ก็ทำดีอยู่ แต่ทำไมไปอบาย (เมื่อนิยามของคำว่าทำดีกำหนดเอาเอง)
... เล่ากันมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นพราหมณ์นี้ ทรงพระดำริว่า พราหมณ์นี้ถือข้าวปายาสอันเลิศเห็นปานนี้เอาไปเผาไฟ ด้วยตั้งใจจะให้มหาพรหมบริโภคย่อมกระทำสิ่งที่ไร้ผล ก้าวลงสู่ทางอบาย เมื่อไม่ละลัทธินี้ ก็จักทำอบายให้เต็ม ...
เพราะเมื่อไม่ใช่สายกลาง ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ จะผิดไปหมดเลย
...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีอวิชชาไม่เห็นแจ้งย่อมมีความเห็นผิด ผู้มีความเห็นผิด ย่อมมีความดำริผิด ผู้มีความดำริผิดย่อมมีวาจาผิด ผู้มีวาจาผิด ย่อมมีการงานผิด ผู้มีการงานผิด ย่อมมีการเลี้ยงชีพผิด ผู้มีการเลี้ยงชีพผิด ย่อมมีความพยายามผิด ผู้มีความพยายามผิดย่อมมีความระลึกผิด ผู้มีความระลึกผิด ย่อมมีความตั้งใจผิด ผู้มีความตั้งใจผิด ย่อมมีความรู้ผิด ผู้มีความรู้ผิด ย่อมมีความหลุดพ้นผิด...
กรณีนี้จะอ้างเจตนาอย่างเดียวไม่ได้ เพราะถ้าเจตนานั้นมีความเห็นผิดเป็นมูล เช่น เมื่อเขากำหนดว่า ผลิดยาบ้าผิดกฎหมาย เมื่อผิดกฎหมาย จะอ้างว่าผลิดยาบ้าด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ก็เป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าบัญญัติพระวินัยว่า พระรับเงินผิด การเอาเงินให้พระก็ต้องผิดด้วย ไม่ผิดเป็นไปไม่ได้ ตรัสห้ามว่าสร้างรูปเปรียบพระตถาคดผิด จะสร้างโดยไม่ผิด ก็เป็นไปไม่ได้
ฉะนั้น ผู้ใดทำผิดแล้วตกไปในภูมิต่ำ แล้วบ่นอยู่ที่นั้นว่า ทำไมทำดีอยู่ แต่ไม่ได้ดี เงินก็บริจาคหลายล้าน พระก็สร้าง ก็เพราะนิยามของคำว่าทำดีกำหนดเอาเอง