กรรมย่อมถึงฐานะ ๗ ดังนี้ .
เมื่อยังมิได้ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ก่อน พระองค์ทรงบัญญัติสิกขาบท
มีปฐมปาราชิกเป็นต้น ชื่อว่าปฐมบัญญัติ. เมื่อทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว
ทรงบัญญัติเพิ่มสิกขาบทเหล่านั้นแหละ ชื่อว่าอนุบัญญัติ.
ทรงบัญญัติสัมมุขาวินัย ซึ่งประกอบด้วยความพร้อมหน้า ๔ อย่างนี้
คือ ความพร้อมหน้าธรรม ความพร้อมหน้าวินัย ความพร้อมหน้าสงฆ์
ความพร้อมหน้าบุคคล. ทรงบัญญัติสติวินัย เพื่อมิให้โจทพระขีณาสพ
ผู้มีสติไพบูลย์. ทรงบัญญัติอมุฬหวินัยสำหรับ ภิกษุบ้า. ทรงบัญญัติปฏิญ-
ญาตกรณะ เพื่อไม่ปรับอาบัติแก่ภิกษุที่ถูกโจทโดยไม่ปฏิญญา. ทรงบัญญัติ
เยภุยยสิกา เพื่อระงับอธิกรณ์ โดยถือความเห็นของพวกธรรมวาทีที่มาก
กว่า. ทรงบัญญัติตัสสปาปิยสิกา เพื่อข่มบุคคลมีบาปมาก. ทรงบัญญัติ
ติณวัตถารกะ เพื่อระงับอาบัติที่เหลือลง นอกจากอาบัติที่มีโทษหนักและ
ที่เกี่ยวข้องคฤหัสถ์ แก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติ เพราะประพฤติเรื่องไม่สมควร
แก่สมณเพศเป็นอันมาก เช่นทะเลาะกันเป็นต้น .
บทว่า ราคสฺส ภิกฺขเว อภิญฺญาย ความว่า เพื่อรู้ชัด คือทำ
ให้ประจักษ์ ซึ่งราคะที่เป็นไปในกามคุณ ๕ นั่นแล. บทว่า ปริญฺญาย
ได้แก่ เพื่อกำหนดรู้. บทว่า ปริกฺขยาย ได้แก่ เพื่อถึงความสิ้นสุด.
บทว่า ปหานาย ได้แก่ เพื่อละ. บทว่า ขยวยาย ได้แก่ เพื่อถึง
ความสิ้นไปเสื่อมไป. บทว่า วิราคาย ได้แก่ เพื่อคลายกำหนัด. บทว่า
นิโรธาย ได้แก่ เพื่อดับ. บทว่า จาคาย ได้แก่ เพื่อสละ. บทว่า
ปฏินิสฺสคฺคาย ได้แก่ เพื่อสละคืน.
บทว่า ถมฺภสฺส ได้แก่ ความกระด้าง เพราะอำนาจความโกรธและ