ตรัสธรรมก็เพื่อให้รู้วินัย ตรัสวินัยก็เพื่อให้รู้ธรรม องค์ที่ไม่บัญญัติวินัยเพราะคนในยุคนั้นเป็นเวไนยชน ไม่ใช่วินัยไม่เป็นอกาลิโก
...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุดสองอย่างนี้ อันบรรพชิตไม่ควรเสพส่วนสุดสองอย่างนั้นเป็นไฉน คือ การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นของเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ประเสริฐไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ การประกอบความลำบากแก่ตน เป็นทุกข์ ไม่ประเสริฐ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ ข้อปฏิบัติอัน เป็นสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ส่วนสุด ๒ อย่างเหล่านั้น...
และในโอวาทปาฏิโมกข์ คำที่ว่า ไม่ทำบาปทั้งสิ้น ก็คือ ให้มีศีล ให้มีวินัยนั้นแหละ วินัยก็ออกมาจากธรรม ตรัสธรรมก็เพื่อให้รู้วินัย (เพื่อให้มีวินัย) บัญญัติวินัยก็เพื่อให้รู้ธรรม (เมื่อมีวินัย มันจึงจะมี สมาธิ มีปัญญา รู้ธรรมได้)
...การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึงพร้อมการทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย....
แต่พระพุทธเจ้าบางพระองค์ไม่บัญญัติวินัย จะตรัสแต่ปาติโมกข์ที่เป็นหัวเท่านั้น คือ โอวาทปาติโมกข์ แต่ไม่ตรัสปาติโมกข์ ที่เป็นวินัย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า วินัยจะไม่เป็นอกาลิโก เพียงเพราะไม่บัญญัติวินัย แม้ไม่บัญญัติปาติโมกข์ที่เป็นวินัย แต่ก็ตรัสโอวาทปาติโมกข์ไว้แล้ว ซึ่งก็หมายความว่าให้มีวินัยอยู่แล้ว
ฉะนั้น ธรรมและวินัยอันเดียวกัน พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะบัญญัติวินัยตามเรื่องเกิด องค์ที่ไม่บัญญัติวินัยก็เพราะคนในยุคนั้นเป็นเวไนยชน มีวินัยอยู่แล้ว รู้จักวินัยอยู่แล้ว