พระพุทธเจ้าเป็นผู้รับรองเองทั้งนั้นว่าพระที่ต้องปาราชิกเป็นอนุปสัมบัน ไม่ใช่อุปสัมบัน
หลักฐานอีกข้อที่บ่งบอกว่า พระที่ต้องปาราชิกเป็นอนุปสัมบัน นั้นก็คือ พระพุทธเจ้าทรงห้ามอุปสมบทผู้ที่ต้องปาราชิกแล้ว เมื่อห้ามอุปสมบท ก็หมายความว่า ผู้นั้นอยู่ในสถานะเป็นอนุปสัมบันโดยธรรมชาติ โดยอัตโนมัติ เพราะการอุปสมบทของผู้นั้นถูกห้ามแล้ว ถ้าพระปาราชิกยังเป็นอุปสัมบันอยู่ จะไม่มีบัญญัติห้ามอุปสมบท (เพราะถ้ายังเป็นอุปสัมบันอยู่ จะห้ามไปทำไม? ไม่ใช่อุปสัมบันแล้ว ท่านจึงห้ามไม่ให้อุปสมบทอีก จัดเป็นอนุปสัมบันชั้นเลวมากเพราะต้องอาบัติข้อสูงสุด คือ มันเลวจนไม่ใช่พระแล้ว) อย่าลืมว่า มีแค่สองอย่างเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ อุปสัมบัน ก็เป็น อนุปสัมบัน ไม่มีการคั่นระหว่าง คือ ปาราชิกปุ๊บห้ามอุปสมบทปั๊บในตัวทันทีโดยอัตโนมัติ ไม่มีคั่นระหว่าง ไม่เกี่ยวว่าผู้นั้นจะสึกหรือไม่ หรือจะยังห่มจีวรอยู่หรือไม่
กระทู้เกี่ยวข้อง :
#บัณเฑาะก์และพระที่ต้องปาราชิกแม้จะห่มผ้ากาสาวะอยู่ จัดเป็นอนุปสัมบัน ไม่ใช่อุปสัมบัน และลักเพศด้วย
#ตัวบ่งชี้ความเป็นอุปสัมบันดูจากตรงไหน ?
#ภิกษุผู้มีผ้ากาสายะพันคอ ผูกเข้าที่มือ ขอดไว้ที่ผม ที่หู จัดเป็นอนุปสัมบัน ไม่ใช่ อุปสัมบัน
#หาสังวาสมิได้ ความเป็นผู้มีสิกขาขาดแล้ว พระปาราชิกไม่ใช่อุปสัมบัน
#ในพระไตรปิฎก คำว่า “ไม่ใช่สมณะ” มีอยู่ 2 ความหมาย (พระปาราชิกจัดเป็นอนุปสัมบัน)
#คำสมมุติเรียกเพศ 2 อย่าง (พระที่ต้องปาราชิกไม่มีอุปสัมบันเพศ)
และพระพุทธเจ้า ก็ตรัสว่า "เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้" ดูเพิ่ม
...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดแลเป็นภิกษุ ไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งเสพเมถุนธรรม ผู้นั้นมาแล้ว สงฆ์ไม่พึงอุปสมบทให้...
จะเห็นว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้รับรองเองทั้งนั้น ว่าพระที่ต้องปาราชิกเป็นอนุปสัมบัน ไม่ใช่อุปสัมบัน เมื่อพระพุทธเจ้าเป็นผู้รับรองเอง ผู้ใดไปพูดว่า พระที่ต้องปาราชิกยังเป็นอุปสัมบันอยู่ คำพูดของผู้นั้นก็ขัดกับพุทธพจน์
ดังนั้น ข้อที่ว่า "ปาราชิกแล้วต้องสละการห่มจีวรก่อนจึงจะเป็นอนุปสัมบันได้" จึงไม่มีบัญญัติไว้ในพุทธพจน์