No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 76 (เล่ม 17)

ใช้ในอรรคว่า อมนุษย์ ดังในประโยคนี้ว่า ภูตทั้งหลายเหล่าใด
มาประชุมพร้อมกัน แล้วในที่นี้ ดังนี้.
ใช้ในอรรถว่า ธาตุ ๔ ดังในประโยคนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ มหาภูตรูป
๔ แล เป็นเหตุ . . . ดังนี้.
ใช้ในอรรถว่า มีอยู่ ดังในประโยคเป็นต้นว่า เป็นปาจิตตีย์ใน
เพราะภูต ดังนี้.
ใช้ในอรรถว่า พระขีณาสพ ดังในประโยคนี้ว่า ก็ภูตใดเป็นผู้
กินกาละ ดังนี้.
ใช้ในอรรถว่า สัตว์ ดังในประโยคนี้ว่า ภูตทั้งหลายทั้งปวงแล
จักทิ้งร่างกายไว้ในโลก ดังนี้.
ใช้ในอรรถเป็นต้นว่า ต้นไม้ ในประโยคนี้ว่า ภุตคามปาตพฺยตาย
(พรากภูตคาม) ดังนี้.
แต่ในที่นี้ ภูตศัพท์นี้ ย้อมใช้ในสัตว์ทั้งหลาย. ก็แล ภูตศัพท์
จะเป็นไปโดยไม้แตกต่างกันเลยก็หามิได้ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลาย ต่ำกว่าชั้น
จาตุมมหาราช ท่านประสงค์เอาว่า ภูต ในที่นี้ ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภูเต ภูตโต สญฺชานาติ เป็นต้น
มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
ความสำคัญด้วยอำนาจตัณหา มานะ ทิฏฐิ
ก็ในคำเป็นต้นว่า ภูเต มญฺญติ พึงประกอบความสำคัญแม้ ๓
อย่าง.
อย่างไร ? จริงอยู่ ปุถุชนนี้ยึดเอาภูตทั้งหลายว่า งาม มีความสุข

76
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 77 (เล่ม 17)

โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วว่า เขาเห็น คฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี ผู้เพียบ-
พร้อมด้วยกามคุณ ๕ ดังนี้ ย่อมกำหนัด คือย่อมกำหนัดภูตเหล่านั้นแม้
เพราะเห็น และย่อมกำหนัดแม้เพราะได้ยิน ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ได้
ถูกต้อง และได้ทราบ ปุถุชนย่อมสำคัญในภูตทั้งหลายด้วยความสำคัญ
ด้วยอำนาจแห่งตัณหา ดังพรรณนามาฉะนี้.
ย่อมตั้งจิตไว้เพื่อได้สิ่งที่ตนยังไม่ได้ โดยนัยเป็นต้นว่า ทำไฉนหนอ
เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห้งขัตติยมหาศาลทั้งหลาย. ปุถุชนย่อม
สำคัญในภุตทั้งหลายด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งตัณหา แม้ด้วยประ-
การฉะนี้.
แต่เพราะอาศัยสมบัติและวิบัติของตนและของภูตทั้งหลาย ปุถุชน
ย่อมถือตัวว่าดีกว่าเขา ปุถุชนย่อมสำคัญภูตชนิดใดชนิดหนึ่งในภูตทั้งหลาย
ว่าเลวกว่าตน หรือย่อมสำคัญตนว่าเลวกว่าภูตชนิดใดชนิดหนึ่ง ย่อมสำคัญ
ภูตชนิดใดชนิดหนึ่งว่าดีกว่าตน (หรือย่อมสำคัญตนว่าดีกวาภูตชนิดใด
ชนิดหนึ่ง) ย่อมสำคัญตนว่าเสมอกันกับภูต หรือย่อมสำคัญภูตว่าเสมอกัน
กับตน. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลบางคนในโลกนี้ เมื่อก่อนถือว่า
ตนเสมอกันกับคนอื่น โดยชาติ ฯลฯ หรือโดยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง
ครั้นต่อมากลับสำคัญตนว่าดีกว่าเขา กลับสำคัญคนอื่นว่าเลวกว่าตน มานะ
เห็นปานนี้ ท่านเรียกว่า มานาติมานะ. ปุถุชนย่อมสำคัญในภูตทั้งหลาย
ด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งมานะ ดังพรรณนามาฉะนี้.
ปุถุชนสำคัญอยู่ว่า ก็ภูตทั้งหลายเที่ยง ยั่งยืน แน่นอน มีธรรมดา
ไม่แปรปรวน หรือว่า สัตว์ทั้งปวง ปาณะทั้งปวง ภูตทั้งปวง ชีวะ
ทั้งปวง ไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร ผู้น้อมไปสู่ภาวะการ

77
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 78 (เล่ม 17)

ประสบโชคร้าย โชคดี ย่อมเสวยสุขทุกข์ในอภิชาติ ๖ ชาตินั้นแล ชื่อว่า
ย่อมสำคัญด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิ.
ปุถุชนย่อมสำคัญในภูตทั้งหลายด้วยความสำคัญ ๓ อย่าง ด้วย
ประการฉะนี้.
ปุถุชนย่อมสำคัญในภูตทั้งหลายอย่างไร ? คือ หวังความเกิดขึ้น
แห่งตน หรือการเกิดความสุขแก่ตนในภุตทั้งหลายเหล่านั้น ๆ ปุถุชน
ย่อมสำคัญในภูตทั้งหลายด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งตัณหาดังพรรณนา
มานี้ก่อน. หรือเมื่อความหวังความเกิดขึ้นในภูตทั้งหลาย จึงให้ทาน
สมาทานศีล รักษาอุโบสถกรรม, ปุถุชนย่อมสำคัญในภูตทั้งหลายด้วย
ความสำคัญด้วยอำนาจแห่งตัณหา แม้ด้วยประการฉะนี้.
ก็ปุถุชนยึดเอาภูตทั้งหลายโดยการถือเอารวมกัน ย่อมสำคัญภูต
ทั้งหลายบางพวกในบรรดาภูตเหล่านั้นว่าดีกว่า หรือว่าสำคัญสัตว์บางพวก
ว่าเสมอกัน หรือเลวกว่า ปุถุชนย่อมสำคัญในภูตทั้งหลายด้วยความสำคัญ
ด้วยอำนาจแห่งมานะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้.
อนึ่ง ปุถุชนเมื่อสำคัญภูตบางพวกว่าเที่ยง ยั่งยืน ย่อมสำคัญภูต
บางพวกว่าไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน หรือย่อมสำคัญว่า แม้เราย่อมเป็นภูตประ-
เภทหนึ่งในบรรดาภูตทั้งหลาย ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมสำคัญในภูตทั้งหลาย
ด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิ ด้วยประการฉะนี้แล.
ก็ในคำนี้ว่า ภูตโต มญฺญติ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ปุถุชนเมื่อสำคัญความเกิดขึ้นแห่งตน หรือบุคคลอื่น พร้อมทั้ง
ทรัพย์ศฤงคารจากภูตชนิดใดชนิดหนึ่ง พึงทราบว่า ย่อมสำคัญจากภูต
ดังนี้. นี้เป็นความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิของปุถุชนนั้น. ก็เมื่อ

78
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 79 (เล่ม 17)

ปุถุชนนั้น ยังความสิเนหาและมานะให้เกิดขึ้นในวัตถุที่สำคัญหมาย ด้วย
ความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐินั้นนั่นแล พึงทราบว่า เป็นความสำคัญ
ด้วยอำนาจแห่งตัณหาและมานะด้วย
ก็ในข้อว่า ภูเต เมติ มญฺญติ นี้ ย่อมได้ความสำคัญด้วยอำนาจแห่ง
ตัณหาอันหนึ่งแล. ก็ความสำคัญด้วยอำนาจแห่งตัณหานี้นั้น พึงทราบว่า
ย้อมเป็นไปโดยความยึดถือว่าเป็นของเรา โดยนัยเป็นต้นว่า บุตรของเรา
ธิดาของเรา แพะและแกะของเรา ไก่และสุกรของเรา ช้าง โค กระต่าย
และแมวมองเรา ดังนี้.
คำว่า ภูเต อภินนฺทติ มีนัยดังกล่าวแล้วอย่างนี้นั่นแล.
ก็ในข้อว่า อปริญฺญาตํ ตสฺส นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
การบัญญัติภูตทั้งหลาย เพราะอาศัยสังขารเหล่าใด เพราะไม่กำหนด
รู้สังขารเหล่านั้น ภูตทั้งหลายพึงทราบว่า ย่อมเป็นอันปุถุชนไม่กำหนดรู้
ดังนี้. ส่วนการประกอบความ (ส่องความ) พึงทำไว้ โดยนัยดังกล่าว
แล้วนั่นแล.
เทพ ๓
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นแสดงที่ตั้งแห่งความสำคัญด้วยอำนาจ
แห่งสังขาร และด้วยอำนาจแห่งสัตว์โดยย่ออย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดง
ที่ตั้งนั้นแม้โดยพิสดาร โดยประเภทเป็นต้นว่า ภูมิพิเศษ จึงตรัสคำมีอาทิว่า
เทเว เทวโต ดังนี้.
ในคำนั้นมีรูปวิเคราะห์ดังนี้ ที่ชื่อว่า เทพ เพราะอรรถว่า ย่อมแล่น
อธิบายว่า สนุกสนาน และรุ้งเรืองด้วยกามคุณ ๕ หรือด้วยฤทธิ์ของ
ตน. เทพเหล่านั้นมี ๓ จำพวก คือ สมมติเทพ อุปปัตติเทพ และ

79
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 80 (เล่ม 17)

วิสุทธิเทพ. พระราชา พระมเหสี และพระราชกุมาร ชื่อว่า สมมติเทพ.
เทพที่สูงกว่านั้น เริ่มตั้งแต่เทพชั้นจาตุมมหาราช ชื่อว่า อุปปัตติเทพ.
พระอรหัตขีณาสพทั้งหลาย ชื่อว่า วิสุทธิเทพ. แต่ในที่นี้พึงเห็นว่าท่าน
ประสงค์เอาอุปปัตติเทพ ก็อุปปัตติเทพเหล่านั้น จะเห็นว่าไม่แตกต่าง
กันก็หามิได้ คือเว้นมาร พร้อมบริษัท ในเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัตตี
เสีย เทวดาชั้นกามาวจร ๖ ชั้นที่เหลือ ท่านประสงค์เอาว่า เทพ ใน
ที่นี้. การพรรณนาเนื้อความทั้งหมดในข้อนั้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้
แล้วในภูตวาระนั่นแล.
ท้าวปชาบดีคือพญามาร
ก็ในบทว่า ปชาปติ นี้ มาร พึงทราบว่า ปชาบดี. แต่อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า คำว่า ปชาปติ นี้ เป็นชื่อของท้าวมหาราชเป็นต้น ผู้
เป็นใหญ่กว่าเทวดาเหล่านั้น ๆ. คำนั้นท่านปฏิเสธไว้ในมหาอรรถกถาว่า
ไม่ถูก เพราะว่า มหาราชเป็นต้นเหล่านั้น ท่านถือเอาด้วย เทว ศัพท์
นั่นเอง ส่วนพญามารนั่นแล ท่านประสงค์เอาว่า ปชาบดี ในที่นี้
โดยความเป็นใหญ่กว่า ปชา กล่าวคือหมู่สัตว์.
ถามว่า พญามารนั้น ย่อมอยู่ ณ ที่ไหน ? ตอบว่า ย่อมอยู่
ในเทวโลกชั้นปริมมิตวสวัตตี.
จริงอยู่ พญามารวสวัตตี ครองราชย์อยู่ในเทวโลกนั้น. อาจารย์
บางพวกกล่าวว่า พญามารประทับครองความยิ่งใหญ่ในบริษัทของตน
ณ ส่วนหนึ่ง (ของเทวโลกนั้น) ดุจราชโอรสของพระราชาผู้เรืองนาม
ประทับอยู่ ณ ปลายแดนราชอาณาจักรฉะนั้น. ก็ในข้อนี้ พึงทราบว่า
ท่านจัดเอาบริษัทมารเข้าไว้ด้วย มาร ศัพท์นั่นเอง. ส่วนในข้อนี้ ในนัย

80
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 81 (เล่ม 17)

แห่งการขยายความมีอธิบายดังนี้ ปุถุชนได้เห็นก็ดี ได้ยินก็ดี ซึ่งปชาบดี
ผู้มีผิวพรรณงาม มีอายุยืน มีความสุขมาก ย่อมใฝ่ฝันราชสมบัติด้วย
อำนาจแห่งตัณหา ก็หรือว่า แม้ตั้งใจไว้เพื่อจะให้ส่งที่ตนยังไม่ได้โดย
นัยเป็นต้นว่า ทำไฉนหนอ เราพึงเข้าถึงความเป็นสหายแห่งปชาบดี ชื่อว่า
ย่อมสำคัญปชาบดีด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งตัณหา.
แต่เมื่อปุถุชนถึงความเป็นปชาบดีแล้ว ยังมานะให้เกิดขึ้นว่า เรา
ย่อมเป็นใหญ่ เป็นอธิบดีกว่าปชาทั้งหลาย พึงทราบว่า ชื่อว่า ย่อมสำคัญ
ปชาบดีด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งมานะ.
แต่เมื่อปุถุชนสำคัญอยู่ว่า ปชาบดี เที่ยง ยั่งยืน หรือขาดสูญ พินาศ
หรือว่า ไม่มีอำนาจ ไม่มีกำลัง ไม่มีความเพียร น้อมไปสู่ความประสบ
โชคดี โชคร้าย ย่อมเสวยสุขทุกข์ในอภิชาติ ๖ ชาตินั่นแล พึงทราบว่า
ชื่อว่า ย่อมสำคัญปชาบดีด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิ.
แต่ในคำว่า ในปชาบดี นี้ ความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิชนิด
หนึ่งนั่นแล ย่อมถูก. พึงทราบความเป็นไปแห่งความสำคัญนั้น อย่างนี้.
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมสำคัญว่า ธรรมเหล่าใด มีอยู่ในปชาบดี
ธรรมเหล่านั้นทั้งหมด เที่ยง ยั่งยืน แน่นอน ไม่มีการแปรผันเป็น
ธรรมดา. อีกอย่างหนึ่ง ย่อมสำคัญว่า บาปย่อมไม่มีในปชาบดี กรรม
อันลามกทั้งหลาย ย่อมหาไม่ได้ในปชาบดีนั้น.
ในคำว่า ปชาปติโต นี้ ย่อมได้ความสำคัญแม้ทั้ง ๓.
อย่างไร? คือบุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมสำคัญข้อที่ตนหรือคน
อื่น พร้อมทั้งทรัพย์ศฤงคารเกิดขึ้น หรือจากไปจากปชาบดี นี้เรียกว่า
ความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิของบุคคลนั้น.

81
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 82 (เล่ม 17)

ก็เมื่อบุคคลนั้น ยังความเสน่หาและมานะให้เกิดขึ้นในวัตถุที่สำคัญ
ด้วยความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐินั้นนั่นแล พึงทราบว่า เป็นความ
สำคัญด้วยอำนาจแห่งตัณหาและมานะ.
ก็ในบทว่า ปชาปตึ เม นี้ ย่อมได้ความสำคัญด้วยอำนาจแห่ง
ตัณหาชนิดหนึ่งนั่นแล. และความสำคัญด้วยอำนาจแห่งตัณหานี้นั้น พึง
ทราบว่า ย่อมเป็นไปแก่บุคคลผู้ยึดถือว่า ของเรา โดยนัยเป็นต้นว่า
ปชาบดีเป็นครูของเรา เป็นนายของเรา ดังนี้. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้ว
นั่นแล.
ความหมายของพรหม
ในบทนี้ว่า พฺรหฺมํ พฺรหฺมโต มีวินิจฉัยดังนี้ :-
ชื่อว่า พรหม เพราะอรรถว่า เจริญแล้วด้วยคุณวิเศษนั้น ๆ
อีกอย่างหนึ่งท้าวมหาพรหมก็ดี พระตถาคตก็ดี พราหมณ์ก็ดี
มารดาบิดาก็ดี สิ่งที่ประเสริฐที่สุดก็ดี ท่านก็เรียกว่า พรหม.
จริงอยู่ ท้าวมหาพรหม ท่านเรียกว่า พรหม (ดัง) ในประโยค
เป็นต้นว่า พรหม ๑,๐๐๐ ๒,๐๐๐.
พระตถาคต ท่านก็เรียกว่า พรหม (ดัง). ในประโยคนี้ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย คำว่า พรหมนี้ เป็นชื่อของพระตถาคตนั่นแล.
พราหมณ์ ท่านเรียกว่า พรหม (ดัง) ในประโยคนี้ว่า
พระพุทธเจ้า ผู้บรรเทาความมืด ผู้มีพระจักษุรอบคอบ
ผู้ถึงที่สุดแห่งโลก ผู้ก้าวล่วงภพทั้งปวง ผู้ไม่มีอาสวะ
ผู้ละทุกข์ทั้งปวงได้แล้ว ผู้กล่าวสัจจะ ผู้อันพรหม

82
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 83 (เล่ม 17)

บำเรอแล้ว ดังนี้.
มารดาบิดา ท่านเรียกว่า พรหม (ดัง ) ในประโยคนี้ว่า มารดา-
บิดา ท่านเรียกว่า พรหม, มารดาบิดา ท่านเรียกว่า บุพพาจารย์. สิ่งที่
ประเสริฐที่สุด ท่านเรียกว้า พรหม (ดัง) ในประโยคนี้ว่า พระผู้มี
พระภาคเจ้ายังจักรอันประเสริฐให้เป็นไป ดังนี้.
แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาพรหมที่เกิดขึ้นต้นกัลป. อนึ่ง แม้
พรหมปุโรหิต และพรหมปาริสัชชะ พึงทราบว่า ท่านถือเอาด้วย พรหม
ศัพท์นั้นนั่นแล แต่การพรรณนาเนื้อความในข้อนี้ พึงทราบโดยที่
กล่าวแล้วในปชาบดีวาระนั่นแล.
อธิบายอาภัสสรพรหม
ในวาระว่าด้วยอาภัสสรพรหม พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
รัศมีแผ่ซ่านออกจากร่างกายกองพรหมเหล่านั้นเหมือนกับขาดตกไป
คล้ายเปลวไฟขาดตกไปจากคบเพลิงฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พรหมเหล่านั้น
จึงชื่อว่าอาภัสสรา. ด้วยการกำหนดอาภัสสรพรหมเหล่านั้น (เป็นเกณฑ์)
จึงเป็นอันท่านกำหนดเอาภูมิของทุติยฌานแม้ทั้งหมดด้วย. ก็พรหมที่สถิต
อยู่ในชั้นเดียวกันแม้ทั้งหมดนั่นแล พึงทราบว่า (ได้แก่) ปริตตาภา-
พรหม อัปปมาณาภาพรหม (และ) อาภัสสรพรหม.
อธิบายสุภกิณหพรหม
ในวาระว่าด้วยสุภกิณหพรหม พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
พรหมที่ชื่อว่า สุภกิณหา เพราะหมายความว่า แพรวพราวไปด้วยสี

83
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 84 (เล่ม 17)

ที่สวยงามคือด้วยรัศมีกายอันโสภา จึงสง่างามดังทองแท่ง เปล่งแสงประกาย
อันเขาเก็บไว้ในหีบทองแท่งทึบ. ด้วยการกำหนดเอาสุภกิณหพรหมเหล่านั้น
(เป็นเกณฑ์) เป็นอันท่านกำหนดเอาภูมิของตติยฌานแม้ทั้งหมดด้วย.
ก็พรหมที่สถิตอยู่ในชั้นเดียวกันแม้ทั้งหมดนั่นแล พึงทราบว่า (ได้แก่)
ปริตตสุภพรหม อัปปมาณสุภพรหม สุภกิณหพรหม.
อธิบายเวหัปผลพรหม
ในวาระว่าด้วยเวหัปผลพรหม พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
พรหมที่ชื่อว่า เวหัปผลา เพราะหมายความว่า มีผลอันไพบูลย์
ท่านกล่าวว่าได้แก่พรหมชั้นจตุตถฌาน. ส่วนการอธิบายขยายความประกอบ
ในวาระทั้ง ๓ นี้ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในภูตวาระนั่นแล.
อธิบายอภิภูพรหม
ในวาระว่าด้วยอภิภู พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ที่ชื่อวา อภิภูเพราะหมายความว่า ครอบงำ ถามว่า ครอบงำซึ่ง
อะไร ? ตอบว่าครอบงำซึ่งอรูปขันธ์ ๔. คำว่า อภิภู นั่นเป็นชื่อของ
อสัญญีภพ. เหล่าเทพ (พรหม) อสัญญีสัตว์สถิตอยู่ในชั้นเดียวกับเวหัป-
ผลพรหม (แต่ว่าแยก) สถิตอยู่ในโอกาสแห่งหนึ่ง (และ) ท่านบังเกิด
(ตายจากโลกมนุษย์) ด้วยอิริยาบถใด ก็สถิตอยู่ด้วยอิริยาบถนั้นนั่นแล
ตราบอายุขัยคล้ายภาพจิตกรรม ในที่นี้ท่านหมายถึงเวหัปผลพรหม และ
อสัญญีสัตว์แม้ทั้งหมดนั้นด้วยคำว่า อภิภู. อาจารย์บางพวกยกย่องพรหมผู้
เป็นใหญ่ในชั้นนั้น ๆ (ว่าอภิภู) โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า พรหม ๑,๐๐๐

84
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 85 (เล่ม 17)

ชื่อว่า อภิภู. แต่พึงทราบว่า คำกล่าวของอาจารย์บางพวกนั้นไม่ถูก
เพราะพรหมผู้เป็นใหญ่นั้น ท่านระบุถือเอาด้วยศัพท์ว่า "พรหม"
แล้วนั่นแล.
อนึ่ง ในวาระนี้ พึงทราบนัยแห่งการอธิบายขยายความว่า ปุถุชน
ได้สดับแล้วว่า พรหม อภิภู มีวรรณะ (สวยงาม) มีอายุยืน ดังนี้
แล้วเกิดความยินดีพอใจในพรหมอภิภูนั้น ชื่อว่า ย่อมสำคัญพรหมอภิภู
ด้วยความสำคัญด้วยอำนาจตัณหา ก็หรือว่า แม้ตั้งจิต (ปรารถนา)
เพื่อให้ได้ (เกิดในพรหมอภิภู) ที่ตนยังไม่ได้โดยนัยมีอาทิว่า ทำไฉน-
หนอ เราจะพึงเข้าถึงความเป็นสหายของพรหมอภิภู ชื่อว่า ย่อมสำคัญ
พรหมอภิภูด้วยความสำคัญด้วยอำนาจตัณหา, อนึ่ง เมื่อสำคัญตนว่าเลวกว่า
(พรหมอภิภู) หรือสำคัญว่าพรหมอภิภู ดีกว่าตน ชื่อว่า ย่อมสำคัญ
พรหมอภิภูด้วยความสำคัญด้วยอำนาจมานะ เมื่อยึดถือโดยนัยมีอาทิว่า
พรหมอภิภู เที่ยง ยั่งยืน ชื่อว่า ย่อมสำคัญพรหมอภิภูด้วยความสำคัญ
ด้วยอำนาจทิฏฐิ. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในปชาบดีวาระนั่นแล.
สุทธาวาสภูมิ
พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เมื่อทรงแสดงเทวโลกโดยลำดับอย่างนี้
ครั้นทรงแสดงสัญญีภพด้วยคำว่า อภิภู บัดนี้ เพราะเหตุที่กถาว่าด้วยวัฏฏกัป
และเทวดา คือ พระอนาคามี และพระขีณาสพชั้นสุทธาวาสผู้ดำรงอยู่ใน
ฝ่ายวิวัฏฏกัป หรือเพราะเหตุที่เทวดาเหล่านั้น มีอายุตั้ง ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ กัลป
ย่อมมีเฉพาะในเวลาที่พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นเท่านั้น ก็พระพุทธเจ้า
ทั้งหลายไม่ทรงอุบัติขึ้นแม้ตลอดอสงไขยกัลปในกาลนั้น ภูมินั้น ว่างเปล่า
ภพชั้นสุทธาวาส ย่อมมีเฉพาะ (กาลที่) พระพุทธเจ้าทั้งหลาย (อุบัติ

85