No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 66 (เล่ม 17)

ปฐวีกายในด้วยความสำคัญอันเกิดจากอำนาจแห่งตัณหาอย่างนี้.
ก็หรือว่า เกิดความทะยานอยากในผมเป็นต้นนั้น โดยนัยเป็นต้นว่า
ผมของเราพึงเป็นเช่นนี้ตลอดไป ขอขนบองเราพึงเป็นเช่นนี้ตลอดไป
ก็หรือว่า ตั้งจิตไว้ เพื่อจะได้สิ่งที่ตนยังไม่ได้ โดยนัยเป็นต้น ด้วยศีล
หรือพรหมจรรย์ อันนี้ เราจักมีผมดำสนิทอ่อนนุ่ม ดังนี้. ปุถุชนย่อม
สำคัญปฐวี (แผ่นดิน) ภายใน ด้วยความสำคัญด้วยอำนาจตัณหา
แม้ดังอธิบายมานี้.
อนึ่ง ปุถุชน อภัยสมบัติ (ความถึงพร้อม) หรือวิบัติสองผม
เป็นต้นแห่งตน แล้วยังมานะให้เกิดขึ้นว่า เราดีกว่า เราเสมอกัน หรือ
ว่าเราเลวกว่า ดังกล่าวมานี้ ชื่อว่า สำคัญปฐวี ( แผ่นดิน ) ภายใน
ด้วยความสำคัญอันเกิดมาจากอำนาจมานะ. อนึ่ง ย่อมยึดมั่นผมว่าเป็น
ชีวะ โดยนัยที่มาแล้วว่า ชีวะก็อันนั้น สรีระก่อนนั้น ดังนี้. ( แม้)
ในขนเป็นต้นก็นัยนี้. ปุถุชนย่อมสำคัญปฐวี ( แผ่นดิน) ภายใน
ด้วยความสำคัญอันเกิดมาจากอำนาจทิฏฐิดังกล่าวมา.
อีกอย่างหนึ่ง ปุถุชนย่อมยึดมั่นซึ่งปฐวี อันต่างด้วยผมเป็นต้น
โดยนัยอันเป็นข้าศึกต่อพฤติกรรมนี้ว่า ดูก่อนอาวุโส ก็ปฐวีธาตุภายใน
อันใดแล และปฐวีธาตุภายนอกอัน ใด ก็ปฐวีธาตุ (ทั้ง ๒) นั้น
ชื่อว่าปฐวีธาตุเหมือนกัน อันนี้นั่นไม่ใช่ของเราว่า ของเรา เราเป็นนั่น
นั่นเป็นอัตตาของเรา ชื่อว่าย่อมสำคัญปฐวีภายในด้วยความสำคัญ
อันเกิดมาจากอำนาจทิฏฐิแม้อย่างนี้. ปุถุชนย่อมสำคัญปฐวีภายใน
ด้วยความสำคัญ ๓ อย่าง ดังพรรณนามานี้ก่อน. พึงทราบว่า ย่อม
สำคัญปฐวีภายนอกเหมือนอย่างปฐวีภายใน.

66
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 67 (เล่ม 17)

อย่างไร ? จริงอยู่ ปุถุชนนี้ ยังฉันทราคะให้เกิดขึ้นในเหล็กและ
โลหะเป็นต้น เพลิดเพลิน พร่ำเพ้อ หลงใหล เหล็กและโลหะเป็นต้น
ย่อมหวงแหนรักษา คุ้มครอง เหล็กเป็นต้นไว้โดยนัยเป็นต้นว่า เหล็ก
ของเรา โลหะของเราชื่อว่า ย่อมสำคัญปฐวีภายนอก ด้วยความสำคัญด้วย
อำนาจตัณหา ด้วยประการฉะนี้. ก็หรือว่าปุถุชนย่อมทะยานอยากในปฐวี
ภายนอกนี้ว่า ขอเหล็กและโลหะเป็นต้นของเรา พึงมีอยู่ อย่างนี้ตลอดไป
หรือตั้งจิตไว้ เพื่อจะได้สิ่งที่ยังไม่ได้ว่า ด้วยศีลหรือพรหมจรรย์นี้ เรา
จักเป็นผู้มีอุกปกรณ์ มีเหล็ก และโลหะเป็นต้น ที่ถึงพร้อมแล้ว อย่างนี้.
ปุถุชนชื่อว่า ย่อมสำคัญปฐวีภายนอก ด้วยความสำคัญอันเกิดมาจาก
อำนาจตัณหา แม้ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง ปุถุชนอาศัยสมบัติหรือวิบัติ แห่งเหล็กและโลหะเป็นต้น
ของตนแล้ว เกิดมานะขึ้นว่า ด้วยอุปกรณ์นี้ เราจึงดีกว่าเขา เสมอเขา
หรือเลวกว่าเขา ปุถุชนชื่อว่า ย่อมสำคัญปฐวีภายนอก ด้วยความสำคัญ
อันเกิดมาจากอำนาจมานะอย่างนี้.
ก็ปุถุชนเป็นผู้มีความสำคัญในเหล็กว่าชีวะ ย่อมยึดมั่นว่านี้เป็นชีวะ.
นัยในโลหะเป็นต้นก็มีนัยนี้. ปุถุชนชื่อว่า ย่อมสำคัญปฐวีภายนอก ด้วย
ความสำคัญอันเกิดมาจากอำนาจทิฏฐิ ด้วยประการฉะนี้.
อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นปฐวีกสิณ
โดยเป็นอัตตา คือว่า ย่อมยึดมั่นนิมิตปฐวีว่า อัตตา โดยนัยที่ท่าน
กล่าวไว้ในคัมภีร์ปฏิสัมภิทานั่นแลว่า ปุถุชนย่อมพิจารณาเห็นเนื้อความ
ทั้ง ๒ คือ ปฐวีกสิณ และองคาพยพว่า ปฐวีกสิณอันใด เราก็อันนั้น

67
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 68 (เล่ม 17)

เราอันใด ปฐวีกสิณก่อนนั้น ดังนี้ ชื่อว่าย่อมสำคัญปฐวีภายนอก
ด้วยความสำคัญอันเกิดมาจากอำนาจทิฏฐิ ด้วยประการฉะนี้.
ปุถุชนย่อมสำคัญปฐวีแม้ภายนอก ด้วยความสำคัญ ๒ อย่าง
ดังอธิบายมานี้.
ในคำว่า ปฐวึ มญฺญติ นี้ พึงทราบความสำคัญหมายทั้ง ๓ ดัง
พรรณนามานี้ก่อน. ต่อแต่นี้ไปข้าพเจ้าจักกล่าวแต้โดยย่อเท่านั้น. คำว่า
ปฐวิยา นี้ ในคำว่า ปฐวิยา มญฺญติ นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติ. เพราะฉะนั้น
ในคำนี้ มีอธิบายดังนี้ว่า ปุถุชนย่อมสำคัญว่า เรามีอยู่ในปฐวี, ย่อม
สำคัญว่า ความกังวลผูกพันของเรามีอยู่ในปฐวี ย่อมสำคัญว่า บุคคลอื่นมี
อยู่ในปฐวี ย่อมสำคัญว่า ความกังวลผูกพันของบุคคลอื่นในปฐวีมีอยู่
ดังนี้ อีกอย่างหนึ่ง นัยแห่งเนื้อความของสัตตมีวิภัตตินั้น ที่ได้ที่ท่านกล่าว
ไว้ว่า ปุถุชนย่อมพิจารณาเห็นอัตตาในรูปอย่างไร ? คือปุถูชนบางตนใน
โลกนี้ ย่อมพิจารณาเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็น
อัตตา เขาย่อมพิจารณาเห็นอัตตาในรูปอย่างนี้ว่า ก็นี้แหละเป็นอัตตา
ของเรา อัตตาของเรานี้นั้นแล มีอยู่ในรูปนี้ ดังนี้ โดยนั้นนั่นแล
ปุถุชนจึงถือเอาเวทนาธรรมเป็นต้น ต่อแต่นี้ก็กำหนดเอาปฐวีชนิดใด
ชนิดหนึ่ง ในบรรดาปฐวีทั้งภายในและภายนอก โดยความเป็นโอกาส
แห่งอัตตานั้น สำคัญอยู่ว่า ก็อัตตาของเรานี้นั้นแล มีอยู่ ในปฐวีนี้
ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมสำคัญในปฐวี. นี้ชื่อว่า ความสำคัญด้วยอำนาจแห่ง
ทิฏฐิของปุถุชนนี้.
ก็เมื่อปุถุชนนั้น ยังความสิเนหาในอัตตา และมานะ อันมีอัตตา

68
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 69 (เล่ม 17)

เป็นที่ตั้งให้เกิดขึ้นในรูปนั้นนั่นแล พึงทราบว่า เป็นความสำคัญด้วยอำนาจ
แห่งตัณหาและมานะ.
แต่ในกาลใด ปุถุชนย่อมสำคัญโดยนัยนั้นนั่นแลว่า ก็อัตตาของ
คนอื่นนั้นนั่นแล มีอยู่ ในปฐวี ในกาลนั้น ความสำคัญอันเกิดมาจาก
อำนาจแห่งทิฏฐินั่นแล ย่อมถูก. ส่วนความสำคัญแม้นอกจากนี้ ท่าน
ก็ปรารถนา (เอาเหมือนกัน).
ก็คำว่า ปฐวิโต ในคำว่า ปฐวิโต มญฺญติ เป็นปัญจมีวิภตติ.
เพราะฉะนั้น ปุถุชน เมื่อสำคัญการเกิดขึ้น หรือการจากไป
จากปฐวีมีประเภทตามที่กล่าวแล้วแห่งตนหรือแห่งบุคคลอื่น พร้อมทั้ง
ทรัพย์ศฤงคาร หรือสำคัญว่า อัตตาอื่นจากปฐวี พึงทราบว่า ซึ่งว่า
สำคัญจากปฐวี. นี้เป็นความสำคัญด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิของปุถุชนนั้น.
ก็เมื่อปุถุชนนั้น ยังความสิเนหาและมานะให้เกิดในวัตถุ ที่สำคัญ
กัน ด้วยความสำคัญด้วยอำนาจทิฏฐินั้นนั่นแล พึงทราบว่า เป็น
ความสำคัญด้วยอำนาจตัณหาและมานะ อาจารย์พวกอื่นกล่าวไว้ว่า
ปุถุชนเจริญปฐวีกสิณ อันเป็นปริตตารมณ์ และต่อจากนั้น ยึดเอา
อัตตาอัน ไม่มีประมาณอื่นแล้วสำคัญอยู่ว่า อัตตากองเรา (มี ) แม้ใน
ภายนอกจากปฐวี ดังนี้ ชื่อว่า ย่อมสำคัญจากปฐวี ก็ความสำคัญ
อันหนึ่งที่เป็นไปโดยนัยนี้ว่า ปุถุชนย่อมยึดถือมหาปฐวีอย่างเดียว.
ก็ในคำนี้ว่า ปฐวึ เมติ มญฺญติ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
ก็ความสำคัญที่เป็นไปโดยนัยนี้ว่า ย่อมหวงแหนมหาปฐวีด้วยอำนาจ
ตัณหาถ่ายเดียว พึงทราบว่า ได้แก่ความสำคัญด้วยอำนาจตัณหา
อย่างหนึ่งเหมือนกัน. ก็ความสำคัญด้วยอำนาจตัณหานี้นั้น ควรประกอบ

69
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 70 (เล่ม 17)

เข้าในปฐวีทั้งภายในและภายนอกแม้ทั้งหมด มีประเภทตามที่กล่าวไว้แล้ว
อย่างนี้ว่า ผมของเรา ขนของเรา เหล็กของเรา ดังนี้.
บทว่า ปฐวึ อภินนฺทติ ความว่า ปุถุชน ย่อมเพลิดเพลิน
อธิบายว่า ยินดี ติดใจปฐวี มีประการตามที่กล่าวแล้วนั่นแล ด้วย
กิเลสมีตัณหา เป็นต้น.
หากมีคำถามว่า เมื่อใจความนี้สำเร็จแล้ว ด้วย ๒ บทนี้นั่นแลว่า
ปฐวี มญฺญติ เพราะเหตุไรจึงกล่าวไว้อย่างนี้. ตอบว่า คำนั้น ท่าน
โบราณาจารย์ทั้งหลายไม่ได้เก็บมาวิจารณ์ ก็มตินี้เป็นส่วนตัวของเรา จาก
ลีลาการแสดง หรือจากการเห็นโทษเพราะท่านถึงพร้อมด้วยสีลาแห่งการ
แสดงอันวิจิตรด้วยนัยต่าง ๆ เพราะแทงตลอดธรรมธาตุอันใด ธรรมธาตุ
อันนี้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแทงตลอดด้วยดีแล้ว เพราะฉะนั้น
ท่านครั้นแสดงความเกิดขึ้นแห่งกิเลส ด้วยอำนาจความสำคัญในเบื้องต้น
แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงด้วยอำนาจความยินดี เป็นต้น จึงกล่าวคำนี้ไว้
เพราะลีลาแห่งการแสดงบ้าง.
อีกอย่างหนึ่ง ปุถุชนใดสำคัญปฐวี สำคัญในปฐวี สำคัญจาก
ปฐวี สำคัญว่า ปฐวีของเรา ปุถุชนนี้ เพราะเหตุที่ตนไม่อาจจะละ
ตัณหา หรือทิฏฐิที่อาศัยปฐวีได้ ฉะนั้น จึงยินดีปฐวีโดยส่วนเดียว.
อนึ่ง ปุถุชนใด ยินดีปฐวี ปุถุชนนั้น ย่อมยินดีทุกข์ และทุกข์เป็นโทษ
เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคำนี้ไว้ แม้เพราะการเห็นโทษ. สมดังที่พระผู้-
มีพระภาคเจ้าตรัสพระดำรัสนี้ไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคต
กล่าวว่า ผู้ใด ยินดีปฐวีธาตุ ผู้นั้นยินดีทุกข์ ผู้ใดยินดีทุกข์ ผู้นั้นย่อม
ไม่พ้นไปจากทุกข์ ดังนี้.

70
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 71 (เล่ม 17)

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสความสำคัญและความยินดี อันมี
ปฐวีเป็นที่ตั้งอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงนำเหตุที่เป็นเหตุสำคัญ และยินดี
ของปุถุชนนั้น จึงตรัสว่า เรากล่าวว่า ข้อนั้น เป็นเหตุแห่งอะไร,
ความไม่รู้รอบ เป็นเหตุแห้งข้อนั้น ดังนี้.
ข้อนั้น มีเนื้อความดังต่อไปนี้ ถ้าว่ามีคำถามสอดเข้ามาว่า ปุถุชน
นั้น ย่อมสำคัญปฐวีนั้น เพราะเหตุอะไร คือว่า เพราะเหตุไร จึง
สำคัญยินดีปฐวีนั้น ดังนี้ไซร้. ตอบว่า (เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า) เราตถาคตกล่าวว่า ข้อนั้นอันปุถุชนนั้นมิได้กำหนดรู้แล้ว มี
อธิบายว่า เพราะเหตุที่ข้อนั้น อันปุถุชนนั้นมิได้กำหนดรู้แล้ว จริงอยู่
ปุถุชนใด ย่อมกำหนดรู้ปฐวี ปุถุชนนั้นย่อมกำหนดรู้ด้วยปริญญา ๓
คือ ญาตปริญญา ตีรณปริญญา และปหานปริญญา.
ในปริญญา ๓ อย่างนั้น ญาตปริญญาเป็นไฉน ? คือปุถุชน
ย่อมรู้ปฐวีธาตุว่า ปฐวีธาตุนี้ เป็นไปในภายใน ปฐวีธาตุนี้เป็นไปใน
ภายนอก นี้เป็นลักษณะของปฐวีธาตุนั้น เหล่านี้เป็นกิจ เป็นปัจจุ-
ปัฏฐาน และเป็นปทัฏฐานของปฐวีธาตุนั้น ดังกล่าวมานี้ เรียกว่า
ญาตปริญญา.
ตีรณปริญญาเป็นไฉน? คือปุถุชนพิจารณาปฐวีธาตุ กระทำให้เป็น
สิ่งที่ตนรู้แล้วอย่างนี้ ด้วยอาการ ๔๐ ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นโรค
เป็นต้น ดังกล่าวมานี้ เรียกว่า ตีรณปริญญา.
ปหานปริญญาเป็นไฉน ? คือบุคคลพิจารณาเห็นอย่างนี้แล้ว ย่อม
ละฉันทราคะในปฐวีธาตุด้วยอรหัตตมรรค ดังกล่าวมานี้ เรียกว่า
ปหานปริญญา.

71
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 72 (เล่ม 17)

อีกอย่างหนึ่ง การกำหนดนามและรูป ชื่อว่า ญาตปริญญา. การ
กำหนดรู้มีการพิจารณากลาปะ เป็นเบื้องต้น และอนุโลมญาณ เป็นที่สุด
ชื่อว่า ตีรณปริญญา. ญาณในอริยมรรค ชื่อว่า ปหานปริญญา.
ปุถุชนใด ย่อมกำหนดรู้ปฐวี ปุถุชนนั้นย่อมกำหนดรู้ด้วยปริญญา ๓
เหล่านี้. ก็ปริญญาเหล่านั้น ไม่มีแก่ปุถุชนนั้น เพราะฉะนั้น ปุถุชน
ชื่อว่า ย่อมสำคัญ ย่อมยินดีปฐวี เพราะไม่กำหนดรู้ด้วย เหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนในโลกนี้
ไม่ได้สดับ ฯลฯ ย่อมสำคัญปฐวี ย่อมสำคัญในปฐวี ย่อมสำคัญจาก
ปฐวี ย่อมสำคัญว่า ปฐวีของเรา ชื่อว่า ย่อมยินดีปฐวี ข้อนั้น
เพราะเหตุอะไร เราตถาคตกล่าวว่า (เพราะ) ข้อนั้นอันปุถุชนนั้น
มิได้กำหนดรู้แล้ว.
จบ - ปฐวีวาร
แม้ในข้อนี้ว่า อาปํ อาปโต พึงทราบอาโป ๔ อย่างคือ ลักษณะ
อาโป สสัมภารอาโป อารัมมณอาโป และสมมติอาโป. บรรดาอาโป ๔
อย่างนั้น อาโปที่กล่าวไว้ในประโยคเป็นต้นว่า บรรดาอาโปธาตุ ๒
อย่างเหล่านั้น อาโปธาตุที่เป็นไปในภายในเป็นไฉน ? ได้แก่สิ่งที่
เอิบอาบ ซึมซาบ เชื่อมประสาน (เป็นลักษณะ ) เฉพาะตนอยู่ภายใน
ตัวเอง คืออาโปธาตุที่มีใจครองในภายใจรูป ชื่อว่า ลักษณอาโป.
อาโปกล่าวไว้ในประโยคเป็นต้นว่า บุคคลเรียนเอาอาโปกสิณ ย่อมถือเอา

72
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 73 (เล่ม 17)

นิมิตในอาโป ดังนี้ ชื่อว่า สสัมภารอาโป. คำที่เหลือทั้งหมด
เช่นเดียวกับที่ท่านกล่าวไว้ในปฐวี (แผ่นดิน) นั้นแล แต่เมื่อว่าโดย
นัยแห่งการประกอบความล้วน ๆ อาโปธาตุที่เป็นไปในภายใน ๑๒ อย่าง
ที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยว่า ดี เสมหะ ดังนี้เป็นต้น พึงทราบว่า อาโปธาตุ
ภายใน และอาโปธาตุที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า บรรดาอาโปธาตุ ๒ อย่าง
อาโปธาตุที่เป็นไปในภายนอกเป็นไฉน ? คือสิ่งที่เอิบอาบ ซึมซาบ
เชื่อมประสาน อยู่ภายนอก ได้แก่ความเอิบอาบสิ่งที่ถึงความเอิบอาบ
อาโปธาตุที่ไม่มีใจครองภายนอกรูป คือรสเกิดจากรากเหง้า รสเกิดจาก
ลำต้น รสเกิดจากเปลือก รสเกิดจากใบ รสเกิดจากดอก รสเกิดจากผล
นมสด นมส้ม เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำที่แผ่นดิน
หรือน้ำในอากาศ พึงทราบว่า อาโปธาตุภายนอก และอาโปนั้น ชื่อว่า
นิมิตอาโปในหมวด ๓ แห่งอัชฌัตตารมณ์ .
ในบทว่า เตชํ เตชโต นี้ พึงทราบความพิสดาร โดยนัยที่กล่าว
แล้ว แม้ในวาระแห่งเตโชนั่นแล. แต่ในข้อนี้ เมื่อวาโดยนัยแห่งการ
ขยายความ เตโชธาตุ ๔ อย่าง ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า เตโชธาตุที่เป็น
เหตุให้ร่างกายอบอุ่น ทรุดโทรม กระวนกระวาย และที่เป็นเหตุเผา
อาหารให้ย่อย พึงทราบว่า เตโชธาตุภายใน และเตโชธาตุที่ท่านกล่าวไว้
อย่างนี้ว่า บรรดาเตโชธาตุ ๒ อย่างนั้น เตโชธาตุที่เกินไปในภายนอก
เป็นไฉน ? คือสิ่งที่ร้อน อบอุ่นในภายนอก คือเตโชธาตุที่ไม่มีใจ
ครองในภายนอก ได้แก่ไฟเกิดจากไม้ ไฟเกิดจากสะเก็ดไม้ ไฟเกิด
จากหญ้า ไฟเกิดจากขี้วัว ไฟเกิดจากแกลบ ไฟเกิดจากกองขยะ ไฟเกิด
จากเชื้อ ความร่อนเกิดจากไฟ ความร้อนเกิดจากแสงพระอาทิตย์ ความ

73
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 74 (เล่ม 17)

ร้อนเกิดจากการทับถมแห่งท่อนไม้ ความร้อนเกิดจากการทับถมแห่งหญ้า
ความร้อนเกิดจากการทับถมแห่งข้าวเปลือก ความร่อนเกิดจากการทับถม
แห่งสิ่งของ ดังนี้ พึงทราบว่า เตโชธาตุภายนอก.
ก็ในนัยแห่งการอธิบายความแม้แห่งวาระนี้ว่า วายํ วายโต มี
อธิบายดังต่อไปนี้ วาโยธาตุ ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ลมที่พัดขึ้น
เบื้องบน ลมที่พัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในลำไส้ ลมที่แผ่ไป
ซ่านไปตามอวัยวะน้อยใหญ่ ลมมีพิษดุจศาสตรา ลมมีพิษดุจคมมีด ลมมี
พิษดุจก้านบัว ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า พึงทราบว่า วาโยธาตุภายใน
และลมที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า บรรดาวาโยธาตุ ๒ อย่างนั้น วาโยธาตุใน
ภายนอกเป็นไฉน ? คือสิ่งที่กระพือพัดเคลื่อนไหวในภายนอก ได้แก่
วาโยธาตุภายนอกของรูปไม่มีใจครอง คือลมทิศตะวันออก ลมทิศตะวันตก
ลมทิศเหนือ ลมทิศใต้ ลมฝุ่น ลมไม่มีฝุ่น ลมหนาว สมร้อน ลมอ่อน
ลมแรง ลมหัวด้วน ลมที่เกิดจากนกบิน ลมที่เกิดจากครุฑบิน ลมงวง
ลมเกิดจากการพัดวี พึงทราบว่า วาโยธาตุภายนอก. คำที่เหลือ มีนัย
ดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.
หารนัยที่ชื่อว่า ลักษณะ นี้ใด (ที่มีมา ) ในเนตติปกรณ์อย่างนี้ว่า
เมื่อกล่าวถึงธรรมอย่างหนึ่งแล้ว ด้วยธรรมอย่างหนึ่งนั้น ก็เป็นอัน
กล่าวถึงธรรมทุกอย่าง ที่มีลักษณะอย่างเดียวกันด้วย ลักษณะหารนัย
ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ดังนี้ เป็นอันท่านกล่าวไว้ด้วยความประมาณเท่านี้
ด้วยอำนาจแห่งหารนัยนั้น เพราะเหตุที่เมื่อถือเอามหาภูตรูปทั้ง ๔
ก็ย่อมเป็นอันถือเอาอุปาทายรูปไว้ด้วย เพราะอุปาทายรูปไม่ล่วงพ้น
ลักษณะรูปไปได้ มหาภูตรูป และอุปาทายรูปอันใด อันนั้นเป็นรูปขันธ์

74
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 75 (เล่ม 17)

ฉะนั้น พระผู้พระภาคเจ้าเมื่อตรัสว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมสำคัญ
ปฐวี อาโป เตโช วาโย ก็ย่อมเป็นอันตรัสว่า เขาย่อมพิจารณาเห็น
รูปว่า เป็นอัตตาด้วย.
เมื่อตรัสว่า ปุถุชนย่อมสำคัญในปฐวี อาโป เตโช วาโย ย่อม
เป็นอันตรัสว่า ย่อมพิจารณาเห็นอัตตาในรูป ดังนี้. เมื่อตรัสว่า ย่อม
สำคัญจากปฐวี อาโป เตโช วาโย ย่อมเป็นอันตรัสว่า ย่อมพิจารณา
เห็นอัตตา อันมีรูป และรูปในอัตตา เพราะสำเร็จความว่า อัตตา
เป็นอื่นจากรูป ดังนี้.
พึงทราบความสำคัญด้วยอำนาจแห่งสักกายทิฏฐิ อันมีรูปเป็นที่ตั้ง ๔0
ประการเหล่านี้ ดังกล่าวมานี้ .
ในข้อนี้พึงทราบความแตกต่างกันแม้นี้ว่า บรรดาทิฏฐิ ๔ ประการ
นั้น เป็นอุจเฉททิฏฐิ ๑ เป็นสัสสตทิฏฐิ ๒ ดังนั้น ทิฏฐิจึงมี ๒ อย่าง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสความสำคัญซึ่งมีสังขารเป็นที่ตั้ง โดยมีรูปหนึ่ง
ประธานอย่างนี้แล้ว บัดนี้ สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดถูกบัญญัติขึ้น เพราะ
อาศัยสังขารทั้งหลาย เพราะเหตุที่ปุถุชนกระทำความสำคัญแม้ในสัตว์
ทั้งหลายเหล่านั้น ฉะนั้น เมื่อชี้แสดงสัตว์เหล่านั้นอยู่ จึงตรัสคำมีอาทิว่า
ชื่อว่าย่อมสำคัญภูตทั้งหลายโดยความเป็นภูต ดังนี้.
ความหมายของ ภูต ศัพท์
ในข้อนี้ ภูตศัพท์นี้ ใช้ในอรรถเป็นต้นว่า ขันธ์ ๕, อมนุษย์,
ธาตุ, มีอยู่, พระขีณาสพ, สัตว์ และต้นไม้.
จริงอยู่ ภูตศัพท์นี้ใช้ในอรรถว่า ขันธ์ ๕ ดังในประโยคเป็นต้นว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพิจารณาดูว่า นี้เป็นภูต.

75