No Favorites

ขออโหสิกรรมที่เข้ามาดู ถือมงคลตื่นข่าว พูดไปตามกระแส คนพูดก็ไม่รู้เรื่อง

ตากระทบกับรูปเฉยๆ ตาเห็นซากศพเฉยๆ ไม่มีความผิด เมื่อไม่มีความผิด ก็ไม่มีกรรมเกี่ยวข้องกันในเรื่องนั้น จะไปขออโหสิกรรมเพื่ออะไร ? เพราะการขออโหสิกรรม หรือ ขอขมาทำเมื่อมีความผิด ตนได้สํานึก ขอขมาเพื่อให้ผู้ถูกกระทำอดโทษให้ เพื่อที่โทษจะได้เบาบางลง และก็สำรวมระมัดระวังต่อไป

ในพระพุทธศาสนา เมื่อตาเห็นซากศพ พระพุทธเจ้าสอนให้พิจารนาถึงความไม่เที่ยง เรามีความตายเป็นธรรมดา แม้เราก็ต้องเป็นแบบนั้น ควรที่จะอยู่อย่างไม่ประมาท แบบนี้ถึงจะเรียกว่า เห็นอย่างมีประโยชน์

...[๕๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๕ ประการนี้ อันสตรี บุรุษคฤหัสถ์ หรือบรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ๕ ประการเป็นไฉน คือ สตรีบุรุษ คฤหัสถ์หรือบรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ๑ เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไข้ไปได้ ๑ เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ๑ เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ๑ เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งจักทำกรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจะเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ๑...

...พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ท่านไม่ได้เห็นหญิงหรือชายมีอายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปี นับแต่เกิดมา ผู้แก่ ซี่โครงคด หลังงอ ถือไม้เท้า งกเงิ่น เดินไป กระสับกระส่าย ล่วงวัยหนุ่มสาว ฟันหัก ผมหงอกหนังย่น ศีรษะล้าน เหี่ยว ตัวตกกระ ในหมู่มนุษย์หรือ

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า เห็น เจ้าข้า

พระยายมถามอย่างนี้ว่า ดูก่อนพ่อมหาจำเริญ ท่านนั้นรู้ความ มีสติเป็นผู่ใหญ่แล้ว ได้มีความดำริดังนี้บ้างไหมว่า แม้ตัวเราแล ก็มีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ควรที่เราจะทำความดีทางกาย ทางวาจาและทางใจ

สัตว์นั้นทูลอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าไม่อาจ เจ้าข้า มัวประมาทเสีย เจ้าข้า...

หรือถ้าสูงขึ้นไป ก็พิจารณาหลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ไปเลย แบบนี้ถึงจะเรียกว่า การเห็นที่เป็นเลิศ

...ดังนี้แล้ว มอบ (ศพ) ให้แล้วหลีกไป นางเปลื้องผ้าห่มของกุลธิดานั้นออกแล้ว เห็นสรีระซึ่งตายเพียงครู่เดียวนั้น แสนประณีต มีสีดังทองคำ จึงคิดว่า "อารมณ์นี้ควรจะแสดงแก่พระผู้เป็นเจ้า" แล้วไปไหว้พระเถระกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า อารมณ์ชื่อเห็นปานนี้มีอยู่ ขอพระคุณเจ้าพึง (ไป) พิจารณาเถิด

"พระเถระรับว่า "จ้ะ" ดังนี้แล้วไป ให้เลิกผ้าห่มออกแล้วพิจารณาตั้งแต่ฝ่าเท้าถึงปลายผมแล้ว พูดว่า "รูปนี้ประณีตยิ่งนัก มีสีดุจทองคำ นางพึงใส่รูปนั้นในไฟ ในกาลที่รูปนั้นถูกเปลวไฟใหญ่ลวกแล้ว จึงบอกแก่ข้าพเจ้า" ดังนี้แล้ว ไปยังที่อยู่ของคนนั่นแล นั่งแล้ว นางทำอย่างนั้นแล้ว จึงแจ้งแก่พระเถระ พระเถระไปพิจารณาในที่ถูกเปลวไฟกระทบแล้ว ๆ สีแห่งสรีระได้เป็นดังแม่โคด่าง เท้าทั้งสองงอหงิกห้อยลง มือทั้งสองกำเข้า หน้าผากได้มีหนังปอกแล้ว

พระเถระพิจารณาว่า "สรีระนี้เป็นธรรมชาติทำให้ไม่วายกระสันแก่บุคคลผู้แลดูอยู่ในบัดเดี๋ยวนี้เอง แต่บัดนี้ (กลับ) ถึงความสิ้นถึงความเสื่อมไปแล้ว" กลับไปที่พักกลางคืน นั่งพิจารณาถึงความสิ้นและความเสื่อมอยู่ กล่าวคาถาว่า "สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป ความสงบแห่งสังขารนั้นเป็นสุข" เจริญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย...

แต่การที่คนเห็นรูปแล้วไปพูดว่า "ขออโหสิกรรมกรรมที่เข้ามาดู" เป็นการเห็นที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เพราะเป็นการถือมงคลตื่นข่าว ตื่นข่าวไปตามกระแส ถือลักษณะมงคลแบบผิดไปว่า พูดแบบนั้นจะเป็นผลดีต่อการที่เข้ามาดู และบุคคลผู้ที่ถือมงคลตื่นข่าว ย่อมไม่หลุดพ้นไปจากทุกข์ได้

...ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถืออุกกาบาตไม่ถือความฝัน ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว ผู้นั้นชื่อว่าล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าวครอบงำกิเลสเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพที่เป็นคูกั้น ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก...

ผู้ถือมงคลตื่นข่าว พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เป็นอุบาสกที่ไม่ถูกต้องตามพระพุทธศาสนา เป็นอุบาสกจัณฑาล มีมลทิน เศร้าหมอง และ ต่ำช้า

...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ อย่างย่อมเป็นอุบาสกจัณฑาล เป็นอุบาสกมีมลทิน เป็นอุบาสกมีความเศร้าหมองและเป็นอุบาสกต่ำช้า ธรรม ๕ ประการอะไรบ้าง (คือ) เป็นผู้ไม่มีศรัทธา (ในพระรัตนตรัย) ๑ เป็นคนทุศีล ๑ เป็นคนถือมงคลตื่นข่าว คือ เชื่อมงคล ( ฤกษ์, ยาม ) ไม่เชื่อกรรม ๑ แสวงหาทักขิไณยบุคคลนอกจากศาสนานี้ (พุทธศาสนา ) ๑ บำเพ็ญกุศลในศาสนานั้น ๑...

กระทู้เกี่ยวข้อง :  #เรื่องการขอขมา ขออโหสิกรรม มีไหมในพระไตรปิฎก