บรรพชิตควรเน้น ศีล ไม่ใช่ ทาน (ทาน ศีล ภาวนา vs. ศีล สมาธิ ปัญญา)
...ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะอยู่ ณ ทิศใด ๆ ก็เป็นผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วเทียว ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย เหมือนพระราชาผู้กษัตริย์ได้มูรธาภิเษกแล้ว ทรงสมบูรณ์ด้วยพระชาติฉะนั้น...
คฤหัสถ์เป็นผู้ให้ทานอยู่แล้ว เพราะคฤหัสถ์เป็นผู้มีโภคทรัพย์ และพระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ว่า คฤหัสถ์เป็นผู้มีอุปการะมากแก่ภิกษุทั้งหลาย บำรุงภิกษุทั้งหลายด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร (ทาน ศีล ภาวนา)
..[๒๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลายเป็นผู้มีอุปการะมากแก่เธอทั้งหลาย บำรุงเธอทั้งหลายด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แม้เธอทั้งลายก็จงเป็นผู้มีอุปการะมากแก่พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย จงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะบริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่พราหมณ์และคฤหบดีเหล่านั้นเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลาย ต่างอาศัยซึ่งกันและกันด้วยอำนาจอามิสทานและธรรมทาน อยู่ประพฤติพรหมจรรย์นี้ เพื่อต้องการสลัดโอฆะเพื่อจะทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบด้วยประการอย่างนี้....
ส่วนพระขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีทรัพย์สมบัติ จะเอาทรัพย์จากไหนไปแจก ไปให้ทาน ถ้าไปแสวงหาและแจกสิ่งของโดยไม่ถูกต้อง ก็ผิดพระวินัย ฉะนั้น การให้ทานไม่ใช่ข้อปฏิบัติของพระที่ควรเน้น (แต่ก็ไม่ใช่ว่าให้เป็นคนตระหนี่) ข้อปฏิบัติพื้นฐานของพระ คือ ศีล (ศีล สมาธิ ปัญญา)
ศีลอันบริสุทธิ์ดี และความเห็นตรง คือเบื้องต้นแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย