พระโพธิสัตว์กับพระอรหันต์ใครมีคุณมากกว่า
...จึงตรัสพระคาถาว่า วุฑฺฒาปจายี ดังนี้เป็นต้น วุฑฒบุคคล ทั้งหลายในคำว่า วุฑฺฒาปจายี นั้นมี ๔ จำพวก คือ ปัญญาวุฑฒบุคคล ๑ คุณวุฑฒบุคคล ๑ ชาติวุฑบุคคล ๑ วุฑฒบุคคล ๑ จริงอยู่ ภิกษุที่เป็นพหูสูต แม้โดยกำเนิดจะเป็นคนหนุ่มก็ตาม ก็ชื่อว่า ปัญญาวุฑฒะได้ เพราะเป็นผู้เจริญแล้ว ด้วยปัญญา คือ พาหุสัจจะในสำนัก (ในระหว่าง) แห่งภิกษุเเก่ผู้มีการศึกษาน้อยทั้งหลาย ด้วยว่าแม้ภิกษุแก่ทั้งหลายเรียนอยู่ซึ่งพุทธวจนะ ในสำนักของภิกษุหนุ่มนั้น และหวังอยู่ซึ่งโอวาท การวินิจฉัยความ และการแก้ปัญหาทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุหนึ่งที่ถึงพร้อมด้วยอธิคม (บรรลุคุณวิเศษมีฌานและมรรคผลเป็นต้น ) ชื่อว่า คุณวุฑฒะ ผู้เจริญโดยคุณ ด้วยว่าแม้ภิกษุแก่ทั้งหลาย ดำรงอยู่ในโอวาทของภิกษุหนุ่มนั้นแล้ว เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมบรรลุอรหัตผลได้...
อย่างเช่น นายพรานอาศัยนกยูงที่เป็นพระโพธิสัตว์ แล้วได้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า แม้บรรลุเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ยังต้องได้ถามอุบายจากพระโพธิสัตว์เลย และประคองอัญชลีแก่พญานกยูงอีกด้วย
...แต่ในที่อยู่ของเรายังมีนกถูกกักขังอยู่มาก เราจักปลดปล่อยนกเหล่านั้นได้อย่างไร จึงถามพระมหาสัตว์ว่า พญายูงเอ๋ยในที่อยู่ของข้าพเจ้า มีนกถูกกักขังอยู่เป็นอันมาก ข้าพเจ้าจักปลดปล่อยนกเหล่านั้นได้อย่างไรละ
อันที่จริง ญาณในการกำหนดอุบาย ของพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมใหญ่โตกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า เหตุนั้น พญายูงจึงกล่าวกะท่านว่า ปัจเจกโพธิญาณที่ท่านทำลายกิเลสทั้งปวงเสีย แล้วบรรลุด้วยโพธิมรรคใด โปรดปรารภโพธิมรรคนั้น กระทำสัจจกิริยาเถิด ธรรมดาสัตว์อันต้องจองจำในชมพูทวีปทั้งสิ้นก็จักไม่มี ท่านดำรงในฐานะที่พระโพธิสัตว์กล่าวแล้ว เมื่อจะทำสัจจกิริยา จึงกล่าวคาถาว่าอนึ่ง มีนกเหล่าใดที่เรากักขังไว้ในนิเวศน์ประมาณหลายร้อย วันนี้เราให้ชีวิตแก่นกเหล่านั้นขอนกเหล่านั้นจงพ้นจากการกักขัง ไปสู่สถานที่อยู่เดิมของตนเถิด
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โมกฺขญฺจ เต ปตฺโต ความว่า ถ้าเราบรรลุโมกขธรรมแล้ว คือบรรลุปัจเจกโพธิญาณแล้ว ขอสงเคราะห์สัตว์เหล่านั้น ในอันให้ชีวิตเป็นทาน ด้วยสัจจะนี้ บทว่า สกํ นิเกตํ ความว่าขอสัตว์แม้ทั้งปวงจงพากันไปสู่ที่อยู่ของตนเถิด ลำดับนั้น นกทั้งปวงก็พ้นจากที่กักขัง พอดีกันกับเวลาที่พระปัจเจกโพธินั้นกระทำสัจจกิริยานั่นเอง ต่างร้องร่าเริงบินไปที่อยู่ของตนทั่วกัน
ก็แลในขณะนั้น บรรดาสัตว์ในเหย้าเรือนทุกหนแห่ง ตั้งต้นแต่แมวเป็นต้น ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ที่จักได้ชื่อว่าสัตว์ต้องกักขังมิได้มีเลย พระปัจเจกพุทธเจ้ายกมือลูบศีรษะ ทันใดนั่นเอง เพศคฤหัสถ์ก็หายไป เพศบรรพชิตปรากฏแทน ท่านเป็นเหมือนพระเถระมีพรรษา ๖๐ สมบูรณ์ด้วยมรรยาททรงอัฏฐบริขาร กล่าวว่า ท่านนั้นเทียวได้เป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าประคองอัญชลีแก่พญายูงกระทำประทักษิณ เหาะขึ้นอากาศไปสู่เงื้อมผาชื่อนันทมูลฝ่ายพญายูงก็โดดจากปลายคันแร้ว หาอาหาร ไปสู่ที่อยู่ของตนดังเดิม บัดนี้ พระศาสดาเมื่อจะทรงประกาศความที่นายพราน แม้จะถือบ่วงเที่ยวไปตั้ง ๗ ปี อาศัยพญายูงพ้นจากทุกข์ได้...
พระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่สร้างมานาน จะมีไหวพริบมากกว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า และแน่นอนย่อมรู้มากกว่า พระอรหันต์สาวก ดังนั้น หลักธรรมที่พระโพธิสัตว์ยกขึ้นแสดง นำมาเปิดเผย จึงน่าฟัง