No Favorites

อธิบายความหมายธรรม 5 ประการ ของอุบาสกเลวทราม

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ผู้ที่ชื่อว่าเป็นอุบาสกนั้น คือ ผู้ที่ถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ

...ดูก่อนมหาบพิตร บุคคลผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ถึงพระธรรมเป็นสรณะถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล บุคคลจึงจะชื่อว่า เป็นอุบาสก

แต่ถ้าถือไม่ถูก ก็จะกลายเป็น อุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด

...[๑๗๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการย่อมเป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน ? คือ อุบาสกเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑ เป็นผู้ทุศีล ๑ เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคลไม่เชื่อกรรม ๑ แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ ๑ ทำการสนับสนุนในศาสนานั้น ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด

(1) อุบาสกเป็นผู้ไม่มีศรัทธา : คือ ไม่มีศรัทธาในพระรัตนตรัย บอกว่าถือพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง (ตามข้อข้างต้น) แต่ถือไม่ตรง ไปถือเ อย่างอื่นปน เช่น ครื่องรางของขลัง เอาเทวดา เอาผีมาเป็นที่พึ่ง

พระรัตนตรัยเป็นนามธรรม ไม่ใช่วัตถุ แม้แต่เอารูปปั้นมาเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า ก็ไม่เรียกว่า พระรัตนตรัย ในข้อนี้คนส่วนมากยังทำไม่ได้

(2) เป็นผู้ทุศีล : ไม่มีศีล 5 เป็นอย่างต่ำ หรือ สมาทานศีล 5 แต่ละเมิด (เพราะอุบาสกผู้มีศีล 5 จึงเรียกว่าอุบาสกผู้ถึงพร้อมด้วยศีล )

(3) เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคลไม่เชื่อกรรม : คือ ถือลักษณะงมงาย เช่น ถือตามที่พากันทำมา ถือตามจำนวน โดยไม่พิจารนาว่าสอดคล้องกับหลักธรรม ดูฤกษ์ ดูยาม ปลุกเสก สวดมนต์ไม่รู้ความหมายเพื่อเป็นมงคลเฉยๆ ปล่อยปลาโดยถือตามลักษณะว่าปล่อยปลาชนิดนี้ดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ปล่อยตามวันเกิด และการกระทำอื่น ๆ ที่เป็นไปในทางมงคลนอกศาสนา (ดูมงคลที่ถูกต้อง ) ที่เป็นไปในทางงมงาย ไม่เชื่อกรรม เพราะถ้าเชื่อกรรมจะไม่สนเรื่องเหล่านี้ แต่ก็งง บอกว่าเชื่อกรรม แต่กลับไปทำสิ่งที่ว่ามานี้

ผู้ที่ถือลักษณะงมงาย ถือมงคลตื่นข่าว ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ได้

...ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถืออุกกาบาตไม่ถือความฝัน ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว ผู้นั้นชื่อว่าล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าวครอบงำกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพที่เป็นคูกั้น ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก

(4) แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ : ถือพุทธอยู่ แต่ยังแสวงหาการทำบุญนอกศาสนา คือ แสวงหาบุคคลผู้รับไทยธรรมนอกศาสนา (แสวงหาเฉยๆแต่ไม่ได้ทำ)

(5) ทำการสนับสนุนในศาสนานั้น : เมื่อแสวงหาแล้วก็ทำบุญนอกศาสนานั้น คือ ไม่ทำในศาสนาพุทธเป็นอันดับแรกก่อน เช่น ให้ทานแก่พวกเดียรถีย์ ภายนอกพระศาสนาแล้วจึงถวายทานแก่ภิกษุทั้งหลายในภายหลัง

ในความเจริญของอุบาสก 7 ประการก็ได้กล่าวไว้

[๒๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิบัติของอุบาสก ๗ ประการนี้...สมบัติของอุบาสก ๗ ประการนี้... ความเสื่อมของอุบาสก ๗ ประการนี้... ความเจริญของอุบาสก ๗ ประการนี้ ๗ ประการเป็นไฉน คือ อุบาสกไม่ขาดการเยี่ยมเยียนภิกษุ ๑ ไม่ละเลยการฟังสัทธรรม ๑ ศึกษาในอธิศีล ๑ มากด้วยความเลื่อมใสในภิกษุทั้งที่เป็นเถระผู้ใหม่ ทั้งปานกลาง ๑ ไม่ตั้งจิตติเตียน ไม่คอยเพ่งโทษ ฟังธรรม ๑ ไม่แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ ๑ กระทำสักการะก่อนในเขตบุญในศาสนานี้ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเจริญของอุบาสก ๗ ประการนี้แล

เรื่อง อุบาลีคฤหบดี เป็นกรณีเทียบเคียง หลังจาก อุบาลีคฤหบดีฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว มีจิตเลื่อมใส บรรลุเป็นพระโสดาบัน เมื่อเป็นสาวกแล้ว ก็ปิดประตูแก่พวกนิครนถ์ แล้วเปิดประตูแก่พระศาสดาและพระสงฆ์ ท่านอุบาลีคฤหบดีเคยเป็นสาวกของนิครนถ์ และตระกูลของท่านก็เป็นดุจบ่อน้ำของนิครนถ์มานาน พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงห้ามว่า ห้ามให้ทานแก่พวกนิครนถ์ แต่กลับทรงตรัสให้เอาให้

[๗๓] ดูก่อนคฤหบดี ตระกูลของท่านเป็นดุจบ่อน้ำของนิครนถ์มานานแล้ว ท่านพึงสำคัญบิณฑบาตอันท่านพึงให้แก่นิครนถ์เหล่านั้นผู้เข้าไปถึง

บางคนอาจมีคำถามว่า การที่พุทธเจ้าไม่ทรงห้าม ไม่เป็นการขัดกับข้อ (4) และข้อ (5) หรือ? ตอบว่า ไม่ขัด เพราะไม่ได้แสวงหาและก็ไม่ได้ไปหา เพราะว่า ท่านอุบาลีคฤหบดีเป็นพระโสดาบัน มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งโดยไม่หวั่นไหวแล้ว ไม่ใช่ฐานะที่พระโสดาบันจะไปแสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้ และ ทำการสนับสนุนในศาสนาอื่นก่อน ในแนวทางของตนเอง ย่อมรู้ว่าจะทำอย่างไร ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า "ก็แต่ว่าข้าพระพุทธเจ้าจักทราบกาลอันควรในการให้ทานนี้" ทั้งไม่เป็นการทำลายลาภของนิครนถ์เหล่านั้น และจัณฑาลสูตร ก็ไม่ได้ตรัสแก่พระอริยะ ตรัสแก่อุบาสกปุถุชนผู้เลวทรามเท่านั้น

ข้าพระพุทธเจ้าได้ฟังคำนี้มาว่า พระสมณโคดมตรัสอย่างนี้ว่าควรให้ทานแก่เราเท่านั้น ไม่ควรให้ทานแก่คนเหล่าอื่น ควรให้ทานแก่สาวกทั้งหลายของเราเท่านั้น ไม่ควรให้ทานแก่สาวกของผู้อื่น ทานที่บุคคลให้แก่เราเท่านั้นมีผลมาก ทานที่บุคคลให้แก่สาวกของผู้อื่นไม่มีผลมาก แต่ความจริงพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงชักชวนข้าพระพุทธเจ้าในการให้ทาน แม้ในพวกนิครนถ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็แต่ว่าข้าพระพุทธเจ้าจักทราบกาลอันควรในการให้ทานนี้

แล้วท่านอุบาลีคฤหบดีก็สั่งกับนายประตูให้ปิดประตูแก่พวกนิครนถ์ ถ้าต้องการอาหาร ให้รออยู่ที่ตรงนี้ จะนำอาหารมาให้ แต่ไม่ให้เข้าไป คือเอาการบำเพ็ญกุศลในศาสนาเป็นอันดับแรกก่อน

...ดูก่อนนายประตูผู้สหาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราปิดประตูแก่พวกนิครนถ์ แก่พวกนางนิครนถ์ และเปิดประตูเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าคือ ภิกษุ ภิกษุณีอุบายสก อุบาสิกา ถ้านิครนถ์คนใดคนหนึ่งมา ท่านพึงว่ากะนิครนถ์คนนั้นอย่างนี้ว่า จงหยุดท่านผู้เจริญ อย่าเข้าไปเลย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อุบาลีคฤหบดีเข้าถึงความเป็นสาวกของพระสมณโคดมแล้ว ท่านปิดประตูแก่พวกนิครนถ์ แก่พวกนางนิครนถ์ ท่านเปิดประตูเพื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านมีความต้องการด้วยอาหาร ท่านจงหยุดอยู่ที่นี่แหละ ชนทั้งหลายจักนำมาเพื่อท่านในที่นี้ นายประตูรับคำอุบาลีคฤหบดีแล้ว

ดังนั้น ข้อที่ (4) กับข้อที่ (5) จึงมีความหมายว่า เอาการบำเพ็ญกุศลในศาสนาเป็นอันดับแรกก่อน แต่ไม่ปิดกั้นการให้ (ถ้าอยู่ในฐานะที่ควรให้) เช่น ถ้าเพื่อนมนุษย์ได้รับความเดือดร้อน ถ้าอยู่ในฐานะที่พอจะช่วยได้อย่างถูกต้อง ก็ควรทำ พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนให้มีอคติอยู่แล้ว ดูการบำเพ็ญกุศลเพิ่มเติมในสิงคาลกสูตร และ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญบุคคลผู้ฉลาดในการทำบุญ ฉลาดในการเลือกให้

ธรรมข้อนี้ พระองค์ตรัสแก่ผู้ที่เป็อุบาสกแบบไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าผู้ใดเรียนรู้การเป็นอุบาสกอย่างถูกต้องแล้ว ก็ย่อมรู้จักฉลาดในแนวทางของตนเอง ดังเช่น อุบาลีคฤหบดี ถือว่าเป็นการกระทำที่ฉลาด ไม่ให้พวกนิครนถ์เข้าไป แต่ก็ไม่ปิดกั้นการให้ ถ้าพวกนิครนถ์มาเพื่ออาหาร และก็ไม่ไปหาพวกพวกนิครนถ์ แต่พวกนิครนถ์จะย่อมรับได้หรือ สุดท้ายถ้าไม่มา ก็จะไม่ได้ให้ไปโดยอัตโนมัติ

กระทู้เกี่ยวข้อง :  #บุคคลที่จะถือพระรัตนตรัยได้ “อย่างถูกต้อง” ไม่ใช่เรื่องง่ายและมีปริมาณน้อยด้วย  #ความเข้าใจที่ผิด เรื่องสวดมนต์แบบไม่รู้เรื่องเฉยๆ (แปลไม่ได้ ไม่เข้าใจความหมาย) ก็ได้บุญ ที่จริงแล้วคือการปฏิบัติที่ผิด  #ทำบุญแล้วขาดทุนเป็นยังไง? กรณีตัวอย่าง เรื่องปล่อยปลา