No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 46 (เล่ม 17)

มานะเกิดเพราะปริยัติ
ดังได้สดับมา พราหมณ์ ๕๐๐ คน เรียนจบไตรเพท ภายหลัง
ได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเห็นโทษในกามทั้ง-
หลาย เห็นอานิสงส์ในการออกบวช จึงออกบวชอยู่ในสำนักของพระผู้มี-
พระภาคเจ้า ต่อกาลไม่นานเลย ก็เรียนเอาพระพุทธพจน์ทั้งหมด
เพราะอาศัยการศึกษาเล่าเรียน จึงเกิดมานะขึ้นว่า พวกเรารู้พระพุทธพจน์
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้พลันทีเดียว เพราะว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
จะไม้ตรัสเรื่องอะไร ๆ นอกเหนือจากลิงค์ ๓ บท ๔ และวิภัตติ ๗
ก็เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนี้ ขึ้นชื่อว่าบทที่เป็นเงื่อนงำ (ไม่เข้าใจ) สำหรับ
พวกเราย่อมไม่มี ดังนี้. ภิกษุเหล่านั้น ไม่มีความเคารพในพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า จำเดิมแต่นั้น ก็ไม่ไปอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง ไม่ไป
ฟังธรรมเป็นประจำบ้าง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบวารจิตนั้นของ
ภิกษุเหล่านั้น ทรงดำริว่า ภิกษุเหล่านี้ ยังถอนตะปูคือมานะไม่ได้ ก็ไม่
ควรเพื่อทำให้แจ้งมรรค หรือผล ทรงกระทำมานะที่เกิดขึ้น เพราะอาศัย
การเล่าเรียนสุตะของภิกษุเหล่านั้นให้เป็นต้นเหตุเกิดเรื่อง จึงเริ่มการ
แสดงธรรมว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ฉลาดในการแสดงมูลปริยาย-
สูตรแห่งธรรมทั้งปวง เพื่อจะหลักเสียซึ่งมานะ (ของภิกษุเหล่านั้น) ดังนี้.
ความหมายของมูลปริยายสูตรและธรรมมะ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพธมฺมมูลปริยายํ แปลว่า พระ
สูตรว่าด้วยเหตุที่เป็นมูลฐานแห่งธรรมทั้งปวง. บทว่า สพฺเพสํ แปลว่า

46
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 47 (เล่ม 17)

ไม่มีส่วนเหลือ จริงอยู่ ศัพท์ว่า สัพพะ นี้ บ่งถึงความไม่มีส่วนเหลือ.
ศัพท์ว่า สัพพ นั้น ย่อมแสดงถึงสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกันไม่ให้เหลือ เหมือน
อย่างในประโยคเป็นต้นว่า รูปทั้งปวงไม่เที่ยง เวทนาทั้งปวงไม่เที่ยง
ในบรรดาธรรมที่เกี่ยวเนื่องในกายของตนทั้งหมด ดังนี้.
ส่วนศัพท์ว่า ธัมมะ นี้ ย่อมปรากฏในศัพท์เป็นต้นว่า ปริยัตติ
สัจจะ สมาธิ ปัญญา ปกติ สภาวะ สุญญตา ปุญญะ อาปัตติ และ
เญยยะ.
จริงอยู่ ศัพท์ว่า ธัมมะ ย่อมปรากฏในอรรถว่า ปริยัตติ ดังใน
ประโยคเป็นต้นว่า ภิกษุในพระธรรมวินัย ย่อมเรียนธรรม คือ สุตตะ
เคยยะ ดังนี้.
ปรากฏในอรรถว่า สัจจะ ตังในประโยคเป็นต้นว่า พระธรรม
อันบัณฑิตเห็นแล้ว คือรู้แล้ว ดังนี้.
ปรากฏในอรรถว่า สมาธิ ดังในประโยคเป็นต้นว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าเหล่านั้น มีธรรมอย่างนี้.
ปรากฏในอรรถว่า ปัญญา ในประโยคเป็นต้นว่า
ดูก่อนพญาวานร ท่านผู้ใดมีธรรม ๔ เหล่านี้ คือ
สัจจะ ธรรมะ ธิติ และจาคะ ดุจท่าน ท่านผู้นั้น
ย่อมก้าวล่วง (ไม่ตกอยู่ ) ในอำนาจศัตรู ดังนี้.
ปรากฏในอรรถว่า ปกติ ในประโยคเป็นต้นว่า มีความเกิดเป็น
ธรรมดา มีความแก่เป็นธรรมดา ดังนี้.
ปรากฏในอรรถว่า สภาวะ ในประโยคเป็นต้นว่า กุศลธรรม
ดังนี้.

47
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 48 (เล่ม 17)

ปรากฏในอรรถว่า สุญญตา ในประโยคเป็นต้นว่า ก็ในสมัย
นั้นแล พระธรรมทั้งหลาย ย่อมมี ดังนี้.
ย่อมปรากฏในอรรถว่า ปุญญะ (บุญ) ในประโยคเป็นต้นว่า
พระธรรมที่ประพฤติดีแล้ว (สะสมไว้ดีแล้ว) ย่อมนำสุขมาให้ ดังนี้.
ย่อมปรากฏในอรรถว่า อาปัตติ ในประโยคเป็นต้นว่า ธรรมทั้ง-
หลายที่เป็นอนิยต ๒ ประการ ดังนี้.
ปรากฏในอรรถว่า เญยยะ ในประโยคเป็นต้นว่า พระธรรมทั้ง -
ปวง ย่อมมาสู่คลอง ในพระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยอาการ
ทั้งปวง ดังนี้.
แต่ในที่นี้ ธัมมะศัพท์นี้ ย่อมเป็นไปในอรรถว่า สภาวะ ในคำ
ว่า ธรรมนั้น มีอรรถพจน์ดังนี้ว่า สภาวะเหล่าใดย่อมทรงไว้ซึ่งลักษณะ
ของตน เหตุนั้น สภาวะเหล่านั้น ชื่อว่า ธรรมะ.
มูล ศัพท์ ท่านกล่าวไว้พิสดารด้วยทีเดียว. แต่ในที่นี้มูลศัพท์นี้
พึงทราบว่า ลงในอรรถว่า เหตุที่ไม่ทั่วไป.
ปริยาย ศัพท์ ย่อมลงในอรรถว่า เทศนา ดังในประโยคเป็นต้น
ว่า ท่านจงจำพระสูตรนั้นว่า มธุปิณฑปริยายสูตร ดังนี้.
ปริยายศัพท์ ลงในอรรถว่า การณะ (เหตุ) ดังในประโยคเป็น
ต้นว่า พระสมณโคดมผู้เป็นอกิริยวาที เพื่อตรัสโดยชอบ พึงตรัส
กะเราโดยเหตุใด ดูก่อนพราหมณ์ เหตุนั้นแล มีอยู่ ดังนี้.
ลงในอรรถว่า วาระ ในประโยคเป็นต้นว่า ดูก่อนอานนท์
วันนี้เป็นวาระของใครหนอแล เพื่อจะกล่าวสอนนางภิกษุณีทั้งหลาย
ดังนี้.

48
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 49 (เล่ม 17)

แต่ในที่นี้ (ปริยายศัพท์นั้น) ย่อมลงสู่ในอรรถว่า การณะบ้าง
เทศนาบ้าง. เพราะฉะนั้น ปริยายศัพท์ ในคำนี้ว่า สพฺพธมฺมมูลปริยายํ
ดังนี้ พึงทราบอย่างนี้ว่า การณะ ที่รู้กันว่า เหตุที่ไม่ทั่วไปแก่ธรรมทั้ง-
ปวง หรือว่าเทศนา คือ การณะ (เหตุ) แห่งธรรมทั้งปวง ดังนี้.
อนึ่ง สภาวธรรมทั้งหลาย แม้ที่เป็นในภูมิ ๔ ไม่พึงเข้าใจว่า
ชื่อว่า ธรรมทั้งปวง เพราะเหตุที่สูตรนั้นมีเนื้อความที่จะต้องแนะนำ แต่
สภาวธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ เท่านั้น ที่นับเนืองในสักกายทิฏฐิ พึงเข้า
ใจว่า ธรรมทั้งปวง โดยไม่มีส่วนเหลือ. ในข้อนี้มีการอธิบายความดังว่า
มานี้แล.
หลักการใช้ โว ศัพท์
โว ศัพท์ ในบทว่า โว นี้ ย่อมใช้ในปฐมาวิภัตติ ทุติยาวิภัตติ
ตติยาวิภัตติ จตุตถีวิภัตติ ฉัฏฐีวิภัตติ และปทปูรณะ (ทำบทให้เต็ม).
อธิบายว่า
โว ศัพท์ ใช้ในปฐมวิภัตติ ดังในประโยคเป็นต้นว่า ดูก่อน
อนุรุทธะ ก็เธอทั้งหลาย ยังเป็นผู้สามัคคี บันเทิงอยู่ ไม่โกรธกัน
อยู่หรือ ดังนี้.
ใช้ในทุติยาวิภัตติ ดังในประโยคเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงไป เราตถาคตขอประฌามพวกเธอ ดังนี้.
ใช้ในตติยาวิภัตติ ดังในประโยคเป็นต้นว่า อันพวกเธอไม่ควรอยู่
ในสำนักของเราตถาคต ดังนี้.
ใช้ในจตุตถีวิภัตติ ดังในประโยคเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

49
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 50 (เล่ม 17)

เราตถาคต จักแสดงวนปัตถปริยายสูตรแก่พวกเธอ ดังนี้.
ใช้ในฉัฏฐีวิภัตติ ดังในประโยคเป็นต้นว่า ดูก่อนสารีบุตร เละ
โมคคัลลานะ นี้เป็นสุภาษิตของเธอทั้งปวง ดังนี้.
ใช้ในอรรถว่า สักว่าทำบทให้เต็ม ดังในประโยคเป็นต้นว่า ก็
พระอริยะเหล่าใดมีกายกรรมบริสุทธิ์ ดังนี้. แต่ในที่นี้ โว ศัพท์นี้
พึงทราบว่าใช้ในจตุตถีวิภัตติ.
บทว่า ภิกฺขเว เป็นการตรัสเรียกภิกษุที่อยู่เฉพาะพระพักตร์ซ้ำอีก
ด้วยการให้รับฟัง. บทว่า เทเสสฺสามิ เป็นการเตือนให้รู้ว่าจะแสดง
ธรรม. อธิบายไว้ดังนี้ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงมูลเหตุแห่งธรรม
ทั้งปวงแก่เธอทั้งหลาย, เราจักแสดงเทศนาอันเป็นตัวเหตุโดยนัยที่ ๒ แก่
พวกเธอ ดังนี้. สองบทว่า ตํ สุณาถ ความว่า เธอทั้งหลายจงฟังใจ
ความนั้น คือเหตุนั้น ได้แก่เทศนานั้นที่เราจะกล่าวอยู่. ก็ ๒ บทนี้ว่า
สาธุกํ สาธุ ในคำนี้ว่า สาธุกํ มนสิกโรถ ดังนี้ มีใจความอันเดียวกัน.
หลักการใช้ สาธุ ศัพท์
อนึ่ง สาธุ ศัพท์นี้ ใช้ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า อายาจนะ
(อ้อนวอน ) สัมปฏิจฉนะ (รับ) สัมปหังสนะ (ร่าเริง) สุนทระ
(ดี) และทัฬหีกรม (ทำให้มั่น). อธิบายว่า :-
สาธุ ศัพท์ ใช้ในอรรถว่า อ้อนวอน ดังในประโยคเป็นต้นว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า
จงทรงแสดงพระธรรมแก่ข้าพระองค์ โดยสังเขป ดังนี้. ใช้ในอรรถ
ว่า รับ ดังในประโยคเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นแล ชื่นชม

50
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 51 (เล่ม 17)

ยินดีสุภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดีละ พระพุทธเจ้าข้า ดังนี้.
ใช้ในอรรถว่า ร่าเริง ดังในประโยคเป็นต้นว่า ดีละ ๆ สารีบุตร ดังนี.
ใช้ในอรรถว่า ดี ดังในประโยคเป็นต้นว่า
พระราชาผู้รักธรรม เป็นคนดี, คนที่มีปัญญา (ใช้
ปัญญาในทางดี) เป็นคนดี, คนที่ไม่ทำลายมิตร
เป็นคนดี การไม่ทำบาป เป็นความดี ดังนี้.
สาธุกศัพท์ ก็เหมือนกัน ใช้ในอรรถว่า กระทำให้มั่น ท่าน
กล่าวไว้ว่า ใช้ในอรรถว่า บังคับบ้าง ดังในประโยคเป็นต้นว่า ดูก่อน
พราหมณ์ ถ้าเช่นนั้น ท่านจงฟังให้ดี ดังนี้.
ถึงในพระสูตรนี้ ก็พึงเข้าใจความหมายอย่างเดียวกันนี้ ใช้ทั้งใน
การทำให้มั่น ทั้งในการบังคับนี้แหละ แม้จะใช้ในอรรถว่า ดี ก็ควร.
จริงอยู่ ด้วยสาธุกศัพท์ที่มีความหมายว่า ทำให้มั่น พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าทรงแสดงแม้คำนี้ว่า เธอทั้งหลายเมื่อจะเรียนให้ดี จงฟังธรรม
นี้ให้มั่น, ที่มีความหมายว่า บังคับ ทรงแสดงคำแม้นี้ว่า เธอทั้งหลาย
จงฟังตามอาณัติของเรา ที่มีความหมายว่า ดี ทรงแสดงคำแม้นี้ว่า เธอ
ทั้งหลายจงฟังธรรมนี้ให้ดี ให้งาม.
บทว่า มนสิกโรถ ความว่า สนใจ คือใส่ใจ อธิบายว่า มีจิต
ไม่ฟุ้งซ่าน พิจารณา คือกระทำไว้ในใจ ดังนี้.
บัดนี้ คำว่า ตํ สุณาถ นี้ ในอธิการนี้ เป็นการห้ามความฟุ้งซ่าน
แห่งโสตินทรีย์, คำว่า สาธุกํ มนสิกโรถ เป็นการห้ามความฟุ้งซ่าน
แห่งมนินทรีย์ ด้วยการประกอบทำให้มั่นไว้ในใจ.
อนึ่ง ใน ๒ คำนี้ คำแรก เป็นการห้ามถือเอาผิดโดยพยัญชนะ

51
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 52 (เล่ม 17)

คำหลัง เป็นการห้ามถือเอาผิดโดยอรรถ. ดังในประโยคเป็นต้นว่า ท่าน
ประกอบการฟังธรรมด้วยคำแรก ประกอบการทรงจำ และการใคร่
ครวญธรรมะที่ได้สดับแล้วด้วยคำหลัง. อนึ่ง ท่านแสดงว่า พระ
ธรรมนี้ ถึงพร้อมด้วยพยัญชนะด้วยข้อแรก เพราะฉะนั้น จึงเป็นสิ่ง
ควรฟัง และท่านแสดงว่า พระธรรมนี้ ถึงพร้อมด้วยอรรถด้วยคำหลัง
เพราะฉะนั้น จึงเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจ.
อีกอย่างหนึ่ง เพราะเอาบทว่า สาธุกะ ประกอบเข้าไว้ด้วยกันทั้ง
๒ บท บัณฑิตพึงทราบการประกอบความอย่างนี้ว่า เพราะเหตุที่พระ
ธรรมนี้เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง และเป็นเทศนาที่ลึกซึ้ง ฉะนั้น เธอ
ทั้งหลายจงฟังให้ดี. เพราะเหตุที่พระธรรมนี้ มีความหมายอันลึกซึ้ง และ
มีปฏิเวธอันลึกซึ้ง ฉะนั้น เธอทั้งหลายจงใส่ใจไว้ให้ดี ดังนี้.
บทว่า ภาสิสฺสามิ แปลว่า เราตถาคตจักแสดง คือจักแสดง
เทศนาที่ประกาศไว้ในคำนี้ว่า เธอทั้งหลายจงฟังเรื่องนั้นโดยไม่ย่นย่อ
ทีเดียว. อีกประการหนึ่งแลมีอธิบายไว้ว่า เราจักกล่าวเรื่องนั้นแม้โดย
พิสดาร ดังนี้. จริงอยู่ บทเหล่านี้ระบุเนื้อความทั้งโดยย่อและพิสดาร.
สมดังที่พระวังคีสเถระกล่าวไว้ว่า
ท่านจะแสดงโดยย่อก็ตาม จะกล่าวโดยพิสดารก็
ตาม เสียงไม่ก้องกังวานดุจนกสาลิกา แต่ก็แสดง
อย่างมีปฏิภาณ ดังนี้.
เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นแล เกิดอุตสาหะรับพระพุทธ-
ดำรัส. อธิบายว่า รับเอา คือถือเอาพระดำรัสของพระศาสดาว่า อย่าง
นั้นพระองค์ผู้เจริญ.

52
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 53 (เล่ม 17)

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ คือได้ตรัสพระสูตร
ทั้งสิ้นนี้ คือที่จะต้องกล่าวต่อไปนี้ มีเป็นต้นว่า อิธ ภิกฺขเว ดังนี้. บทว่า
อิธ ในคำว่า อิธ ภิกฺขเว นั้น เป็นนิบาต ใช้ในการอ้างสถานที่.
ในที่บางแห่งพระองค์ตรัสหมายเอา โลก. สมดังพระธรรมสังคาหกาจารย์
กล่าวไว้ว่า พระตถาคตย่อมเสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ ดังนี้. ในที่บางแห่ง
ท่านกล่าวหมายเอา ศาสนา. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย สมณะ (ที่ ๑) ในพระศาสนานี้แลมีอยู่ สมณะที่ ๒
ในพระศาสนานี้มีอยู่ ดังนี้. ในที่บางแห่ง ท่านกล่าวหมายเอา โอกาส
ดังท่านกล่าวไว้ว่า.
ดูก่อนเพื่อร่วมทุกข์ เมื่อเราเกิดเป็นเทวดาดำรงอยู่
ในโอกาสนี้นั่นแล และเราได้อายุเพิ่มอีก ท่านจง
ทราบอย่างนี้ ดังนี้.
ในที่บางแห่ง ท่านกล่าวหมายเอาเพียงทำบทให้เต็มเท่านั้น. สมดังที่พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เราตถาคตบริโภค
เสร็จแล้ว ห้ามภัตรแล้ว ดังนี้. แต่ในที่นี้พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมาย
เอา โลก ดังนี้.
บทว่า อิธ ภิกฺขเว ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ
ทั้งหลายมาอีก เพื่อทรงแสดงเทศนาตามที่ได้ทรงปฏิญาณไว้. แม้ด้วยบท
ทั้ง ๒ ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในโลกนี้ ดังนี้.

53
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 54 (เล่ม 17)

ความหมายของปุถุชน
ก็ในบทว่า อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
ปุถุชน ชื่อว่า เญยยะ เพราะไม่มีอารม ชื่อว่า อัสสุตวา เพราะไม่มี
อธิคม. อธิบายว่า ปุถุชนใด ชื่อว่า ไม่มีอาคมที่ขจัดความไม่รู้ เพราะ
ไม่รู้เหตุที่เว้นจากการเรียน การสอบถาม และการวินิจฉัยในขันธ์ ธาตุ
อายตนะ สัจจะ ปัจจยาการ และสติปัฏฐาน เป็นต้น ชื่อว่า ไม่มีอธิคม
เพราะไม่ได้บรรลุธรรมที่จะพึงบรรลุด้วยการปฏิบัติ ปุถุชนนั้นจึงชื่อว่า
เญยยะ เพราะไม่มีอาคม ชื่อว่า อัสสุตวา เพราะไม่มีอธิคม.
ชนนี้นั้น ชื่อว่า ปุถุชน เพราะเหตุทั้งหลายมีการ
ยังกิเลสหนาให้เกิดเป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง ชนนี้
ชื่อว่า หนา (ปุถุ) เพราะหยั่งลงภายในกิเลสที่หนา.
จริงอยู่ ชนนั้น ซึ่งว่า ปุถุชน เพราะเหตุทั้งหลาย มีอาทิคือ ยัง
กิเลสเป็นต้น ที่หนามีประการต่าง ๆ ให้เกิด. สมดังพระธรรมสังคาห-
กาจารย์กล่าวไว้ว่า ชนทั้งกลาย ซึ่งว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า กังกิเลส
หนาให้เกิด, ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า ถูกสักกายทิฏฐิเบียดเบียน
มาก, ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า ต้องคอยมองดูศาสดาบ่อย ๆ ชื่อ
ว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า ยังไม่หลุดพ้นไปจากคติทั้งปวงที่หนาแน่น,
ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า ปรุงแต่งเครื่องปรุงแต่งต่าง ๆ เป็นอัน
มาก, ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า ถูกโอฆะต่าง ๆ เป็นอันมากพัดพา
ไป, ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า เดือดร้อนด้วยความเดือดร้อนต่าง ๆ
เป็นอันมาก, ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า เราเดือดร้อนด้วยความเร่าร้อน

54
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ – หน้าที่ 55 (เล่ม 17)

ต่าง ๆ เป็นอันมาก ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า กำหนัด ติดใจ
สยบ ลุ่มหลง ติดขัด ขัดข้อง พัวพัน ในกามคุณ ๕ เป็นอันมาก.
ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอรรถว่า ถูกนิวรณ์ ๕ ร้อยรัดไว้ ปกคลุม ปิดบัง
ครอบงำไว้เป็นอันมาก, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปุถุชน เพราะอยู่ใน
หมู่ชนผู้มีธรรมจริยาต่ำ ผู้หันหลังให้กับอริยธรรม จำนวนมาก คือ
นับไม้ถ้วน ซึ่งหันหลังให้อริยธรรม, อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปุถุชน
เพราะอรรถว่า ชนนี้ถึงการนับว่าแยกอยู่ต่างหาก คือ ไม้เกี่ยวข้องกับ
พระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้ประกอบด้วยคุณ มีศีล และสุตะเป็นต้น. ด้วย
๒ บทว่า อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน นี้ ดังกล่าวมานี้
ในบรรดาปุถุชน ๒ จำพวกที่พระพุทธเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ได้ตรัสไว้ คือ อันธปุถุชน
พวกหนึ่ง กัลยาณปุถุชนพวกหนึ่ง พึงทราบว่า ท่าน
กล่าวหมายถึงอันธปุถุชน.
อริยะ - สัตบุรุษ
คำว่า อริยะ ในคำเป็นต้นว่า อริยานํ อทสฺสาวี ท่านกล่าว
หมายเอา พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระพุทธสาวก เพราะ
เป็นผู้ไกลจากกิเลส ไม่ดำเนินไปในทางเสื่อม ดำเนินไปในทางเจริญ
และอันชาวโลก พร้อมทั้งเทวโลก พึงดำเนินตาม.
อีกอย่างหนึ่ง พระอริยะในที่นี้ก็คือพระพุทธเจ้านั่นเอง. สมดังที่
พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตท่านเรียกว่า
อริยะ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ฯลฯ.

55