No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 452 (เล่ม 16)

ตามคลองธรรม. ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ เป็นไปในส่วนวิเศษ.
[๔๗๒] ธรรม ๑๐ อย่าง แทงตลอดได้ยากเป็นไฉน. ได้แก่
อริยวา ๑๐ คือ ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละองค์
๕ ได้แล้ว ประกอบด้วยองค์ ๖ มีธรรมอย่างเดียวเป็นเครื่องรักษา มีธรรม
เป็นพนักพิง ๔ ด้าน มีสัจจะเฉพาะอย่างบรรเทาแล้ว มีความแสวงหาทุก
อย่างอันสละแล้ว มีความดำริไม่ขุ่นมัว มีกายสังขารอันระงับแล้ว มีจิต
หลุดพ้นดีแล้ว มีปัญญาหลุดพันดีแล้ว.
ก็อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว. กามฉันทะ พยาบาท
ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจีกิจฉา เป็นโทษอันภิกษุในธรรมวินัยนี้ละ
ได้แล้ว. อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ละองค์ ๕ ได้แล้ว.
ก็อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๖. ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เห็นรูปด้วยตา . . . ฟังเสียงด้วยหู . . . ดมกลิ่นด้วยจมูก . . . ลิ้มรสด้วยลิ้น. . . .
ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย . . . รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ยินดีไม่ยินร้าย
เป็นผู้วางเฉยมีสติสัมปชัญญะอยู่. อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วย
องค์ ๖.
ก็อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีธรรมอย่างเดียวเป็นเครื่องรักษา. ภิกษุ
ในธรรมวินัยนี้ ประกอบแล้วด้วยใจ มีสติเป็นเครื่องรักษา. อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่ามีธรรมอย่างเดียวเป็นเครื่องรักษา.
ก็อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีธรรมเป็นพนักพิง ๔ ด้าน. ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ พิจารณาแล้วเสพของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วอดกลั้นของอย่างหนึ่ง
พิจารณาแล้ว เว้นของอย่างหนึ่ง พิจารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนึ่ง.

452
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 453 (เล่ม 16)

อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีธรรมเป็นพนักพิง ๔ ด้าน.
ก็อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีสัจจะเฉพาะอย่างอันบรรเทาแล้ว. สัจจะ
เฉพาะอย่างเป็นอันมาก ของสมณพราหมณ์เป็นอันมาก อันภิกษุในธรรม
วินัยนี้บรรเทาแล้ว บรรเทาดีแล้ว สละคายปล่อยละสละคืนเสียหมดสิ้น
แล้ว. อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีสัจจะเฉพาะอย่างอันบรรเทาแล้ว.
ก็อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีการแสวงหาทุกอย่างอันสละแล้ว. ภิกษุใน
ธรรมวินัยนี้สละการแสวงหากาม ละการแสวงหาภพ ละการแสวงหา
พรหมจรรย์. อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีการแสวงหาทุกอย่างอันสละแล้ว.
ก็อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีความดำริไม่ขุ่นมัว. ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ละความดำริในกาม ในความพยาบาท ในความเบียดเบียน. อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่ามีความดำริไม่ขุ่นมัว.
ก็อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีกายสังขารอันระงับแล้ว. ภิกษุในธรรมวินัย
นี้ บรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ เพราะดับ
โสมนัสและโทมนัสก่อน ๆ เสียได้ มีอุเบกขาและสติบริสุทธิ์อยู่. อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่ามีกายสังขารอันระดับแล้ว.
ก็อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีจิตหลุดพ้นดีแล้ว. จิตของภิกษุในธรรมวินัย
นี้ หลุดพ้นแล้วจากราคะ โทสะ โมหะ อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่ามีจิตหลุดพ้น
ดีแล้ว.
ก็อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีปัญญาหลุดพ้นดีแล้ว. ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ย่อมรู้ชัดว่า ราคะ โทสะ โมหะ อันเราละแล้ว ถอนรากแล้ว ทำให้เหมือน
ตาลยอดด้วน ถึงความไม่มี มีอันไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา. อย่างนี้แล
ภิกษุชื่อว่ามีปัญญาหลุดพ้นดีแล้ว. ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ แทงตลอดได้ยาก.

453
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 454 (เล่ม 16)

[๔๗๓] ธรรม ๑๐ อย่างควรให้เกิดขึ้นเป็นไฉน. คือ สัญญา ๑๐
ได้แก่ อสุภสัญญา กำหนดหมายความไม่งามแห่งกาย มรณสัญญากำหนด
หมายในความตาย อาหาเร ปฏิกูลสัญญา กำหนดหมายในอาหารว่า เป็น
ปฏิกูล สัพพโลเก อนภิรตสัญญา กำหนดหมายความไม่น่ายินดี ในโลก
ทั้งปวง อนิจจสัญญา กำหนดหมายความไม่เที่ยง อนิจเจ ทุกขสัญญา
กำหนดหมายในสิ่งไม่เที่ยงว่าเป็นทุกข์ ทุกเข อนัตตสัญญา กำหนดหมาย
ในทุกข์ว่าไม่ใช่ตัวตน ปหานสัญญา กำหนดหมายการละ วิราคสัญญา
กำหนดหมายวิราคธรรม นิโรธสัญญา กำหนดหมายนิโรธความดับ.
ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ ควรให้เกิดขึ้น.
[๔๗๔] ธรรม ๑๐ อย่างควรรู้ยิ่งเป็นไฉน. ได้แก่ นิชชิณณวัตถุ
๑๐ คือ ความเห็นผิดอันบุคคลผู้เห็นชอบย่อมละได้ ทั้งอกุศลธรรมอัน
ลามกไม่น้อย ที่เกิดเพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัยเขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรม
ไม่น้อยย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมาทิฏฐิเป็นปัจจัย ความดำริ
ผิดอันบุคคลผู้ดำริชอบย่อมละได้ . . . เพราะมิจฉาสังกัปปะเป็นปัจจัย . . .
เพราะสัมมาสังกัปปะเป็นปัจจัย . . . เจรจาผิดอันบุคคลผู้เจรจาชอบยอม
จะได้ . . . เพราะมิจฉาวาจาเป็นปัจจัย . . . เพราะสัมมาวาจาเป็นปัจจัย. . .
การงานผิดอันบุคคลผู้ทำการงานชอบย่อมละได้. . .เพราะมิจฉากัมมันตะ
เป็นปัจจัย . . . เพราะสัมมากัมมันตะเป็นปัจจัย . . . เลี้ยงชีพผิดอัน
บุคคลผู้เลี้ยงชีพชอบย่อมละได้ . . . เพราะมิจฉาอาชีวะเป็นปัจจัย . . .
เพราะสัมมาอาชีวะเป็นปัจจัย . . . ความพยายามผิด อันบุคคลผู้พยายาม
ชอบย่อมละได้ . . . เพราะมิจฉาวายามะเป็นปัจจัย . . . เพราะสัมมา

454
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 455 (เล่ม 16)

วายามะเป็นปัจจัย. . . ความระลึกผิด อันบุคคล ผู้ระลึกชอบย่อมละได้ . . .
เพราะมิจฉาสติเป็นปัจจัย . . . เพราะสัมมาสติเป็นปัจจัย . . . ความตั้ง
ใจผิด อันบุคคลผู้ตั้งใจชอบ ย่อมละได้ . . . เพราะมิจฉาสมาธิเป็นปัจจัย . .
เพราะสัมมาสมาธิเป็นปัจจัย . . . ความรู้ผิด อันบุคคลผู้รู้ชอบ ย่อมละได้. . .
เพราะมิจฉาญาณเป็นปัจจัย . . . เพราะสัมมาญาณเป็นปัจจัย . . . ความพ้น
ผิดอันบุคคลผู้พ้นชอบ ย่อมสละได้ ทั้งอกุศลธรรมอันลามกไม่น้อย ที่เกิด
เพราะมิจฉาวิมุตติเป็นปัจจัย เขาก็ละได้ ส่วนกุศลธรรมไม่น้อย ย่อมถึง
ความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมาวิมุตติเป็นปัจจัย . ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้
ควรรู้ยิ่ง.
[๔๗๕] ธรรม ๑๐ อย่าง ควรทำให้แจ้งเป็นไฉน. ได้แก่
อเสขธรรม ๑๐ คือ ความเห็นชอบเป็นของพระอเสขะ. .. ความดำริชอบ. . .
เจรจาชอบ . . . การงานชอบ . . . เลี้ยงชีพชอบ. . . พยายามชอบ . . .ระลึก
ชอบ. . . ตั้งใจชอบ . . . ความรู้ชอบ. . . ความพ้นชอบ เป็นของพระอเสขะ.
ธรรม ๑๐ อย่างเหล่านี้ ควรทำให้แจ้ง. ธรรมหนึ่งร้อยเหล่านี้ ดังพรรณนา
มานี้เป็นของจริงแท้ แน่นอน ไม่ผิดพลาด ไม่เป็นอย่างอื่น พระตถาคต
ตรัสรู้แล้วโดยชอบด้วยประการฉะนี้. ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวสูตรนี้แล้ว.
ภิกษุเหล่านั้นดีใจ ชื่นชมภาษิตของท่านพระสารีบุตร ด้วยประการฉะนี้
จบทสุตตรสูตรที่ ๑๑
จบปาฏิกวรรค.

455
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 456 (เล่ม 16)

อรรถกถา ทสุตตรสูตร
ทสุตตรสูตรว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น
พรรณนาบทอันไม่เคยมี ในทสุตตรสูตรนั้น ดังต่อไปนี้. คำว่า
อาวุโส ภิกฺขเว นั้นเป็นคำร้องเรียกพระสาวกทั้งหลาย. จริงอยู่
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะตรัสเรียกบริษัท ย่อมตรัสว่า ภิกฺขเว ดังนี้.
พวกพระสาวกคิดว่า เราจักตั้งพระศาสดาไว้ในที่อันสูง ดังนี้แล้วไม่ร้องเรียก
ด้วยการร้องเรียกพระศาสดา ย่อมร้องเรียกว่า อาวุโส ดังนี้ . สองบทว่า
เต ภิกฺขู ความว่า ภิกษุผู้นั่งแวดล้อมพระธรรมเสนาบดีเหล่านั้น ถามว่า
ก็ภิกษุเหล่านั้น คือเหล่าไหน. แก้ว่า ภิกษุผู้อยู่ไม่ประจำที่คือ ผู้ไปสู่ทิศ.
จริงอยู่ ในครั้งพุทธกาล พวกภิกษุย่อมประชุมกัน ๒ วาระ คือ
ในกาลจวนเข้าพรรษาอันใกล้เข้าแล้ว ๑ ในกาลปวารณา ๑. ครั้นเมื่อดิถี
จวนเข้าพรรษาใกล้เข้ามา พวกภิกษุ ๑๐ รูปบ้าง ๒๐ รูปบ้าง ๓๐ รูปบ้าง
๔๐ รูปบ้าง ๕๐ รูปบ้าง เป็นพวก ๆ ย่อมมาเพื่อต้องการกรรมฐาน. พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงบันเทิงกับภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุไร ครั้นเมื่อดิถีจวนเข้าพรรษา ใกล้เข้าแล้ว พวกเธอจึงเที่ยว
กันอยู่. ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้นทูลอ้อนวอนว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า
พวกข้าพระองค์มาเพื่อพระกรรมฐาน ขอพระองค์จงให้พระกรรมฐานเเก่ข้า
พระองค์ทั้งหลายเถิด ดังนี้. ด้วยสามารถแห่งความประพฤติของภิกษุ
เหล่านั้น พระศาสดาจึงให้อสุภกัมมัฏฐาน แก่ภิกษุผู้ราคะจริต ให้เมตตา-
กัมมัฏฐาน แก่ภิกษุผู้โทสจริต ให้อุทเทส ปริปุจฺฉา การฟังธรรมตามกาล

456
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 457 (เล่ม 16)

การสนทนาธรรมตามกาล แก่ภิกษุผู้โมหะจริต ตรัสบอกว่า กัมมัฏฐานนี้
เป็นที่สบายของพวกเธอ ดังนี้ ทรงให้อานาปานัสสติกัมมัฏฐาน แก่ภิกษุ
ผู้วิตกจริต ทรงประกาศ ความเป็นผู้ตรัสรู้ดี แห่งพระพุทธเจ้า ความเป็น
ธรรมดีแห่งพระธรรม และความเป็นผู้ปฏิบัติดีแห่งพระสงฆ์ ในปสาทนีย-
สูตร แก่ภิกษุผู้สัทธาจริต ทรงตรัสพระสูตรทั้งหลายอันลึกซึ้ง อันปฏิสังยุตต์
ด้วย อนิจจตา เป็นต้น แก่ภิกษุผู้ญาณจริต. พวกภิกษุเหล่านั้น เรียน
เอาพระกัมมัฏฐานแล้ว ถ้าที่ใด เป็นที่สบาย ก็อยู่ในที่นั้นนั่นแหละ ถ้าว่า
ไม่มีที่สบาย ถามถึงเสนาสนะ เป็นที่สบายแล้ว จึงไป. พวกภิกษุเหล่านั้น
อยู่ ในที่นั้น เรียนข้อปฏิบัติตลอด ๓ เดือน พากเพียรพยายามอยู่ เป็น
พระโสดาบันบ้าง เป็นพระสกทาคามีบ้าง เป็นพระอนาคามีบ้าง เป็นพระ-
อรหันต์บ้าง ออกพรรษา ปวารณาแล้ว จากที่นั้นจึงไปยังสำนักพระศาสดา
บอกแจ้งคุณที่ตนได้เฉพาะว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ เรียน
เอาพระกัมมัฏฐาน ในสำนักของพระองค์ บรรลุพระโสดาปัตติผลแล้ว ฯลฯ
ข้าพระองค์ บรรลุพระอรหัตต์อันเป็นผลอันเลิศแล้ว ดังนี้. พวกภิกษุ
เหล่านี้ มาในที่นั้น ในดิถีเป็นที่จวนเข้าพรรษา อันใกล้เข้ามาแล้ว. ก็
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงส่งเหล่าภิกษุผู้มาแล้วไปอยู่อย่างนั้น สู่สำนักของ
พระอัครสาวกทั้งหลาย. เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า. ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงอำลาพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเถิด. พวกภิกษุกราบทูล
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ ยังมิได้อำลาพระสารีบุตร และ
พระโมคคัลลานะเลย ดังนี้. ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงส่งภิกษุเหล่านั้น
ไปในเพราะการเห็นพระอัครสาวกเหล่านั้น ด้วยพระดำรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย

457
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 458 (เล่ม 16)

พวกเธอจงเสพ พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะเถิด ภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงคบพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะเถิด ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต
อนุเคราะห์เพื่อนสพรหมจารี ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตร เปรียบเหมือนมารดา
ผู้ยังทารกให้เกิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกซึ่งเกิดแล้ว
ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตร ย่อมแนะนำในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะย่อม
แนะนำในประโยชน์อันสูงสุดดังนี้. อนึ่ง แม้ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงกระทำปฏิสันถารกับภิกษุเหล่านี้แล้ว ใคร่ครวญอาสยะของภิกษุเหล่า-
นั้น ได้ทรงเห็นว่า ภิกษุเหล่านี้ เป็นสาวกเวไนย ดังนี้. ธรรมดาว่า
พระสาวกเวไนย ย่อมตรัสรู้ด้วยพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าบ้าง ของ
พระสาวกทั้งหลายบ้าง. แต่ว่า พวกพระสาวก ไม่อาจเพื่อจะยังพุทธเวไนย
ให้ตรัสรู้ได้. ก็พระศาสดาทรงทราบว่า ภิกษุเหล่านั้นเป็นสาวกเวไนย
ตรวจดูอยู่ว่า จักตรัสรู้ด้วยเทศนาของภิกษุรูปไหน ก็ทรงเห็นว่า ของพระ-
สารีบุตร ดังนี้แล้ว จึงทรงส่งไปสู่สำนักของพระเถระ. พระเถระถามภิกษุ
เหล่านั้นว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พวกท่านไปสำนักพระศาสดามาแล้วหรือ.
ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า ขอรับ พวกกระผมไปมาแล้ว ก็พระศาสดาทรงส่ง
พวกกระผมมายังสำนักของท่าน. ลำดับนั้น พระเถระคิดอยู่ว่า ภิกษุเหล่านี้
จักตรัสรู้ด้วยเทศนาของเรา เทศนาเช่นไรหนอแล จึงจะเหมาะแก่ภิกษุ
เหล่านั้น ดังนี้ จึงกระทำความตกลงใจว่า ภิกษุเหล่านี้ ผู้มีความสามัคคี
เป็นที่มายินดี ผู้แสดงสามัคคีรส พระเทศนา ( นี้แหละ ) เหมาะแก่เธอ
เหล่านั้น ดังนี้แล้ว ผู้ใคร่เพื่อจะแสดงพระเทศนาเช่นนั้น จึงกล่าวคำมีว่า
เราจักกล่าวทสุตตรสูตร ดังนี้เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น ที่ชื่อว่า ทสุตตระ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า

458
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 459 (เล่ม 16)

อันท่านจำแนกตั้งมาติกาไว้อย่างละสิบ ๆ. ที่ชื่อว่า ทสุตตระ เพราะอรรถ
วิเคราะห์แม้ว่า ตั้งแต่มาติกาหนึ่ง ๆ ไป จนกระทั่งถึงหมวดสิบ. ที่ชื่อว่า
ทสุตตระ เพราะอรรถวิเคราะห์แม้ว่า อันท่านให้พิเศษ ปัญหาอย่างละสิบ.
ในบัพพะหนึ่ง ๆ. ซึ่งทสุตตรสูตรนั้น. บทว่า ปวกฺขามิ ได้แก่ จักกล่าว.
บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ พระสูตร. บทว่า นิพฺพานปฺปตฺติยา ความว่า เพื่อ
ประโยชน์แห่งการได้เฉพาะซึ่งพระนิพพาน. บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตกิริยาย
ความว่า เพื่อกระทำที่สุดรอบแห่งวัฏฏะทุกข์ทั้งสิ้น. บทว่า สพฺพคนฺถปฺป-
โมจนํ ความว่า การเปลื้องกิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งปวง มีอภิชฌากายคันถะ
เป็นต้น. พระเถระเมื่อจะกระทำพระเทศนาให้สูง ยังความรักในพระเทศนา
นั้นให้เกิดแก่เหล่าภิกษุ จึงกล่าวพรรณนา ด้วย ๔ บทว่า เหล่าภิกษุจัก
สำคัญทสุตตรสูตรนั้น อันตนพึงเรียนพึงศึกษา พึงทรงจำ พึงบอก ด้วย
ประการฉะนี้ เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพรรณนา พระสูตรนั้น ๆ
โดยนัยเป็นต้นว่า เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค.
บรรดาบทเหล่านั้นบทว่า พหูกาโร ความว่า มีอุปการะมาก. บทว่า
ภาเวตพฺโพ ความว่า ควรให้เจริญ. บทว่า ปริญเญยฺโย ความว่า ควร
กำหนดรู้ด้วยปริญญา ๓. บทว่า ปหาตพฺโพ ความว่า ควรละ ด้วย
ปหานานุปัสสนา. บทว่า หานภาคิโย ความว่า มีปกติให้ไปสู่อบาย เป็น
ไปพร้อมเพื่อความเสื่อมรอบ. บทว่า วิเสสภาคิโย ความว่า ทุปฺปฏิวิชฺโฌ
ถึงซึ่งคุณวิเศษ เป็นไปพร้อมเพื่อความวิเศษ. บทว่า ทุปฺปฏิวิชฺโฌ
ความว่า กระทำให้ประจักษ์ได้ยาก. บทว่า อุปฺปาเทตพฺโพ ความว่า ควร
ให้สำเร็จ. บทว่า อภิญฺเญยฺโย ความว่า ควรรู้ยิ่งด้วยญาตปริญญา. บทว่า
สจฺฉิกาตพฺโพ ความว่า ด้วยกระทำให้ประจักษ์. ในมาติกาทั้งปวง บัณฑิต

459
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 460 (เล่ม 16)

พึงทราบเนื้อความ ด้วยประการฉะนี้. ท่านพระสารีบุตร ใคร่ครวญถึง
พระเทศนาอันเป็นที่สบายของภิกษุเหล่านั้นแล้ว จึงตั้งมาติกา โดยส่วน ๑๐
โดยส่วน ๑๐ จำแนกบทหนึ่ง ๆ ในส่วนหนึ่ง ๆ ปรารภเพื่อจะยังพระเทศนา
ให้พิสดาร โดยนัยเป็นต้นว่า ธรรมอย่างหนึ่ง มีอุปการะมากเป็นไฉน
คือความไม่ประมาทในกุศลธรรมทั้งหลาย เหมือนอย่างช่างจักสานผู้ฉลาด
ตัดไม้ไผ่อันอยู่ตรงหน้าแล้ว กระทำให้เป็นมัดแล้ว เจียกออกโดยส่วน ๑๐
กระทำท่อนหนึ่ง ๆ ให้เป็นชิ้น ๆ ผ่าออกฉะนั้น ด้วยประการฉะนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น หลายบทว่า อปฺปมาโท กุสเลสุ ธมฺเมสุ
ความว่า พระเถระกล่าวความไม่ประโยคมาท อันเป็นอุปการะในประโยชน์
ทั้งปวง. จริงอยู่ธรรมดาว่า ความไม่ประมาทนี้ มีอุปการะมาก ในกุศลธรรม
ทั้งหลายทั้งปวง โดยอรรถว่า ไม่มีโทษ คือในการยังศีลให้บริบูรณ์ ใน
อินทรีย์สังวร ในความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ในชาคริยานุโยค
ในสัทธรรม ๗ ในการให้ถือเอาซึ่งห้วงแห่งวิปัสสนา ในปฏิสัมภิทาทั้ง
หลาย มีอัตถะปฏิสัมภิทาเป็นต้น ในธัมมขันธ์ ๕ มี ศีลขันธ์เป็นต้น
ในฐานะและอฐานะ ในมหาวิหารสมาบัติ ในอริยสัจจ์ ในโพธิปักขิยธรรม
มีสติปัฏฐานเป็นต้น ในวิชชา ๘ ประการ มีวิปัสสนาญาณเป็นต้น.
เพราะเหตุนั้นนั่นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงเปรียบด้วย
เครื่องเปรียบทั้งหลาย มีรอยเท้าช้างเป็นต้น ทรงชมเชยพระเถระนั้น
มีประการต่าง ๆ ในอัปปมาทวรรค ในสังยุตตนิกาย โดยนัยเป็นต้นว่า
ภิกษุทั้งหลาย สัตว์ไม่มีเท้าก็ตาม ฯลฯ มีประมาณเพียงใด พระตถาคต
อันบัณฑิตย่อมกล่าวว่า เป็นเลิศกว่าสัตว์เหล่านั้น ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้น
นั่นแล กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง กุศลธรรมเหล่านั้นทั้งหมด มีความ

460
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค เล่ม ๓ ภาค ๒ – หน้าที่ 461 (เล่ม 16)

ไม่ประมาทเป็นที่ประชุมลง ความไม่ประมาท อันบัณฑิตย่อมกล่าวว่าเป็น
ยอดแห่งธรรมเหล่านั้นดังนี้. พระเถระสงเคราะห์ ความไม่ประมาทนั้น
ทั้งหมดด้วยบทหนึ่งนั่นเทียวแล้วกล่าวว่า ความไม่ประมาทในกุศลธรรม
ทั้งหลาย ดังนี้. อนึ่ง ความที่ความไม่ประมาทนั้นมีอุปการะมาก อันบัณฑิต
พึงแสดง แม้ด้วยอัปปมาทวรรคในธรรมบทเถิด. พึงแสดงแม้ด้วยเรื่อง
ของพระเจ้าอโศก. จริงอยู่ พระเจ้าอโศก ทรงสดับคาถาของนิโครธ-
สามเณรว่าความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย ดังนี้เท่านั้น ทรงเลื่อมใส
สามเณรด้วยตรัสว่า หยุดก่อน พ่อ ท่านกล่าวพระพุทธวจนะ คือพระ-
ไตรปิฏกแก่โยมแล้ว ดังนี้ จึงรับสั่งให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ หลังแล้ว
ความที่ความไม่ประมาทมีอุปการะมาก อันภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยเรี่ยวแรง พึง
แสดงด้วยปีกทั้ง ๓ ดังกล่าวเถิดด้วยประการฉะนี้ บุคคลผู้นำมาซึ่งพระ
หรือคาถา อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อแสดงความไม่ประมาท อันใคร ๆ ไม่
กล่าวว่า ท่านดำรงในที่มิใช่ฐานะนำมาแล้ว ดังนี้. เรี่ยวแรงและกำลังของ
พระธรรมกถึกเท่านั้น เป็นประมาณในที่นี้. คำว่า กายคตาสติ นั่นเป็น
ชื่อของสติอันบังเกิดขึ้นในกรรมฐานเหล่านี้คือ ลมหายใจเข้าออก อิริยาบถ
๔ สติสัมปชัญญะ การ ๓๒ การกำหนดธาตุ ๔ อสุภะ ๑๐ สิวัฏฐิกสัญญา
๙ การกระทำไว้ในใจ ในผมเป็นต้นว่า เป็นของละเอียด รูปฌาน ๔.
บทว่า สาตสหคตา ความว่า เว้น จตุตถฌานเสีย กายคตาสติ ย่อม
สหรคตด้วยความยินดีในอารมณ์อื่น ประกอบด้วยความสุข. คำว่า สาต-
สหคตา นั่นท่านกล่าวหมายเอา กายคตาสตินั่น. องบทว่า สาสโว
อุปาทานิโย ความว่า เป็นปัจจัยแห่งอาสวะ และอุปาทานทั้งหลาย. พระ-
เถระกำหนดธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ด้วยประการฉะนี้. บทว่า อสฺมิมาโน

461