พระกับเรื่องการดูแลมารดาบิดายามป่วยไข้
หน้าที่ของพระคือแสดงธรรม เมื่อมีคนป่วยใกล้ตาย โดยปกติ พระจะไปแสดงธรรมให้ฟัง ดังเช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐีป่วยใกล้ตาย มีคนทำหน้าที่นี้ได้อยู่แล้วแต่ก็ยังไปทำ ทำแล้วก็ถ่ายรูปให้คนอื่นได้รู้ ก็ต้องถามไปว่า เพื่ออะไร?
ถ้าไม่มีใครทำหน้าที่นี้เลย ก็ควรเอาอย่าง ช่างหม้อชื่อ ฆฏิการะ ผู้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ แม้ท่านเป็นอนาคามี แต่ก็ไม่บวช เพราะยังมีภาระต้องเลี้ยงมารดาบิดา ผู้ชรา และ ตาบอด แม้ไม่บวช ก็ปฏิบัติตามข้อของตนเองได้
[๔๑๒] ดูก่อนอานนท์ ครั้งนั้น โชติปาลมาณพได้ถามฆฏิการะช่างหม้อว่า เพื่อนฆฏิการะ เมื่อท่านฟังธรรมนี้อยู่ และเมื่อเช่นนั้น ท่านจะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตหรือหนอ ฆ. เพื่อนโชติปาละ ท่านก็รู้อยู่ว่า เราต้องเลี้ยงมารดาบิดา ซึ่งเป็นคนตาบอดผู้ชราแล้วมิใช่หรือ โช. เพื่อนฆฏิการะ ถ้าเช่นนั้น เราจักออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
ถ้าหวังในลาภสักการะและความสรรเสริญด้วยอิริยาบถใด (ถ้าไม่หวังในลาภสักการะ จะถ่ายรูปให้คนอื่นรู้ทำไม) ก็ต้องอาบัติทุกกฎ ไม่ใช่แต่อาบัติทุกกฎเท่านั้น แต่การบ่มตนเองให้ยึดติดในลาภสักการะและความสรรเสริญเป็นการพอกพูนกิเลส พุทธะตรัสไว้ว่า ลาภสักการะและความสรรเสริญ ทารุณ เผ็ดร้อน หยาบคาย เป็นอันตราย ถ้าจับต้องกายมารดาด้วยความรักฉันมารดาก็ต้องอาบัติทุกกฎ ...
อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลผู้ไม่รู้ว่าสิ่งไหนควร สิ่งไหนไม่ควร
...อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลแม้อื่นอีก ๒ พวก คือ ผู้สำคัญใน สิ่งไม่ควรว่าควร ๑ ผู้สำคัญในสิ่งที่ควรว่าไม่ควร ๑...อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลแม้อื่นอีก ๒ พวก คือ ผู้สำคัญในอนาบัติว่าเป็นอาบัติ ๑ ผู้สำคัญในอาบัติว่าเป็นอนาบัติ ๑...อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลแม้อื่นอีก ๒ พวก คือ ผู้สำคัญในอธรรมว่าเป็นธรรม ๑ ผู้สำคัญในธรรมว่าเป็นอธรรม ๑...อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลแม้อื่นอีก ๒ พวก คือ ผู้สำคัญในสภาพมิใช่วินัยว่าวินัย ๑ ผู้สำคัญในวินัยว่าสภาพมิใช่วินัย ๑...