เรื่องการโปรยดอกไม้มีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่โปรยใส่ทักขิไณยบุคคล ไม่มีเรื่องโปรยใส่พระภิกษุที่บวชใหม่
นอกจากนี้ ยังมีบูชาทักขิไณยบุคคลอื่นๆอีก เช่น พระปัจเจกพุทธเจ้า สาวกของพระตถาคต
แต่ในพระไตรปิฎก ไม่มีเรื่องโปรยดอกไม้ใส่พระภิกษุที่บวชใหม่ หรือ โปรยใส่พระภิกษุที่มาเดินเป็นขบวนอยู่บนท้องถนน (เรื่องโปรยดอกไม้ในพระไตรปิฎก เดินทางเป็นขบวนก็มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เช่น เรื่องเสด็จไปยังเมืองไพศาลีกับภิกษุ ๕๐๐ รูป ซึ่งมีองค์ประกอบในเรื่องทักขิไณยบุคคล )
ไม่ว่าจะสร้างภาพลักษณ์ให้ดูสวยงามแค่ไหน แต่ถ้าสาระไม่มี คือ ไม่ได้ปฎิบัติให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัย ก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดการดำรงอยู่นานของพระศาสนา ในยุคศาสนาเสื่อมโทรม ยิ่งต้องเน้นธรรมให้มาก ไม่ใช้วัตถุ
...ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญวิบาก ที่แม้พระพุทธญาณก็กำหนดไม่ได้ของการบูชา ที่บุคคลถือเพียงดอกฝ้ายดอกเดียวระลึกถึงพระพุทธคุณบูชาแล้วไว้ในที่อื่น ในที่นี้กลับทรงคัดค้านการบูชาใหญ่อย่างนี้ ตอบว่า เพราะเพื่อจะทรงอนุเคราะห์บริษัทอย่างหนึ่ง เพื่อประสงค์จะให้พระศาสนาดำรงยั่งยืนอย่างหนึ่ง จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่พึงคัดค้านอย่างนั้นไซร้ ต่อไปในอนาคต พุทธบริษัทก็ไม่ต้องบำเพ็ญศีลในฐานะที่ศีลมาถึง จักไม่ให้สมาธิบริบูรณ์ในฐานะที่สมาธิมาถึง ไม่ให้ถือห้องคือวิปัสสนาในฐานะที่วิปัสสนามาถึง ชักชวนแล้วชักชวนอีก ซึ่งอุปัฏฐากกระทำการบูชาอย่างเดียวอยู่ จริงอยู่ชื่อว่าอามิสบูชานั้น ไม่สามารถจะดำรงพระศาสนาแม้ในวันหนึ่งบ้าง แม้ชั่วดื่มข้าวยาคูครั้งหนึ่งบ้าง จริงอยู่ วิหารพันแห่งเช่นมหาวิหาร เจดีย์พันเจดีย์ เช่น มหาเจดีย์ ก็ดำรงพระศาสนาไว้ไม่ได้ บุญูผู้ใด ทำไว้ก็เป็นของผู้นั้นผู้เดียว ส่วนสัมมาปฏิบัติ ชื่อว่าเป็นบูชาที่สมควรแก่พระตถาคต เป็นความจริงปฏิบัติบูชานั้นชื่อว่าดำรงอยู่แล้ว สามารถดำรงพระศาสนาไว้ได้ด้วย...