คำว่า “ไม่พึงอุปสมบทให้” พระองค์พูดถึงผู้ที่เป็นอนุปสัมบัน (พระปาราชิกเป็นอนุปสัมบัน)
เช่น คำว่า "อนุปสัมบัน คือ บัณเฑาะก์" แล้วตรัสว่า "อุปสมบทแล้วต้องให้สึกเสีย" หมายความว่า บัณเฑาะก์นั่นเป็น อนุปสัมบัน บวชยังไงก็ไม่ใช่ อุปสัมบัน
อุปสัมบัน (ที่อุปสมบทสำเร็จเป็นภิกษุแล้ว) แต่ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ผู้นั้นจะกลายเป็นอนุปสัมบันทันทีโดยอัตโนมัติ ฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า "อนุปสัมบัน คือ ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์" แต่คำนี้ ไม่ได้หมายความว่า ห้ามคฤหัสถ์ที่ไปเข้ารีตเดียรถีย์นั้นบวช ไม่ใช่นะ เพราะผู้ที่มาบวชเป็นสาวกพระพุทธเจ้าล้วนแต่มาจากลัทธิอื่นทั้งนั้น
ไม่ใช่เห็นคำว่า อนุปสัมบัน แล้วจะไปเข้าใจว่าท่านหมายถึงคฤหัสถ์ ไม่ใช่ แต่ท่านหมายความว่า อุปสัมบันที่ไปเข้ารีตเดียรถีย์นั้นเป็นอนุปสัมบัน (คือกลายมาเป็นอนุปสัมบันทันที ไม่ได้เกี่ยวว่าผู้นั้นจะสึกหรือไม่ หรือ ยึดในเพศอยู่หรือไม่ ท่านจึงตรัสว่า "อนุปสัมบัน คือ ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์")
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุปสัมบัน คือ ผู้ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ภิกษุไม่พึงให้อุปสมบท ที่อุปสมบทแล้ว ต้องให้สึกเสีย
และเช่นเดียวกันกับที่ห้ามอุปสมบทผู้ที่ต้องปาราชิกแล้ว ก็เพราะผู้ที่ต้องปาราชิกนั้น จะกลายเป็นอนุปสัมบันทันทีโดยอัตโนมัติ ไม่เกี่ยวว่าต้องสึกก่อนจึงจะเป็นอนุปสัมบันได้ สะนั้น จึงตรัสว่า ไม่พึงอุปสมบทให้ (อนุปสัมบันนั้น) ถ้าพระละเมิดพระวินัยข้อเหล่านี้ แล้วยังเป็นอุปสัมบันอยู่แล้วไชร้ ท่านจะไปตรัสทำไมว่า ไม่พึงอุปสมบทให้ ? ฉะนั้น พระที่ละเมิดพระวินัยข้อเหล่านี้ ไม่ใช่อุปสัมบันแล้ว ท่านจึงตรัสแบบนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดแลเป็นภิกษุ ไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งเสพเมถุนธรรม ผู้นั้นมาแล้ว สงฆ์ไม่พึงอุปสมบทให้
แต่ก็มีอรรถกถาอธิบายว่า ผู้ที่ต้องปาราชิกแล้วแต่ยังมีอุตสาหะในเพศ ก็ยังถือว่าเป็นอุปสัมบัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับพุทธพจน์ข้างต้นที่กล่าวมานี้ และข้ออื่นๆอีกเยอะ เช่น พระที่ปาราชิกแล้วแม้ยังห่มผ้ากาสายะอยู่ ไม่สึกก็ตาม จะไม่ต้องอาบัติอีกเลย เพราะเป็นอนุปสัมบันแล้ว อนุปสัมบันจะไม่ต้องอาบัตินั่นเอง แม้ปาราชิกก็ต้องได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ครั้งที่สองไม่ต้อง เพราะเป็นอนุปสัมบันแล้ว แม้ผู้นั้นจะห่มผ้า ยึดในเพศอยู่ก็ตาม ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ฉะนั้น จะไปพูดว่า ผู้ที่ปาราชิกแล้ว ยังต้องอาบัติอยู่ ไม่ถูก