พระยินดีให้บัณเฑาะก์จับต้องกายนวดให้ต้องอาบัติทุกกฏ
บัณเฑาะก์หนึ่ง ภิกษุมีความสำคัญเป็นบัณเฑาะก์ มีความกำหนัดและถูก คลำ ลูบลง ลูบขึ้น ทับ อุ้ม ฉุด ผลัก กด บีบ จับ ต้องซึ่งกายนั้นของบัณเฑาะก์ด้วยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับบัณเฑาะก์ เธอได้มีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุเธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย...
บัณเฑาะก์เป็นวัตถุแห่งอาบัติ มีอาบัติทุกกฎเป็นต้น ฉะนั้น การยินดีให้บัณเฑาะก์จับต้องกายนวดให้ ต้องอาบัติทุกกฎ แต่ถ้าพระไม่รู้ว่าเป็นบัณเฑาะก์ ไม่ต้องอาบัติ แต่ถ้ารู้อยู่และกำหนัดด้วย ต้องถุลลัจจัย (จิตนี้เป็นธรรมชาติกลับกลอกเร็ว ใครจะไปโง่ จับต้องกายบัณเฑาะก์ หรือแม้แต่จะอยู่ใกล้ อยู่ร่วมก็ตาม ค้นหาดูได้เลย มีหลายเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ให้อยู่ใกล้มาตุคาม ไม่ให้อยู่ใกล้บัณเฑาะก์ )
สอดคล้องกับที่ไม่อนุญาตอุปสมบทบัณเฑาะก์ เพราะเป็นวัตถุแห่งอาบัติ ทั้งห้ามมรรคด้วย มันไม่มีหรอกใครจะไปเอาสิ่งที่ไม่ควรไปอยู่ร่วมกับสิ่งที่ควร ดังที่อุปมาเรื่องหญ้าที่ทำลายต้นข้าว ฉะนั้น บัณเฑาะก์บวชไม่ได้
...เป็นสมณะแกลบ เป็นสมณะหยากเยื่อ ครั้นรู้จักอย่างนี้แล้วย่อมนาสนะออกไปให้พัน ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคิดว่าภิกษุนี้อย่าประทุษร้ายภิกษุที่ดีเหล่าอื่นเลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนหญ้าชนิดหนึ่งที่ทำลายต้นข้าว มีเมล็ดเหมือนข้าวลีบ มีเมล็ดเหมือนข้าวตายรวง พึงเกิดขึ้นในนาข้าวที่สมบูรณ์ รากก้าน ใบของมันเหมือนกับข้าวที่ดีเหล่าอื่น ตราบเท่าที่มันยังไม่ออกรวง แต่เมื่อใด มันออกรวง เมื่อนั้นจึงทราบกันว่า หญ้านี้ทำลายข้าว มีเมล็ดเหมือนข้าวลีบ มีเมล็ดเหมือนข้าวตายรวง ครั้นทราบอย่างนี้แล้ว เขาจึงถอนมันเหมือนทั้งราก เอาไปทิ้งให้พ้นที่นาข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคิดว่า หญ้าชนิดนี้อย่าทำลายข้าวที่ดีอื่น ๆ เลย ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน...