้มีอยู่ทุกเมื่อ ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงภูมิ
ของความสำคัญเหล่านั้น ซึ่งมีอยู่ในกาลทุกเมื่อ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
ละชั้นสุทธาวาสแล้วตรัสคำเป็นต้นว่า อากาสานญฺจายตนํ ดังนี้
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อากาสานญฺจายตนํ ได้แก่ขันธ์ ๔
ที่เป็นกุศลวิบาก และกิริยาอันเป็นไปในอากาสานัญจายตนภูมินั้น. และ
ขันธ์ทั้งหลายเหล่านั้น พึงเห็นว่า เกิดขึ้นในภูมินั้นนั่นแหละ เพราะเหตุว่า
กถานี้เป็นการกล่าวถึงกำหนดภพ. ในวิญญาณัญจายตนะเป็นต้น ก็นัยนี้
ก็ในบรรดาวาระ ๔ วาระนั่นแล การขยายความพึงทราบโดยนัยที่กล่าว
ไว้ในอภิภูวาระ และความสำคัญด้วยอำนาจแห่งมานะ ในข้อนี้ ย่อมใช้
ได้แม้โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในปชาบดีวาระ.
แก้บท ทิฏฺฐํ สุนํ มุตํ วิญฺญาตํ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงที่ตั้งของความสำคัญ โตย
ประเภทมีความแตกต่างกันระหว่างภูมิเป็นตันนั้น แม้โดยพิสดารอย่าง
นี้แล้ว ดังนี้ เมื่อจะประมวลแสดงประเภทแห่งธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓
อันนับเนื่องในสักกายทิฐิ อันเป็นที่ตั้งแห่งความสำคัญทั้งหมด ด้วยเหตุ
๔ อย่าง มีรูปารมณ์ที่ตนเห็นเป็นต้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ทิฏฺฐํ
ทิฏฺฐโต ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐํ หมายถึงสิ่งที่มองเห็นด้วยมังส-
จักษุบ้าง ทิพยจักษุบ้าง. คำว่า ทิฏฺฐํ นั้นเป็นชื่อของรูปายตนะ. บรรดา

86
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 87 (เล่ม 17)

บทเหล่านั้น บทว่า ทิฏฺฐํ มญฺญติ ความว่า ปุถุชนย่อมสำคัญด้วย
ความสำคัญทั้ง ๓.
อย่างไร ? คือ ปุถุชนเมื่อดูรูปายตนะด้วยสุภสัญญาและสุขสัญญา
ชื่อว่า ย่อมยังฉันทราคะให้เกิดในรูปาตนะนั้น คือย่อมยินดีเพลิดเพลิน
ซึ่งรูปายตนะนั้น สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ดังนี้
ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลาย กำหนัดยินดี หลงใหล
ติดใจในรูปหญิง สัตว์เหล่านั้น ตกอยู่ในอำนาจของรูปหญิง ย่อม
เศร้าโศกสิ้นกาลนาน ดังนี้. ปุถุชน ชื่อว่า ย่อมสำคัญรูปารมณ์ที่ตน
เห็นแล้วด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งตัณหาอย่างนี้ ก็หรือว่า ปุถุชนย่อม
ทะยานอยากในรูปนี้ว่า ขอรูปของเราพึงเป็นอย่างนี้ตลอดกาล หรือว่า
ปุถุชนเมื่อหวังรูปสมบัติ ย่อมให้ทาน ความพิสดารดังว่ามานี้แล. ปุถุชน
ย่อมสำคัญรูปารมณ์ที่ตนเห็นแล้วด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งตัณหาแม้
อย่างนี้.
อนึ่ง ปุถุชนอาศัยรูปสมบัติและรูปวิบัติของตน และของบุคคลอื่น
ย่อมยังมานะให้เกิด คือ ย่อมสำคัญรูปารมณ์ที่ตนเห็นด้วยความสำคัญด้วย
อำนาจมานะอย่างนี้ว่า เราดีกว่าผู้นี้ เราเสมอกับผู้นี้ หรือว่า เราเลวกว่า
ผู้นี้ ดังนี้.
อนึ่ง ปุถุชนย่อมสำคัญรูปายตนะว่า เที่ยง ยั่งยืน แน่นอน
ย่อมสำคัญว่าเป็นอัตตา เนื่องในอัตตา ย่อมสำคัญในรูปาตนะที่เป็น
มงคล ว่าเป็นอมงคล ปุถุชนย่อมสำคัญรูปายตนะที่ตนเห็นด้วยความสำคัญ
ด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิ ด้วยประการฉะนี้.
ปุถุชน ชื่อว่า ย่อมสำคัญรูปายตนะที่ตนเห็นด้วยความสำคัญทั้ง ๓
ด้วยประการฉะนี้.

87
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 88 (เล่ม 17)

ย่อมสำคัญในรูปายตนะที่ตนเห็นแล้วอย่างไร ? คือ ปุถุชนเมื่อ
สำคัญโดยนัยพิจารณาเห็นอัตตาในรูป ชื่อว่า ย่อมสำคัญในรูปายตนะที่ตน
เห็น. แม้สำคัญอยู่ว่า ราคะเป็นต้น ย่อมเกิดมีในรูป เหมือนกับน้ำนม
เกิดมีในเต้านมฉะนั้น ชื่อว่า ย่อมสำคัญในรูปายตนะที่ตนเห็น. นี้ชื่อว่า
ความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิของปุถุชนนั้น.
อนึ่ง เมื่อปุถุชนนั้น ยังความเสน่หาและมานะให้เกิดขึ้นในวัตถุ
ที่สำคัญด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐินั้นนั่นแล. พึงทราบว่า เป็น
ความสำคัญด้วยอำนาจแห่งตัณหาและมานะด้วย. ปุถุชน ชื่อว่า ย่อมสำคัญ
ในรูปายตนะที่ตนเห็น ด้วยประการฉะนี้. คำที่เหลือพึงทราบตามนัยที่
กล่าวไว้แล้วในปฐวีวาระ.
บทว่า สุตํ หมายถึงได้ยินด้วยมังสโสตบ้าง ทิพยโสตบ้าง. คำว่า
สุตํ นั่น เป็นชื่อของสัททายตนะ.
บทว่า มุตํ ได้แก่ทราบ และรู้แล้วรับเอา อธิบายว่า เข้าไป
กระทบรับเอา. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า รู้แจ้ง ในเพราะการประจวบกัน
แห่งอินทรีย์ และอารมณ์ทั้งหลาย.
คำว่า มุตํ นั่น เป็นชื่อของคันธายตนะ รสายตนะ และโผฏ-
ฐัพพายตนะ.
บทว่า วิญฺญาตํ แปลว่า รู้ทางใจ. และคำว่า วิญฺญาตํ นั่น
เป็นชื่อของอายตนะ ๗ เหลือ. อีกอย่างหนึ่ง เป็นชื่อของธรรมารมณ์
(ก็ได้) แต่ในที่นี้ได้เฉพาะอารมณ์ที่นับเนื่องในกายของตน. (สักกาย-
ทิฏฐิ)
ก็ในข้อนี้ พึงทราบความพิสดารโดยนัยที่กล่าวไว้แล้ว ในทิฏฐวาระ.

88
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 89 (เล่ม 17)

แก้บท เอกตฺตํ นานตฺตํ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงประเภทแห่งสักกายทิฏฐิทั้ง-
หมดด้วยอารมณ์ ๔ ประการ มีรูปารมณ์ที่ตนเห็นแล้วเป็นต้นอย่างนี้
แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงประเภทของสักกายทิฏฐินั้นนั่นแหละ ออก
เป็น ๒ ประการ คือ โดยวาระของท่านผู้เข้าสมาบัติ ๑ ของท่านผู้มิได้
เข้าสมาบัติ ๑ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า เอกตฺตํ นานตฺตํ ดังนี้.
ด้วยบทว่า เอกตฺตํ นี้ พระองค์ทรงแสดงวาระของท่านผู้เข้าสมาบัติ.
ด้วยบทว่า นานตฺตํ นี้ พระองค์ทรงแสดงวาระของท่านผู้มิได้เข้า
สมาบัติ.
ทั้ง ๒ คำนั้น มีความหมายเฉพาะคำดังต่อไปนี้ :-
ภาวะที่เป็นหนึ่งชื่อว่า เอกัตตัง ภาวะที่แยกกัน ชื่อว่า นานัตตัง.
ส่วนการขยายความในข้อนี้ บัณฑิตพึงแยกวาระของท่านผู้เข้า
สมาบัติด้วยขันธ์ ๔ และวาระของท่านผู้มิได้เข้าสมาบัติด้วยขันธ์ ๕ แล้ว
พิจารณาทราบตามสมควรโดยศาสนนัย (พระบาลี) เป็นต้นว่า ปุถุชน
ย่อมพิจารณาเห็นรูปโดยเป็นอัตตา และโดยนัยแห่งอรรถกถาที่ท่านกล่าว
ไว้ในปฐวีวาระเป็นต้น. ส่วนอาจารย์บางพวกย่อมกล่าวเอกัตตนัย ด้วย
บทนี้ว่า เอกตฺตํ. กล่าวนัยที่แยกกัน ด้วยบทนี้ว่า นานตฺตํ ดังนี้.
อาจารย์พวกอื่นกล่าวความยึดมั่นด้วยอำนาจทิฏฐิอย่างนี้ว่า อัตตาย่อมมี
สัญญาอันเดียวกันไม่สูญสลาย ครั้นตายแล้วอัตตาย่อมมีสัญญาต่างกัน.
คำนั้นทั้งหมด ย่อมไม่ถูกเลย เพราะท่านมิได้ประสงค์เอาในที่นี้.

89
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 90 (เล่ม 17)

แก้บท สพฺพํ สพฺพโต
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงสักกายทิฏฐิทั้งหมดโดยเป็น
๒ อย่าง อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงประมวลแสดงสักกายทิฏฐินั้น
แหละเป็นอันเดียวกัน จึงตรัสคำเป็นต้นว่า สพฺพํ สพฺพโต ดังนี้.
ส่วนนัยขยายความในข้อนี้ บัณฑิตพึงทราบดังนี้ว่า ปุถุชน เมื่อ
ชอบใจสิ่งทั้งปวง ชื่อว่า ย่อมสำคัญสิ่งทั้งปวงด้วยความสำคัญด้วยอำนาจ
แห่งตัณหา เมื่อสำคัญสิ่งที่ตนสร้างขึ้นโดยนัยเป็นต้นว่า สัตว์เหล่านี้เราสร้าง
ขึ้น ดังนี้ พึงทราบว่า ชื่อว่า ย่อมสำคัญสิ่งทั้งปวงด้วยความสำคัญด้วย
อำนาจแห่งมานะ เมื่อสำคัญโดยนัยเป็นต้นว่า สิ่งทั้งปวงมีกรรมที่ตนกระทำ
ไว้ในปางก่อนเป็นเหตุ สิ่งทั้งปวงมีการสร้างของพระอิศวรเป็นเหตุ สิ่ง
ทั้งปวงไม่มีเขต ไม่มีปัจจัย สิ่งทั้งปวงมีอยู่ สิ่งทั้งปวงไม้มี ดังนี้ ชื่อว่า
ย่อมสำคัญสิ่งทั้งปวงด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิ.
ปุถุชนย่อมสำคัญในสิ่งทั้งปวงอย่างไร ? คือว่า บุคคลบางคน
ในโลกนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่า อัตตาของเรานี้ใหญ่ บุคคลนั้นกำหนด
โลกสันนิวาสทั้งหมดโดยเป็นโอกาสแห่งอัตตานั้น ย่อมสำคัญว่า ก็อัตตา
ของเรานี้นั้นแล มีอยู่ในโลกสันนิวาสทั้งปวง. นี้ชื่อว่า ความสำคัญด้วย
อำนาจแห่งทิฏฐิของบุคคลนั้น.
ก็เมื่อเขายังความเสน่หาในอัตตานั้นนั่นแล ยังมานะอันมีอัตตานั้น
เป็นที่ตั้งให้เกิดขึ้นอยู่ในตน พึงทราบว่า แม้ความสำคัญด้วยอำนาจตัณหา
และมานะ (ก็เกิดขึ้นด้วย ). คำที่เหลือพึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้ว
ในปฐวีวาระนั่นแล.

90
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 91 (เล่ม 17)

แก้บท นิพฺพานํ นิพฺพานโต
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงสักกายทิฏฐิทั้งหมดให้เป็นอัน
เดียวกันอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงสักกายทิฏฐินั้นให้เป็นอัน
เดียวโดยนัยแม้อื่นอีก จึงตรัสคำเป็นต้นว่า นิพฺพานํ นิพฺพานโต
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิพฺพานํ ความว่า พึงทราบบรม
นิพพานในปัจจุบันอันมาแล้วโดยส่วน ๕ (มีอยู่ ๕ อย่าง) โดยนัย
เป็นต้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ เพราะเหตุที่อัตตาเอิบอิ่ม เพียบพร้อม
ด้วยกามคุณ ๕ ให้เขาบำเรออยู่ด้วยกามคุณ ๕ ดูก่อนท่านผู้เจริญ
ฉะนี้แล อัตตานี้ จึงบรรลุถึงนิพพานในปัจจุบัน.
ในข้อนั้น ปุถุชนเมื่อยินดีนิพพาน พึงทราบว่า ชื่อว่า ย่อมสำคัญ
ด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งตัณหา. ปุถุชนเมื่อยังมานะให้เกิดขึ้นด้วย
มานะว่า เราย่อมบรรลุนิพพาน พึงทราบว่า ชื่อว่า ย่อมสำคัญด้วย
ความสำคัญด้วยอำนาจแห่งมานะ. เมื่อยึดถืออัสสาทะ (ความพอใจ)
อันมิใช่นิพพานเลย ว่าเป็นนิพพาน และยึดถือนิพพานว่าเป็นอัสสาทะ
พึงทราบว่า ชื่อว่า ย่อมสำคัญด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิ.
ส่วนปุถุชน ครั้นยึดถืออัตตาต่างไปจากนิพพาน สำคัญอยู่ว่า ก็
อัตตาของเรานี้นั้นแล ย่อมมีในนิพพานนี้ ชื่อว่า ย่อมสำคัญในนิพพาน.
นี้เป็นความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิของปุถุชนนั้น.
ก็เมื่อปุถุชนนั้นเกิดความเสน่หาในอัตตานั้นนั่นแล และเกิดมานะ
อันมีอัตตานั้นเป็นที่ตั้งอยู่ พึงทราบว่า แม้ความสำคัญด้วยอำนาจแห่ง
ตัณหาและมานะ (ก็เกิดขึ้นด้วย).

91
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 92 (เล่ม 17)

นัยแม้ในความสำคัญจากนิพพานก็นัยนี้. จริงอยู่ แม้ในข้อนั้น
ปุถุชนเมื่อยึดถืออัตตาว่าเป็นอื่นจากนิพพาน สำคัญอยู่ว่า นี้นิพพาน
นี้อัตตา ก็อัตตาของเรานี้นั้น อื่นต่างหากจากนิพพานนี้ ชื่อว่า ย่อม
สำคัญจากนิพพาน. นี้เป็นความสำคัญด้วยอำนาจทิฏฐิของปุถุชนนั้น.
ก็เมื่อปุถุชนเกิดความเสน่หาในอัตตานั้นนั่นแล และเกิดมานะอันมี
อัตตานั้นเป็นที่ตั้ง แม้ตัณหาและมานะก็พึงทราบว่า (เกิดขึ้นด้วย) แต่
เมื่อสำคัญว่า โอ นิพพานของเราสุขจริง พึงทราบว่า ชื่อว่า ย่อมสำคัญว่า
นิพพานว่าเป็นของเรา ดังนี้. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ก็ใน
ข้อนี้ มีคำร้อยกรองในภายหลังดังต่อไปนี้ :-
กายของตนนี้เป็นเช่นไร เมื่อปุถุชนไม่รู้กายของตนนั้น
ตามความเป็นจริง ความสำคัญ (ผิด) ทุกอย่างย่อม
เกิดขึ้นในกายของตน กายของตนนี้น่าเกลียด มีการ
แตกไปเป็นธรรมดา เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ ไม่ใช่ผู้นำ.
คนพาล เมื่อยึดถือกายนั้นโดยเป็นข้าศึก (ต่อความ
เป็นจริง) ชื่อว่า ย่อมยึดถือความสำคัญ (ผิด)
เมื่อปุถุชนพิจารณาเห็นกายของตน โดยความเป็น
ของงาม และโดยเป็นความสุข ย่อมมีความสำคัญ
ผิดด้วยอำนาจตัณหา เมื่อการสำคัญผิดในไฟของ
แมลงเม่าฉะนั้น เมื่อปุถุชนยึดนิจจสัญญา เห็น
สมบัติของกายของตนนั้น เขาย่อมมีความสำคัญผิด
ด้วยอำนาจมานะ เหมือนสุนัขเห็นคูถแล้วเกิดสุภ-

92
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 93 (เล่ม 17)

สัญญาในคูถฉะนั้น เมื่อปุถุชนพิจารณาเห็นกายของ
ตนนั้นว่าเป็นอัตตา เนื่องในอัตตา ไม่เข้าใจตาม
ความเป็นจริง ย่อมมีความสำคัญผิดด้วยทิฏฐิ เหมือน
คนสำคัญรูปในกระจกฉะนั้น ก็คำว่า ความสำคัญนี้
เป็นคำที่ละเอียดเป็นเครื่องผูกของมาร หย่อม แต่
แก้ได้ยาก เพราะเป็นเครื่องผูกที่ผูกปุถุชนไว้ ปุถุชน
แม้จะพยายามดิ้นรนโดยวิธีต่าง ๆ มากมายก็ไม่ล่วง
พ้นกายของตนไปได้ ย่อมถูกกายของตนนั้นผูกรัดไว้
อย่างแน่ เหมือนสุนัขที่ถูกล่ามโซ่ไว้ที่หลักอันมั่น
ที่เขาตอกไว้อย่างดี คนที่เหลือมัวหมกมุ่นอยู่ในกาย
ของตน ย่อมเดือดร้อนอยู่เป็นนิตย์ ด้วยชาติ ชรา
และทุกข์มีโรคเป็นต้น เหมือนปลาติดเบ็ดฉะนั้น
ฉะนั้น เราจึงขอกล่าวกะท่านผู้เจริญทั้งหลายว่า ท่าน
ทั้งหลายพิจารณากายของตนที่สวยงามให้เห็นว่า ไม่
น่าชอบใจ ไม่งาม มีอันแตกไป (เป็นธรรม)
และไม่ใช่อัตตา เพราะกายของตนนี้นั้น มีสภาพ
อย่างนี้ ผู้รู้พิจารณาเห็นกายนี้อย่างนี้อยู่ ละความ
สำคัญผิดทั้งหมดเสียได้ ย่อมหลุดพ้นจากทุกข์ทั้ง-
ปวง ดังนี้.
จบกถาว่าด้วยนัยที่ ๑ ข้อที่ ๒๔ ด้วยอำนาจปุถุชน.

93
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 94 (เล่ม 17)

เสขบุคคล
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความเป็นไปของปุถุชนซึ่งมี
ธรรมคือสักกายทิฏฐิทั้งหมดเป็นมูลในวัตถุธาตุมีปฐวีเป็นต้นดังพรรณนา
มาฉะนี้ บัดนี้ เมื่อจะแสดงความเป็นไปของพระเสขบุคคลในวัตถุธาตุ
เหล่านั้นเหมือนกัน จึงตรัสคำเป็นต้นว่า โยปิ โส ภิกฺขุ เสโข ดังนี้
บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า โย เป็นคำขึ้นต้น. คำว่า โส เป็นคำแสดง
ไข. ปิ อักษร มีการประมวลมาเป็นอรรถ ดุจในประโยคว่า ธรรมแม้นี้
ไม่เที่ยง ดังนี้.
ก็ด้วย ปิ ศัพท์นั้น ย่อมประมวลมาซึ่งบุคคล โดยความเสมอกัน
ทางอารมณ์ หาได้ประมวลมาโดยความเสมอกันแห่งบุคคลไม่ แต่โดย
กำหนดอย่างต่ำ ได้แก่บุคคลผู้มีทิฏฐิวิบัติ ในที่นี้มุ่งเอาบุคคลผู้สมบูรณ์
ด้วยทิฐิ ความเสมอกันของบุคคลทั้ง ๒ นั้นไม่มี แต่อารมณ์ของบุคคล
พวกแร (ผู้มีทิฏฐิวิบัติ) เป็นอย่างไร อารมณ์ของคนพวกหลังเหล่านี้
(ผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ) ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันแท้. ด้วยเหตุนั้น ท่าน
จึงกล่าวไว้ว่า ย่อมประมวลมาซึ่งบุคคลโดยความเสมอกันแห่งอารมณ์ หา
ได้ประมวลมาด้วยความเสมอกันแห่งบุคคลไม่.
พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระเสขบุคคลที่จะพึง
กล่าว ในบัดนี้ ด้วยทำทั้งสิ้นนี้ว่า โยปิ โส. บทว่า ภิกฺขเว ภิกฺขู
นี้ มีนัยดังกล่าวนั้นแล.
บทว่า เสกฺโข ความว่า ที่ชื่อว่า เสขะ เพราะอรรถว่ากระไร ?
ตอบว่า ที่ชื่อว่า เสขะ เพราะได้เสขธรรม. สมจริงดังพระดำรัสที่

94
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 95 (เล่ม 17)

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ ที่ชื่อว่าเป็นเสขะ ด้วยธรรมมีประมาณเท่าใด พระพุทธเจ้า
ตรัสตอบว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบ
ด้วยสัมมาทิฏฐิอันเป็นเสขะ ฯลฯ เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาสมาธิ
อันเป็นเสขะ ภิกษุ ชื่อว่าเป็นเสขะด้วยธรรมมีประมาณเท่านี้แล.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคล ชื่อว่า เสขะ เพราะอรรถว่า ยังศึกษาอยู่
ดังนี้บ้าง. สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุศึกษา
อยู่อย่างนี้แล ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า เสขะ ถามว่า พระเสขบุคคล
ย่อมศึกษาอะไร ? ตอบว่า ย่อมศึกษาอธิสีลสิกขาบ้าง อธิจิตตสิกขา
บ้าง อธิปัญญาสิกขาบ้าง ภิกษุย่อมศึกษาอย่างนี้แล เพราะฉะนั้น
ท่านจึงเรียกว่า เสขะ.
บุคคลแม้ใด เป็นกัลยาณปุถุชน เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ด้วย
อนุโลมปฏิปทา มีศีลสมบูรณ์ มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย
รู้จักประมาณในการบริโภคโภชนะ ตามประกอบความเพียรของบุคคลผู้ตื่น
อยู่ ตามประกอบภาวนานุโยคซึ่งโพธิปักขิยธรรม ตลอดราตรีต้น และ
ราตรีปลายอยู่ด้วยความคิดว่า เราจักบรรลุสามัญญผลอย่างใดอย่างหนึ่งใน
วันนี้หรือพรุ่งนี้ บุคคลนั้นเรียกว่า เสขะ เพราะกำลังศึกษา.
แต่ในเนื้อความนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิเวธนั้นเท่านั้น ท่านประสงค์เอาว่า
เสขะ หาใช่ประสงค์เอาปุถุชนไม่.

95