No Favorites




หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 74 (เล่ม 43)

พวกเทวดาไม่ให้สาธุการแก่เทศนาของภิกษุ ๒ รูป
บรรดาภิกษุ ๒ องค์นั้น พระเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกองค์หนึ่ง
สวดธรรม, องค์หนึ่งกล่าวธรรม. เทวดาแม้องค์หนึ่งก็มิได้ให้สาธุการ.
ภิกษุเหล่านั้น จึงพูดกันว่า " ท่านผู้มีอายุ ท่านกล่าวว่า ' ในวันฟังธรรม
พวกเทวดาในราวไพรนี้ ย่อมให้สาธุการด้วยเสียงดัง,' นี่ชื่ออะไรกัน ?"
พระเอกุทาน. ในวันอื่น ๆ เป็นอย่างนั้น ขอรับ, แต่วันนี้กระผม
ไม่ทราบว่า ' นี่เป็นเรื่องอะไร.'
พวกภิกษุ. ผู้มีอายุ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงกล่าวธรรมดูก่อน.
ท่านจับพัดวีชนีนั่งบนอาสนะแล้ว กล่าวคาถานั้นนั่นแล. เทวดา
ทั้งหลายได้ให้สาธุการด้วยเสียงอันดัง.
พวกภิกษุติเตียนเทวดา
ครั้งนั้น ภิกษุที่เป็นบริวารของพระเถระทั้งสองงยกโทษว่า " เทวดา
ในราวไพรนี้ ให้สาธุการด้วยเห็นแก่หน้ากัน, เมื่อภิกษุผู้ทรงพระไตรปิฎก
แม้กล่าวอยู่ประมาณเท่านี้, ก็ไม่กล่าวแม้สักว่าความสรรเสริญอะไร ๆ.
เมื่อพระเถระแก่องค์เดียวกล่าวคาถาหนึ่งแล้ว, พากันให้สาธุการด้วยเสียง
อันดัง." ภิกษุเหล่านั้นแม้ไปถึงวิหารแล้ว กราบทูลความนั้นแด่พระ-
ศาสดา.
ลักษณะผู้ทรงธรรมและไม่ทรงธรรม
พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกผู้เรียนมากหรือ
พูดมากว่า ' เป็นผู้ทรงธรรม ' ส่วนผู้ใดเรียนคาถาแม้คาถาเดียวแล้วแทง
ตลอดสัจจะทั้งหลาย, ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม" ดังนี้แล้ว ตรัส
พระคาถานี้ว่า:-

74
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 75 (เล่ม 43)

๓. น ตาวตา ธมฺมขโร ยาวตา พหุ ภาสติ
โย จ อปฺปมฺปิ สุตฺวาน ธมฺมํ กาเยน ปสฺสติ
ส เว ธมฺมธโร โหติ โย ธมฺมํ นปฺปมชฺชติ.
บุคคล ไม่ชื่อว่าทรงธรรม เพราะเหตุที่พูดมาก;
ส่วนบุคคลใด ฟังแม้นิดหน่อย ย่อมเห็นธรรมด้วย
นามกาย, บุคคลใด ไม่ประมาทธรรม, บุคคลนั้นแล
เป็นผู้ทรงธรรม."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยาวตา เป็นต้น ความว่า บุคคลไม่
ชื่อว่าผู้ทรงธรรม เพราะเหตุที่พูดมาก ด้วยเหตุมีการเรียน และการ
ทรงจำและบอกเป็นต้น. แต่ชื่อว่าตามรักษาวงศ์ รักษาประเพณี.
บทว่า อปฺปมฺปิ เป็นต้น ความว่า ส่วนผู้ใดฟังธรรมแม้มีประมาณ
น้อย อาศัยธรรมะ อาศัยอรรถะ เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
กำหนดรู้สัจจะมีทุกข์เป็นต้น ชื่อว่าย่อมเห็นสัจธรรม ๔ ด้วยนามกาย.
ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็นผู้ทรงธรรม.
บาทพระคาถาว่า โย ธมฺมํ นปฺปมชฺชติ ความว่า แม้ผู้ใดเป็นผู้มี
ความเพียรปรารภแล้ว หวังการแทงตลอดอยู่ว่า " (เราจักแทงตลอด)
ในวันนี้ ๆ แล" ชื่อว่าย่อมไม่ประมาทธรรม, แม้ผู้นี้ก็ชื่อว่าผู้ทรงธรรม
เหมือนกัน.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องพระเอกุทานเถระ จบ.

75
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 76 (เล่ม 43)

๔. เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ [๑๙๗]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพระลกุณ-
ฏกภัททิยเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " น เตน เถโร โหติ"
เป็นต้น.
พวกภิกษุเห็นพระเถระเข้าใจว่าเป็นสามเณร
ความพิสดารว่า วันหนึ่ง เมื่อพระเถระนั้นไปสู่ที่บำรุงพระศาสดา
พอหลีกไปแล้ว, ภิกษุผู้อยู่ป่าประมาณ ๓๐ รูป พอเห็นท่านก็มาถวาย
บังคมพระศาสดาแล้วนั่ง พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นอุปนิสัยแห่งพระ-
อรหัตของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสถามปัญหานี้ว่า " พระเถระองค์หนึ่ง
ไปจากนี้ พวกเธอเห็นไหม ?"
พวกภิกษุ. ไม่เห็น พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. พวกเธอเห็นพระเถระนั้นมิใช่หรือ ?
พวกภิกษุ. เห็นสามเณรรูปหนึ่ง พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. ภิกษุทั้งหลาย นั้นไม่ใช่สามเณร, นั่นเป็นพระเถระ.
พวกภิกษุ. เล็กนัก พระเจ้าข้า.
ลักษณะเถระและมิใช่เถระ
พระศาสดาตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกว่า ' เถระ ' เพราะ
ความเป็นคนแก่ เพราะเหตุสักว่านั่งบนอาสนะพระเถระ, ส่วนผู้ใด แทง
ตลอดสัจจะทั้งหลายแล้ว ตั้งอยู่ในความเป็นผู้ไม่เบียดเบียนมหาชน, ผู้นี้
ชื่อว่าเป็นเถระ" ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า :-

76
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 77 (เล่ม 43)

๔. น เตน เถโร โหติ เยนสฺส ปลิตํสิโร
ปริปกฺโก วโย ตสฺส โมฆชิณฺโณติ วุจฺจติ.
ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโม จ อหึสา สญฺญโม ทโม
ส เว วนฺตมโล ธีโร โส เถโรติ ปวุจฺจติ.
" บุคคล ไม่ชื่อว่าเป็นเถระ เพราะมีผมหงอกบน
ศีรษะ ผู้มีวัยแก่รอบแล้วนั้น เราเรียกว่า 'แก่เปล่า,'
(ส่วน) ผู้ใด มีสัจจะ ธรรมะ อหิงสา สัญญมะ
และทมะ, ผู้นั้นมีมลทินอันตายแล้ว ผู้มีปัญญา,
เรากล่าวว่า "เป็นเถระ."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปริปกฺโก ความว่า อันชราน้อมไป
รอบแล้ว คือถึงความเป็นคนแก่แล้ว . บทว่า โมฆชิณฺโณ ความว่า ชื่อว่า
แก่เปล่า เพราะภายในไม่มีธรรม เครื่องทำให้เป็นเถระ.
บทว่า สจฺจญฺจ ความว่า ก็บุคคลใดมีสัจจะทั้ง ๔ เพราะความ
เป็นผู้แทงตลอดด้วยอาการ ๑๖ และมีโลกุตรธรรม ๙ อย่าง เพราะความ
เป็นผู้ทำให้แจ้งด้วยญาณ.
คำว่า อหึสา นั่น สักว่าเป็นหัวข้อเทศนา. อธิบายว่า อัปปมัญญา-
ภาวนาแม้ ๔ อย่าง มีอยู่ในผู้ใด. สองบทว่า สญฺญโม ทโม ได้แก่ ศีล
และอินทรียสังวร. บทว่า วนฺตมโล คือ มีมลทินอันนำออกแล้วด้วย
มรรคญาณ. บทว่า ธีโร คือ สมบูรณ์ด้วยปัญญาเป็นเครื่องทรงจำ. บทว่า

77
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 78 (เล่ม 43)

เถโร ความว่า ผู้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า " เถระ" เพราะความเป็น
ผู้ประกอบด้วยธรรมเครื่องทำความเป็นผู้มั่นคงเหล่านั้น.
ในกาลจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นตั้งอยู่ในพระอรหัตแล้ว ดังนี้แล.
เรื่องพระลกุณฏกภัททิยเถระ จบ.

78
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 79 (เล่ม 43)

๕. เรื่องภิกษุมากรูป [๑๙๘]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุมากรูป
ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " น วากฺกรณมตฺเต " เป็นต้น.
พระเถระบางพวกอยากได้ลาภสักการะ
ความพิสดารว่า สมัยหนึ่ง พระเถระบางพวกเห็นภิกษุหนุ่มและ
สามเณรทำการรับใช้ทั้งหลายมีอันย้อมจีวรเป็นต้น แก่อาจารย์ผู้บอก
ธรรมของตนนั่นแล คิดว่า " แม้เราก็ฉลาดในลัทธิพยัญชนะ, ผลอะไร ๆ
ไม่มีแก่เราเลย; ผิฉะนั้น เราพึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลอย่างนี้ว่า
' ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์เป็นผู้ฉลาดในลัทธิพยัญชนะ, ขอ
พระองค์จงบังคับภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลายว่า ' พวกเธอแม้เรียน
ธรรมในสำนักของอาจารย์อื่นแล้ว ยังไม่สอบทานในสำนักของภิกษุเหล่านี้
แล้ว อย่าสาธยาย,' ลาภสักการะจักเจริญแก่เราทั้งหลาย ด้วยอาการอย่างนี้
แล." พระเถระเหล่านั้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้ว กราบทูลอย่างนั้น.
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ทรงทราบว่า " ใคร ๆ
ก็พูดเช่นนั้นได้ ด้วยสามารถประเพณีในพระศาสนานี้เท่านั้น, แต่ภิกษุ
เหล่านี้เป็นผู้อาศัยลาภสักการะ" จึงตรัสว่า " เราไม่เรียกพวกเธอว่า 'คนดี'
เพราะเหตุสักว่าพูดจัดจ้าน,๑ ส่วนผู้ใดตัดธรรมมีความริษยาเป็นต้นเหล่านี้
ได้แล้ว ด้วยอรหัตมรรค ผู้นี้แหละชื่อว่าคนดี" ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระ-
คาถาเหล่านี้ว่า:-
๑. เพราะเหตุสักว่าการกระทำซึ่งคำพูด.

79
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 80 (เล่ม 43)

๕. น วากฺกรณมตฺเตน วณฺณโปกฺขรตาย วา
สาธุรูโป นโร โหติ อิสฺสุกี มจฺฉรี สโฐ.
ยสฺส เจตํ สมุจฺฉินฺนํ มูลฆจฺจํ สมูหตํ
ส วนฺตโทโส เมธาวี สาธุรูโปติ วุจฺจติ.
"นระผู้มีความริษยา มีความตระหนี่ โอ้อวด
จะชื่อว่าเป็นคนดี เพราะเหตุสักว่าทำการพูดจัดจ้าน
หรือเพราะมีผิวกายงามก็หาไม่, ส่วนผู้ใดตัดโทส-
ชาติ มีความริษยาเป็นต้นนี้ได้ขาด ถอนขึ้นให้ราก
ขาด, ผู้นั้นมีโทสะอันคายแล้ว มีปัญญา เราเรียกว่า
'คนดี."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น วากฺกรณมตฺเตน ความว่า เพราะ
เหตุสักว่าทำการพูด คือสักว่าถ้อยคำอันถึงพร้อมด้วยลักษณะ. บทว่า
วณฺณโปกฺขรตาย วา คือ เพราะความเป็นผู้ยังใจให้เอิบอาบโดยมีสรีระ
สมบูรณ์ด้วยวรรณะ. บทว่า นโร เป็นต้น ความว่า นระผู้มีใจริษยาใน
เพราะลาภของคนอื่นเป็นต้น ประกอบด้วยความตระหนี่ ๕ อย่าง๑ ชื่อว่า
ผู้โอ้อวด เพราะคบธรรมฝ่ายข้าศึก จะชื่อว่าคนดี เพราะเหตุเพียงเท่านี้
หามิได้.
สองบทว่า ยสฺส เจตํ เป็นต้น ความว่า ส่วนบุคคลใดตัดโทสชาต
๑. ตระหนี่ ๕ อย่าง คือ อาวาสมัจฉริยะ ตระหนี่ที่อยู่. กุลมัจฉริยะ ตระหนี่สกุล. ลาภมัจฉริยะ
ตระหนี่ลาภ. วัณณมัจฉริยะ ตระหนี่วรรณะ ตระหนี่ธรรม.

80
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 81 (เล่ม 43)

มีความริษยาเป็นต้นนี่ได้ขาดแล้ว ด้วยอรหัตมรรคญาณ ถอนขึ้น ทำให้
รากขาดแล้ว, บุคคลนั้นมีโทสะอันคายแล้ว ประกอบด้วยปัญญาอันรุ่งเรือง
ในธรรม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า " คนดี."
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล
เรื่องภิกษุมากรูป จบ.

81
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 82 (เล่ม 43)

๖. เรื่องภิกษุชื่อหัตถกะ [๑๙๙]
ข้อความเบื้องต้น
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุชื่อ
หัตถกะ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น มุณฺฑเกน สมโณ " เป็นต้น.
พระหัตถกะพูดอวดดี
ได้ยินว่า ภิกษุนั้นพูดฟุ้งไป กล่าวว่า " ท่านทั้งหลายพึงไปสู่ที่
ชื่อโน้น ในกาลโน้น, เราจักทำวาทะ" แล้วไปในที่นั้นก่อน กล่าวคำ
ทั้งหลายเป็นต้นว่า " ดูเถิดท่านทั้งหลาย, พวกเดียรถีย์ไม่มาเพราะกลัวผม,
นี่แหละเป็นความแพ้ของพวกเดียรถีย์เหล่านั้น" เที่ยวพูดฟุ้งไป กลบ-
เกลื่อนคำอื่นด้วยคำอื่น.
ลักษณะสมณะและผู้มิใช่สมณะ
พระศาสดาทรงสดับว่า "ได้ยินว่า ภิกษุชื่อหัตถกะทำอย่างนั้น"
แล้วรับสั่งให้เรียกเธอมา ตรัสถามว่า " หัตถกะ ได้ยินว่าเธอทำอย่างนั้น
จริงหรือ ?" เมื่อเธอกราบทูลว่า " จริง," จึงตรัสว่า "เหตุไฉน เธอจึง
ทำอย่างนั้น ? ด้วยว่าผู้ทำมุสาวาทเห็นปานนั้น จะชื่อว่าเป็นสมณะ เพราะ
เหตุสักว่ามีศีรษะโล้นเป็นต้นเท่านั้นหามิได้; ส่วนผู้ใด ยังบาปน้อยหรือ
ใหญ่ให้สงบแล้วตั้งอยู่ ผู้นี้แหละชื่อว่าสมณะ" ดังนี้แล้ว ได้ตรัสพระ-
คาถาเหล่านี้ว่า:-
๖. น มุณฺฑเกน สมโณ อพฺพโต อลิกํ ภณํ
อิจฺฉาโลภสมาปนฺโน สมโณ กึ ภวิสฺสติ.

82
หมวด/เล่ม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ – หน้าที่ 83 (เล่ม 43)

โย จ สเมติ ปาปานิ อณุํถูลานิ สพฺพโส
สมิตตฺตา หิ ปาปานํ สมโณติ ปวุจฺจติ.
"ผู้ไม่มีวัตร พูดเหลาะแหละ ไม่ชื่อว่าสมณะ
เพราะศีรษะโล้น, ผู้ประกอบด้วยความอยากและ
ความโลภ จะเป็นสมณะอย่างไรได้; ส่วนผู้ใด ยัง
บาปน้อยหรือใหญ่ให้สงบโดยประการทั้งปวง, ผู้นั้น
เรากล่าวว่า 'เป็นสมณะ' เพราะยังบาปให้สงบ
แล้ว."
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุณฺฑเกน ความว่า เพราะเหตุสักว่า
ศีรษะโล้น. บทว่า อพฺพโต คือเว้นจากศีลวัตรและธุดงควัตร. สองบทว่า
อลิกํ ภณํ ความว่า ผู้กล่าวมุสาวาท ประกอบด้วยความอยากในอารมณ์
อัน ยังไม่ถึง และด้วยความโลภในอารมณ์อัน ถึงแล้ว จักชื่อว่าเป็นสมณะ
อย่างไรได้. บทว่า สเมติ ความว่า ส่วนผู้ใดยังบาปน้อยหรือใหญ่ให้
สงบ, ผู้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ' เป็นสมณะ' เพราะยังบาป
เหล่านั้นให้สงบแล้ว.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดา-
ปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
เรื่องภิกษุชื่อหัตถกะ จบ.

83