เทวดาบริโภคโอชาจากขนมมนุษย์ก็มี (เรื่องรุกขเทวดาต้นละหุ่ง) ยักษ์ที่แสวงหากินของเสีย คือ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลาย น้ำมูก เป็นอาหารก็มี
- ญาติที่ไปเกิดในนรก ย่อมเลี้ยงอัตภาพด้วยอาหารของสัตว์นรก (ไม่ได้ ในแบบที่ปรากฏต่อหน้าในปัจจุบันที่เป็นอยู่ทันที)
- ญาติที่ไปเกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ย่อมอยู่ได้ด้วยอาหารของสัตว์ดิรัจฉาน (ไม่ได้ ในแบบที่ปรากฏต่อหน้าในปัจจุบันที่เป็นอยู่ทันที)
- ญาติที่ไปเกิดเป็นมนุษย์ ย่อมเลี้ยงอัตภาพด้วยอาหารของมนุษย์ (ไม่ได้ ในแบบที่ปรากฏต่อหน้าในปัจจุบันที่เป็นอยู่ทันที)
- ญาติที่ไปเกิดเป็นเทวดา ย่อมเลี้ยงอัตภาพด้วยอาหารของเทวดา (ไม่ได้ ในแบบที่ปรากฏต่อหน้าในปัจจุบันที่เป็นอยู่ทันที)
- ญาติที่ไปเกิดเป็นเปรตวิสัย (ได้ ในแบบที่ปรากฏต่อหน้าในปัจจุบันที่เป็นอยู่ทันที)
สรุปคือ ใน 5 อย่างนี้ ญาติที่ไปเกิดเป็นเปรตวิสัยเท่านั้น ถึงจะอยู่ในฐานะที่ได้รับ อันนี้ท่านหมายถึงบุญที่ปรากฏต่อหน้าในปัจจุบันที่เป็นอยู่ทันที แต่ถ้าให้ไปแล้ว บุญก็เป็นของผู้รับนั้นแหละ ไม่ว่าใคร มีบุญรอไว้แล้ว พ้นจากอฐานะ ก็จะได้เสวย เพียงแต่ อฐานะ จะไม่มีบุญปรากฏต่อหน้าในปัจจุบันที่เป็นอยู่ทันที ต่างกันแค่นี้เท่านี้ ระวังเข้าใจผิด บางคนไปเข้าใจว่ามีแต่เปรตเท่านั้นที่ได้รับบุญ อันนี้ไม่ใช่
และก็ไม่ต้องกังวลว่า ญาติที่ไม่ได้เป็นเปรตจะไม่มี เพราะสงสารกำหนดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ ทานที่ได้ทำย่อมไม่สูญเปล่าแน่นอน ถ้ากล่าวว่า ขอทานนี้จงสำเร็จแก่ญาติของข้า ดังที่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
...ฐานะที่จะพึงว่างจากญาติสาโลหิตผู้ล่วงลับไปแล้วโดยกาลช้านานเช่นนี้ มิใช่ฐานะมิใช่โอกาสที่จะมีได้ อีกประการหนึ่ง แม้ทายกก็เป็นผู้ไม่ไร้ผล...
และเรื่องชาวทิพย์กับขนมรำที่เป็นอาหารมนุษย์ก็มี เช่น เรื่องพระโพธิสัตว์เป็นรุกขเทวดา อยู่ที่ต้นละหุ่ง ได้บริโภคโอชา จากขนมของคนเข็ญใจ และช่วยเหลือให้ได้เป็นเศรษฐี
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นเทวดา สถิต ณ ต้นละหุ่งต้นหนึ่ง ครั้งนั้น พวกมนุษย์ในหมู่บ้านนั้น พากันยึดเอารุกขเทวดาเป็นมงคล
เมื่อถึงงานมหรสพคราวหนึ่ง พวกมนุษย์ต่างพากันกระทำพลีกรรมแก่รุกขเทวดาของตน ๆ ครั้งนั้นมีทุคคตมนุษย์ผู้หนึ่ง เห็นคนเหล่านั้น พากันปรนนิบัติรุกขเทวดาก็ปฏิบัติต้นละหุ่งต้นหนึ่ง ผู้คนทั้งหลายพากันถือเอาดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้และของขบเคี่ยวของบริโภคเป็นต้นนานัปการไป เพื่อเทวดาทั้งหลายของตน
ฝ่ายเขามีแต่ขนมรำก็ถือไปพร้อมกระบวยใส่น้ำ หยุดยืนไม่ไกลต้นละหุ่ง คิดว่าธรรมดาย่อมเสวยแต่ของขบเคี้ยวอันเป็นทิพย์ เทวดาคงจักไม่เสวยขนมรำนี้ของเรา เราจะยอมให้ขนมเสียหายไปด้วยเหตุนี้ทำไมเรานั่นแหละจักกินขนมนั้นเสียเอง แล้วก็หวลกลับไปจากที่นั้น
พระโพธิสัตว์ สถิตเหนือค่าคบกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ หากท่านเป็นใหญ่เป็นโต ก็ต้องให้ของขบเคี้ยวที่อร่อยแก่เรา แต่ท่านเป็นทุคคตะ เราไม่กินขนมของท่านแล้ว จักกินขนมอื่นได้อย่างไรอย่าให้ส่วนของเราต้องเสียหายไปเลย แล้วกล่าวคาถานี้ ความว่า "บุรุษกินอย่างไร คนของบุรุษก็กินอย่างนั้น ท่านจงเอาขนมรำนั้นมา อย่าให้ส่วนของเราเสียไปเลย" ดังนี้ เขาหันกลับมามองพระโพธิสัตว์แล้วกระทำพลีกรรม
พระโพธิสัตว์ ก็บริโภคโอชา จากขนมนั้นแล้วกล่าวว่า ดูก่อนบุรุษท่านปฏิบัติเราเพื่อต้องการอะไร ? เขากล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นใหญ่ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจ มาปรนนิบัติ ก็ด้วยหมายใจว่าจะอาศัยท่าน แล้วพ้นจากความเป็นทุคคตะ พระโพธิสัตว์กล่าวว่าดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านอย่าคิดเสียใจไปเลย ท่านทำการบูชาเราผู้มีกตัญญูกตเวที รอบต้นละหุ่งนี้ มีหม้อใส่ขุมทรัพย์ตั้งไว้เรียงราย จวบจนจรดถึงคอ ท่านจงกราบทูลพระราชา เอาเกวียนมาขนทรัพย์ กองไว้ ณ ท้องพระลานหลวง พระราชาก็จักโปรดปรานประทานตำแหน่งเศรษฐีแก่ท่าน ครั้นบอกแล้วพระโพธิสัตว์ก็อันตรธานไป
เขาได้กระทำตามนั้น แม้พระราชาก็โปรดประทานตำแหน่งเศรษฐีแก่เขา เขาอาศัยพระโพธิสัตว์ถึงสมบัติอันใหญ่หลวง แล้วไปตามยถากรรมด้วยประการฉะนี้ พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ทุคคตบุรุษในครั้งนั้น มาเป็นทุคคตบุรุษในครั้งนี้ส่วนเทวดาผู้สิงอยู่ ณ ต้นละหุ่ง ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
และยังมีเรื่องยักษิณีที่แสวงหากินของเสีย คือ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลาย น้ำมูก เป็นอาหาร ก็มี
ได้ยินว่า นางยักษิณีนั้น อุ้มบุตรชื่อปิยังกระ แสวงหาอาหารอยู่ ตั้งแต่ข้างหลังพระเชตวัน มุ่งตรงต่อพระนคร โดยลำดับ แสวงหาอยู่ซึ่ง ของกินที่เสียคือ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลาย น้ำมูก ถึงสถานที่อยู่ของพระเถระ ได้ฟังเสียงอันไพเราะ เสียงนั้น ตัดผิวหนังเป็นไปจดเยื่อในกระดูก เข้าไปถึงหัวใจของนางหยุดอยู่
ครั้งนั้น นางยักษิณีนั้น ไม่คิดในการแสวงหาอาหาร นางยืนเงี่ยโสตลงฟังธรรม ส่วนยกขทารก ไม่มีจิตในการฟังธรรมเพราะเป็นหนุ่ม เขาถูกความหิวเบียดเบียนแล้ว จึงเดือนมารดาแล้ว ๆ เล่า ๆ ว่า เพราะเหตุไรแม่จึงยืนไม่ไหวติงเหมือนตอ ในที่แม่มาแล้ว ไม่แสวงหาของเคี้ยว หรือของบริโภคสำหรับลูก
นางคิดว่า บุตรจะทำอันตรายแก่การฟังธรรมของเรา จึงปลอบบุตรน้อยอย่างนี้ว่า ปิยังกระ อย่าส่งเสียงดัง นางแสดงศีล ๕ ที่สมาทานแล้ว ตามธรรมดาของคนด้วยคาถาว่า ปาเณสุ จ ดังนี้ ในบทเหล่านั้น บทว่าสญฺยมามเส ได้แก่เราสำรวม คือเป็นผู้สำรวมแล้ว
นางงดเว้นจากปาณาติบาตด้วยบทนี้ งดเว้นจากมุสาวาทด้วยบทที่สอง การงดเว้นสามอย่างที่เหลือด้วยบทที่สาม บทว่า อปิ มุจฺเจม ปิสาจโยนิยา นางยักษิณีกล่าวว่า ลูกเราละเวร ๕ เหล่านี้ ที่เกิดขึ้นในยักขโลกเสียแล้ว ปฏิบัติโดยอุบายอันแยบคายแล้ว จึงจะพ้นจากกำเนิดยักษ์ปีศาจซึ่งมีภิกษาหายาก ทั้งจะพากันอดตาย